บทที่ 1115 ยามคว่ำเมฆพลิกฝนได้

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1115 ยามคว่ำเมฆพลิกฝนได้ โดย Ink Stone_Fantasy

เพื่อที่จะทำให้ฉินเวยเวยวางใจอย่างถึงที่สุด ท่านขุนนางเหมียวจึงอุ้มฉินเวยเวยเข้าไปในตำหนักนอนเสียเลย ใช้การปฏิบัติจริงเพื่อแสดงออกอย่างชัดเจนว่าตัวเองเชื่อนาง หลังจากเมฆฝนที่เร่าร้อนผ่านไป ก็ทำให้ฉินเวยเวยหัวใจหวานชื่นแล้วจริงๆ วางใจลงจริงๆ แล้ว

เบื่อแล้ว!

หลังจากฉินเวยเวยออกไป นี่คือความคิดของเหมียวอี้ที่นั่งเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้เพียงลำพัง เขาพบว่ามีผู้หญิงเยอะเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี เมื่อแต่งงานเข้ามาแล้ว เจ้าไม่อาจทำเหมือนนางเป็นท่อนไม้ ไม่ถามไถ่สนใจใยดีความรู้สึกของนาง จะเอามาปรนนิบัติเจ้าอย่างเดียวไม่ได้ เขารู้สึกเหนื่อยใจนิดหน่อย!

ตอนนี้เขากำลังคิดว่า ตอนแรกที่แต่งงานกับอวิ๋นจือชิวแค่คนเดียวนั้นดีขนาดไหน ตอนแรกเขาคิดจริงๆ ว่าอยากจะอยู่กับอวิ๋นจือชิวคนเดียวไปยันแก่เฒ่า ตอนแรกไม่ได้มีความคิดว่าจะมีภรรยาหลายคนเลย ถึงแม้อวิ๋นจือชิวจะมีจุดไหนที่ทำให้เขาไม่พอใจ แต่ความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกันระหว่างเขากับอวิ๋นจือชิวก็ทำให้ใจของเขาผ่อนคลายมาก เวลาทะเลาะด่าทอกับอวิ๋นจือชิว เขาก็ไม่รู้สึกว่ามีภาระทางด้านจิตใจ เขาสามารถด่าอวิ๋นจือชิวว่าผู้หญิงปากร้ายและนางมารร้ายได้ แต่กับฉินเวยเวยกลับพูดแรงอย่างนั้นไม่ได้ กลัวว่าถ้าไม่ระวังจะทำให้นางคิดมากและทำร้ายจิตใจ ระหว่างสามีภรรยาก็ต้องระมัดระวัง ทำให้เขาเหนื่อยใจมาก

เขาเอนกายลงบนเก้าอี้คนเดียว ในหัวเต็มไปด้วยเงาร่างของอวิ๋นจือชิว ความงามเพริศพริ้งตอนพบกันครั้งแรกที่วัดเมี่ยวฝ่า การจ้องอย่างไม่ละสายตาเมื่อพบกันอีกครั้งที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ท่วงท่าที่งดงามยามดื่มสุราบนดาดฟ้าอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น การครอบครองยามร่างงามเข้าสู่อ้อมกอดเป็นครั้งแรก ความตื่นเต้นเร้าใจยามลักลอบเจอกัน ความคนึงหาเมื่อไม่ได้พบหน้ากันนาน ความหยาบคายยามระเบิดอารมณ์ทำร้ายคน คิดถึงสิ่งต่างๆ…

ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นถึงพิภพใหญ่หรือยัง คาดว่าคงใกล้จะถึงแล้ว นี่เพิ่งห่างกันได้ไม่นาน จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มคิดถึงอวิ๋นจือชิวแล้ว

เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว พอแล้ว! ต่อไปนี้ต่อให้โดนตีให้ตายก็จะไม่แต่งงานอีกแล้ว

ตัวละครเล็กๆ สนใจแต่ตัวเองก็ไม่ผิด แต่เมื่อคนเราขึ้นมาถึงสถานภาพและตำแหน่งบางอย่าง เรื่องบางเรื่องก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้ สิ่งที่ต้องพิจารณาคือผลประโยชน์มหาศาล หรือไม่ก็ผลประโยชน์ของคนที่มากกว่านั้น ความสามารถยิ่งมากความรับผิดชอบก็ยิ่งมาก…

อวิ๋นจือชิวก็มาถึงพิภพใหญ่แล้วจริงๆ กลับมาถึงร้านโฉมเมฆา หลังจากถอดเครื่องปลอมตัวออก เดินมาในศาลาเย็นหลังภูเขาจำลอง ก็ปล่อยอวิ๋นเซี่ยวและคนอื่นๆ ออกมาจากกระเป๋าสัตว์

ทั้งห้ามองดูสภาพแวดล้อมรอบๆ โดยจิตใต้สำนึก เมื่อเห็นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างหลังอวิ๋นจือชิวก็อึ้งทันที อวิ๋นเซี่ยวมองซ้ายมองขวาแล้วถามว่า “น้องชิว ที่นี่คือพิภพใหญ่เหรอ?”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านอาหก นี่ก็คือร้านค้าของข้าที่พิภพใหญ่ ด้านนอกคือตลาดสวรรค์ ตลาดสวรรค์มีสาขาอยู่หลายที่ในพิภพใหญ่ เป็นสถานที่ที่เจริญที่สุดของพิภพใหญ่ มีนักพรตมารวมตัวกันมากมาย”

มาถึงพิภพใหญ่แล้วเหรอ? ทั้งห้าคนตาเป็นประกาย เรียกได้ว่าตื่นเต้นเหมือนในใจมีคลื่นโหมซัดสาด!

หลังจากสงบอารมณ์ได้แล้ว จงเจิ้นก็ถามว่า “ได้ยินว่าเหมียวอี้เป็นผู้บัญชาการใหญ่อะไรสักอย่างที่ตลาดสวรรค์ หมายถึงที่นี่หรือเปล่า?”

“ใช่แล้ว! แต่ตอนอยู่ที่นี่ เหมียวอี้ไม่ได้ชื่อเหมียวอี้ ชื่อหนิวโหย่วเต๋อ” หลังจากยกน้ำชาขึ้นมาจิบให้ชุ่มคอ อวิ๋นจือชิวก็กล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ทุกคนออกไปเดินดูถามไถ่สักหน่อยก็ได้ ตลาดสวรรค์เป็นแหล่งรวมลูกค้าจากทั่วสารทิศของพิภพใหญ่ นับว่าเป็นจุดที่ข่าวสารรวดเร็ว อยากจะรู้อะไรก็ไปสืบได้เลย สามวัน ข้าให้เวลาทุกคนเพียงสามวันเท่านั้น หลังจากสามวันนี้พวกเจ้ามารวมตัวกันที่นี่ ข้าจะพาพวกเจ้ากลับไปรายงานผลการปฏิบัติงาน จำไว้ว่าอย่าเพ่นพ่านไปไหนซี้ซั้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นข้าไม่รับผิดชอบหรอกนะ แล้วก็อย่าก่อเรื่องที่นี่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าไปหาเรื่องทหารสวรรค์ของที่นี่ ที่นี่มียอดฝีมือมากมาย วรยุทธ์เล็กน้อยของพวกเจ้าที่พิภพเล็กยังนับว่าสำคัญอะไร อยู่ที่นี่ไม่พอให้ขู่อะไรได้หรอก ที่นี่มีนักพรตบงกชรุ้งนั่งรักษาการณ์ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นพวกเจ้าก็หนีไม่พ้น แล้วก็อย่าเปิดเผยที่มาที่ไปของตัวเองนะเมื่ออยู่ที่นี่ ข้ากับเหมียวอี้ก็แกล้งเป็นเพื่อนกันธรรมดาเท่านั้น พวกเจ้าไม่คุ้นเคยกับสภาพชีวิตที่นี่ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย”

พูดจบก็ตั้งใจยืนขึ้นคำนับอวิ๋นเซี่ยว แล้วบอกว่า “ท่านอาหก พิภพใหญ่ไม่ใช่สถานที่ที่สงบสุข สามวันนี้เชิญตามสบายค่ะ ข้าไม่สะดวกจะมาอยู่ด้วย เกรงว่าจะทำให้คนสงสัยโดยไม่จำเป็น ที่ตลาดสวรรค์มีโรงเตี๊ยม สามารถใช้เหรียญผลึกที่นี่ได้ บนตัวท่านอาหกนำเงินมาด้วยหรือเปล่า? ถ้าไม่มี เสี่ยวชิวจะนำมาสนับสนุนให้ท่านอาหกสักหน่อย”

อวิ๋นเซี่ยวหัวเราะเบาๆ แล้วโบกมือบอกว่า “ท่านอาหกของเจ้าไม่ได้จนถึงขั้นไม่มีเงินค่าโรงเตี๊ยมหรอก พูดอย่างนี้แล้วกัน ข้าอดใจรอไม่ไหวอยากจะเดินดูสักหน่อยแล้ว”

อีกสี่คนก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน ต่างก็อดใจรอไม่ไหวแล้ว

อวิ๋นจือชิวไม่สะดวกจะรั้งไว้ หันกลับมาสั่งว่า เชียนเอ๋อร์ ช่วยไปส่งให้ข้าหน่อย”

“เชิญ!” เชียนเอ๋อร์ยื่นมือเชิญ แล้วเดินนำทางไป

พอเดินออกจากภูเขาจำลอง พวกเขาก็เหลียวซ้ายแลขวาแล้ว ตอนที่เดินผ่านร้านค้า พวกบัณฑิตที่เห็นคนพวกนี้ก็พากันอึ้ง และคนพวกนี้ก็เห็นว่าคนส่วนใหญ่ในร้านเป็นคนงานของโรงเตี๊ยมเมฆาวายุในปีนั้น พวกเขากระตุกมุมปากเล็กน้อย สงสัยแม้แต่ลูกน้องพวกนี้ก็ได้มาที่พิภพใหญ่ตั้งนานแล้ว

เชียนเอ๋อร์พาพวกเขามาส่งถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมแล้ว

พวกเขายืนอยู่ด้านนอกโรงเตี๊ยม มองไปยังผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนน ในกลุ่มคนปะปนไปด้วยปราณปีศาจ บ้างก็มีปราณผี แค่มองปราชญ์เดียวก็รู้ว่าผู้ที่สัญจรไปมาคือนักพรตทั้งหมด

ตึกสูงอาคารใหญ่ที่มีลักษณะแตกต่างกันไปทำให้พวกเขาตาลายไปหมดแล้ว

บังเอิญว่าเป็นตอนนี้พอดี ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งที่กำลังลาดตระเวนเดินเข้ามา หัวหน้าที่มีท่าทางลำพองใจไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเลี่ยหวนที่สวมเกราะรบสีทองนั่นเอง กำลังเอามือไขว้หลังเดินกร่างนำอยู่ข้างหน้าอย่างองอาจผึ่งผาย คนบนถนนหลีกทางให้สองฝั่งทันที

“นั่นนักพรตปีศาจเลี่ยหวนไม่ใช่เหรอ?” หวังเต้าหลินศิษย์คนโตของซือถูเซี่ยวถ่ายทอดเสียงถามทุกคน

พวกเขามองเห็นเลี่ยหวน เลี่ยหวนก็มองเห็นพวกเขาแล้วเหมือนกัน ตกตะลึงเช่นกัน คิดในใจว่าคนพวกนี้มาที่นี่ได้อย่างไร?

เลี่ยหวนยกมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที นำกำลังพลหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว

หลังจากเอามือไขว้หลังเดินวนทั้งห้ารอบหนึ่ง เลี่ยหวนก็โบกมือกล่าวว่า “คนพวกนี้มีพฤติกรรมน่าสงสัย อย่าให้หนีไป!”

กลุ่มทหารสวรรค์ชักอาวุธออกมาพร้อมกันทันที มาล้อมทั้งห้าคนเอาไว้ พอคนที่เดินถนนเห็นสถานการณ์แบบนี้ก็สุมหัวกระซิบกระซาบกัน

พวกอวิ๋นเซี่ยวโมโหทันที นึกถึงคำที่อวิ๋นจือชิวกำชับ จึงได้แต่มองดูตัวเองโดนล้อมเอาไว้ กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอะไร

โชคดีที่เชียนเอ๋อร์ยืนอยู่ตรงประตูพอดี พอเห็นสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลจึงรีบเดินเข้ามา นางยังไม่ทันพูดอะไร เลี่ยหวนก็ถ่ายทอดทอดเสียงถามแล้วว่า “กูกูใหญ่ คนพวกนี้นี่ยังไงกัน?”

“อย่าทำซี้ซั้ว ฮูหยินเป็นคนพามาเอง” เชียนเอ๋อร์ตอบ

เลี่ยหวนขานรับ คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ถูก ฮูหยินจะพาคนพวกนี้มาทำไมกัน? จึงนำระฆังดาราออกมาติดต่อกับฝูชิงเพื่อยืนยัน ฝูชิงบอกว่าเป็นการเตรียมการของเหมียวอี้ ไม่ให้เขาทำอะไรซี้ซั้ว เลี่ยหวนที่เดิมทีอยากจะฉวยโอกาสระบายอารมณ์จึงโบกมือ พาคนเดินจากไป ทิ้งให้พวกอวิ๋นเซี่ยวกัดฟันกรอดอยู่อย่างนั้น

พอมาถึงก็พบเรื่องน่ารำคาญใจ นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ต่อมา พวกอวิ๋นเซี่ยวที่เริ่มเดินดูจนทั่วถึงได้รู้ว่าตัวเองยากจนขนาดไหน

ร้านค้าที่ชูสลอนอยู่ที่นี่มีของดีมากมายจริงๆ ทำให้พวกเขาตาลาย รู้สึกเหมือนเป็นบ้านนอกเข้าเมือง แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีของดีชิ้นไหนที่พวกเขาซื้อไหวเลย ของที่ดีจริงๆ ต่อให้นำหกปราชญ์ไปขายก็ซื้อไม่ไหว

พออยู่ไปสามวัน ทั้งห้าคนก็รู้สึกทึ่งสุดๆ แล้วจริงๆ…

พิภพเล็ก ตำหนักอู๋เลี่ยง ทั้งห้าปราชญ์ล้วนมีลูกศิษย์มาคอยปรนนิบัติ เหมียวอี้มีท่าทีที่เลวร้ายมาก ไม่สนใจการกินอยู่ของทั้งห้าคนเลย

หลังจากถามอาจารย์ว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เทพธิดาหงเฉินก็ออกจากลานบ้านเล็ก แล้วมุ่งตรงไปขอพบเหมียวอี้ที่ตำหนักหลัง

เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว  พอพบเหมียวอี้ หงเฉินก็อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

เหมียวอี้เห็นแล้วหัวเราะทันที หลังจากบอกให้คนในโถงหลักออกไป ก็เชิญให้หงเฉินนั่งลง แล้วถามว่า “ตอนนี้พูดได้แล้วมั้งว่ามีธุระอะไร?”

หงเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “เจ้าเริ่มแข็งแกร่งแล้ว เพื่อที่จะควบคุมเจ้า อาจารย์กักบริเวณเยว่เหยาแล้ว…” นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ ทันที

“นางมารร้ายมู่ฝานจวิน!” เหมียวอี้ตะคอกอย่างเดือดดาล นึกไม่ถึงว่ามู่ฝานจวินจะรู้ความจริงของเจ้ารองแล้ว และเพิ่งรู้ด้วยว่าเจ้าสามกำลังโดนขัง โมโหแล้ว เขารู้สึกผิดต่อวิญญาณบิดามารดาของเจ้าสามมาตลอด ตอนเด็กดูแลเจ้าสามไม่ดี ตอนนี้พอได้รู้ว่าเจ้าสามกำลังโดนคนรังแก เขาจะระงับไฟโกรธไว้ได้อย่างไร เดินก้าวยาวออกไปนอกโถงทันที

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” หงเฉินรีบมาขวางเขา

“ก็ต้องไปคิดบัญชีกับนางมารร้ายนั่นน่ะสิ!” เหมียวอี้สีหน้าเย็นเยียบดุร้าย ชี้หน้าหงเฉินพร้อมตะคอกว่า “เจ้าหลีกไป ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

หงเฉินไม่ยอมหลีกทาง แต่ถามกลับว่า “เจ้าจะคิดบัญชียังไง? เจ้ามีบุญคุณที่เลี้ยงดูเยว่เหยามา แต่อาจารย์ข้าไม่มีบุญคุณที่เลี้ยงดูเยว่เหยามาเหรอ ถ้าพูดถึงบุญคุณที่มีต่อเยว่เหยา เมื่อเทียบกับเจ้าแล้วอาจารย์ข้าก็มีบุญคุณไม่น้อยไปกว่ากันเลย เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นพี่ชายคนโต แต่อาจารย์กลับเป็นเสมือนบิดา! อาจารย์สั่งสอนลูกศิษย์คือหลักการของฟ้าดินที่ต้องทำอยู่แล้ว ใครก็ว่าไม่ได้สักคำ เจ้าจะคิดบัญชียังไง? ต่อให้เจ้ามีความสามารถที่จะคิดบัญชี แต่เจ้าจะให้เยว่เหยาทำยังไง? คนหนึ่งก็เป็น ‘พี่ชายคนโต’ คนหนึ่งก็เป็นเสมือน ‘บิดา’ เยว่เหยาควรจะช่วยใครล่ะ?”

“อย่ามาใช้มุกนี้ เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ มู่ฝานจวินนับว่าเป็นบิดาบ้าอะไรล่ะ เยว่เหยาน่ะข้าเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ถ้าพูดด้านความผูกพัน เยว่เหยายังพูดพันกับเจ้ามากกว่าเลย!” เหมียวอี้พูดถากถาง

หงเฉินถอนหายใจแล้วบอกว่า “มาพูดตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย ถ้าไม่มีอาจารย์ก็ไม่มีเยว่เหยาในวันนี้ เยว่เหยาไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณ ไม่อย่างนั้นคงไม่คิดถึงพี่ชายคนโตอย่างเจ้าอยู่ตลอดหรอก ถ้าพูดให้เบาลงหน่อย ต่อให้สิ่งที่เจ้าพูดจะมีเหตุผล แต่อาจารย์ก็เตรียมตัวไว้แล้วเช่นกัน ตอนที่ขังเยว่เหยาก็ได้บอกเยว่เหยาไว้แล้ว ว่าถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิด อาจารย์ก็จะลงโทษข้าก่อน แล้วก็เป็นอย่างที่เจ้าบอก เยว่เหยาจะทนดูข้ารับความลำบากได้เหรอ? ถ้าเจ้ากับอาจารย์ข้ามีความสัมพันธ์เหมือนเมื่อก่อนไปตลอด ทุกคนรักษาความสงบได้ก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้เจ้าผงาดขึ้นมาแล้ว ความสัมพันธ์ไม่ได้เป็นแบบเมื่อก่อน ต่อไปก็ยังไม่รู้ว่าระหว่างพวกเจ้าจะเกิดความขัดแย้งอะไรขึ้น ข้ากลัวมาก กลัวว่าวันไหนเยว่เหยาจะลำบากเพราะข้า”

เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ ก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้กำลังคำนึงถึงเจ้าสาม ความโมโหในใจเหมียวอี้สงบลง ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ว่ามู่ฝานจวินกำลังใช้ประโยชน์จากเจ้า ทำไมไม่หนีไปล่ะ? ถ้าเจ้าเป็นห่วงเยว่เหยาจริงๆ ไม่สู้ทำแบบนี้มั้ย ข้าจะหาที่สงบๆ ให้เจ้าอยู่ ขอเพียงเจ้าหลุดพ้นเงื้อมมือมารของมู่ฝานจวิน มู่ฝานจวินก็จะใช้เจ้าไปควบคุมเยว่เหยาไม่ได้อีก ถึงตอนนั้นข้าค่อยหาทางเสี้ยมมู่ฝานจวินกับเยว่เหยาให้แตกคอกัน แบบนั้นก็ย่อมตัดความรู้สึกที่เยว่เหยามีต่อมู่ฝานจวินได้แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าก็ทนให้เจ้าสามลำบากใจไม่ไหวจริงๆ ไม่อย่างนั้นข้าคงหาทางไปชิงตัวเจ้าสามมาจากแดนโพ้นสวรรค์ตั้งนานแล้ว”

“นี่เจ้าจะให้ข้าทรยศอาจารย์เหรอ!” หงเฉินตวาด

“อาจารย์ที่มีเจตนาไม่ดีแบบนี้ เจ้าจะไปนับนางเป็นอาจารย์ทำไม?” เหมียวอี้ถามอย่างหงุดหงิด

หงเฉินส่ายหน้า “อาจารย์ก็มีบุญคุณที่เลี้ยงดูสั่งสอนข้ามาเหมือนกัน ให้เสื้อผ้าให้อาหาร ถ่ายทอดวิชาความรู้ ตอนเด็กก็ปฏิบัติต่อข้าเหมือนเป็นบิดามารดาแท้ๆ  ยามวิกฤตก็ช่วยข้าให้พ้นจากความลำบาก ถ้าข้าทรยศนาง ข้ายังจะเอาหน้าจากไหนมายืนอยู่บนโลกนี้ได้อีก?”

“งั้นเจ้าจะมาหาข้าทำบ้าอะไรล่ะ” เหมียวอี้กล่าวด้วยใบหน้าขรึม

“ข้ามาทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้า” หงเฉินตอบ

“สัญญา?” เหมียวอี้งุนงง ถามอย่างสงสัยว่า “ข้าเคยสัญญาอะไรกับเจ้าไว้เหรอ?”

หงเฉินยิ้มเจื่อนพร้อมถามว่า “ตำหนักดาวประจิม รอให้เจ้าคว่ำเมฆพลิกฝนได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้ถือว่าเจ้าคว่ำเมฆพลิกฝนที่พิภพเล็กได้หรือยัง?”

…………………………