ตอนที่ 467 หากข้าอยู่ฝั่งฮ่องเต้เจ้าก็ตายไปนานแล้ว / ตอนที่ 468 ปล่อยเหลียงอู๋เย่ว์ไปอยู่ชายแดน

ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง

ตอนที่ 467 หากข้าอยู่ฝั่งฮ่องเต้เจ้าก็ตายไปนานแล้ว

 

 

กำลังทหารของซู่หยางและเฟินหยางมีมากกว่าซู่อ๋องมาก ที่พวกเขายอมร่วมมือกับซู่อ๋องก็เป็นเพราะเมืองหลวงมีราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อน ดังนั้นจึงมีความเป็นได้ที่ซู่อ๋องจะสืบราชสมบัติอยู่มาก พวกเขาร่วมมือกับซู่อ๋องอย่างน้อยก็สามารถอ้างการล้มฮ่องเต้ที่ไม่ชอบธรรมเข้าวังอย่างเปิดเผย ก่อนเข้าวังพวกเขายังอยู่บนเรือลำเดียวกัน หลังจากเข้าวังแล้ว ใครจะได้ดีก็อยู่ที่ชะตาลิขิต ต้องสู้รบกันเองแล้ว ตำแหน่งฮ่องเต้จะเป็นใครนั้น ทุกคนล้วนต้องใช้ความสามารถของตัวเองแล้ว

 

 

ซู่อ๋องเป็นคนที่มีคุณธรรม ในเมื่อร่วมมือกับอ๋องนอกด่านทั้งสองคนแล้ว ก็จะไม่ทำเรื่องที่ไร้คุณธรรม เพียงแต่เขาไม่มีใจเป็นอื่น อีกสองคนที่เหลือกลับไม่เคยร่วมใจกับเขา ไม่เช่นนั้นซู่อ๋องบอกความลับของตัวเองไปทั้งหมด พวกเขาไฉนถึงยังต้องปิดบังหลบซ่อน คนที่มีคุณธรรมมากเกินไปไม่เหมาะจะเป็นฮ่องเต้ ตั้งแต่อดีต ผู้เป็นฮ่องเต้มักไม่ได้มีคุณธรรมมากนัก ฮ่องเต้องค์ก่อนที่ร่างราชโองการไว้ก็คงจะคิดว่าเขาทรงคุณธรรมเกินไปกระมัง!

 

 

อวี่เหวินลู่ฟังคำพูดของเขาแล้วก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เฝิงเยี่ยไป๋เหลือบมองเขา บนหน้ามีความเย้ยหยันเล็กน้อย “หากข้าอยู่ฝั่งฮ่องเต้ ยามนี้ศพของเจ้าคงถูกหมาป่าที่สุสานแทะจนหมดสิ้นแล้ว ยังจะสามารถคุยกับข้าอยู่ที่นี่ได้อีกหรือ”

 

 

คำพูดนี้ก็จริงอยู่ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะไม่ยอมให้เขาอยู่ในจวนท่านอ๋อง ส่งเขาไปให้ฮ่องเต้แลกความรุ่งโรจน์จะดีเพียงใด

 

 

“เช่นนั้นแล้วท่านก็เข้าวังไปเยี่ยมเว่ยหมิ่นเสียเถิด ข้าเป็นกังวลเรื่องนางจริงๆ”

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋เม้มปากคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า ฮ่องเต้นั้นฉลาดกว่าพระบิดาของพระองค์ เขาฉวยโอกาสที่เว่ยหมิ่นแท้งลูกแล้วปล่อยข่าวลือว่านางเป็นโรค เช่นนั้นต่อให้วันหลังมีข่าวว่านางตายขึ้นมาก็มีข่าวที่ปล่อยไว้ก่อนหน้ารองรับ ผู้คนก็จะไม่ทันนึกว่าเป็นพระองค์ที่วางแผนไว้ รอถึงตอนนั้นค่อยสร้างฐานะใหม่ให้นางแล้วรับนางเข้าวังอย่างเปิดเผย ใครยังจะนินทาได้อีกหรือ

 

 

ที่จริงแล้ววิธีนี้ก็เป็นวิธีที่บรรพบุรุษของพระองค์คิดขึ้นมา เพียงแต่พอผ่านมาหลายปีก็ค่อยๆ ถูกคนลืมไปเสีย หากจะพูดเช่นนั้นแล้ว นิสัยที่แย่งผู้หญิงคนอื่นนั้นช่างสืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่นเสียจริง

 

 

ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์ ฉลองพระองค์บนพระกาย ประทับพระกายตรงๆ ยามที่ไม่ตรัสนั้น กลับมีความน่าเกรงขามของฮ่องเต้ พระองค์กวาดพระเนตรเหล่าขุนนางที่อยู่ข้างล่าง สุดท้ายสายพระเนตรก็หยุดลงที่เฝิงเยี่ยไป๋ พระองค์แอบถอนหายใจก่อนตรัสว่า “ท่านอ๋อง ระหว่างทางลำบากแล้ว มาถึงเมืองหลวงเมื่อคืนหรือ”

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ขึ้นไปโค้งมือทูลว่า “ทูลฝ่าบาท กลับมาเมื่อคืนยามดึก แต่เพราะดึกเกินไปจึงไม่บังอาจเข้าวังรบกวนฝ่าบาท”

 

 

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ราวกับคิดอะไรอยู่ “ไม่กี่วันก่อนมีคนบอกเราว่าได้เห็นท่านอ๋องในเมือง เรายังคิดว่าท่านอ๋องกลับมานานเสียแล้ว คนของเรานั้นช่างไร้สายตาเสียจริง กลับมาต้องจัดการเสียหน่อยแล้ว”

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ยังไม่ทันคิดอย่างละเอียดว่าตกลงตัวเองหลุดไปยามใดถึงได้ทำฮ่องเต้สังเกตเข้าให้ เพียงแต่ในเมื่อทั้งสองต่างไม่ยอมเปิดเผยออกมา เช่นนั้นก็แกล้งโง่ด้วยกันเสียเลย

 

 

“ครั้งนี้เราส่งเจ้าไปสืบที่ซู่หยางและเฟินหยาง ไม่รู้ว่าผลการสืบเป็นเช่นไรบ้าง”

 

 

การตอบคำถามนี้แทบไม่ต้องคิดเลย เขาพูดไปตามความจริง เอาสิ่งที่ตัวเองเห็นและได้ยินที่ซู่หยางและเฟินหยางทูลให้ฮ่องเต้ รวมถึงทหารเรือที่ปลอมเป็นเรือบ้าน ถ้ำภูเขาที่ซ่อนทหาร ยังมีจำนวนทหารที่สะสมไว้อยู่คร่าวๆ ล้วนรายงานไปให้ฮ่องเต้รู้

 

 

ตอนแรกฮ่องเต้ยังคิดว่าเขาจะหาข้ออ้าง บอกว่าตัวเองไร้ความสามารถ หรือพูดน้อยกว่าที่เป็นอยู่จริง เพียงแต่เขาพูดอย่างมีเหตุผลเช่นนี้ กลับทำเอาฮ่องเต้ไม่รู้จะทำอย่างไรเสียแล้ว

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 468 ปล่อยเหลียงอู๋เย่ว์ไปอยู่ชายแดน

 

 

จุดนี้เฝิงเยี่ยไป๋ก็เดาไม่ผิดจริงๆ ฮ่องเต้ส่งเขาไปสืบความลับทหาร พร้อมกันนั้นก็ส่งคนอื่นไปจับตาดูเขาด้วย ไม่เช่นนั้นตอนที่ตัวเองพูดเช่นนี้ออกมา ฮ่องเต้ก็คงไม่ประหลาดใจเช่นนี้ พระองค์คิดว่าตัวเองจะไม่พูดออกมาทั้งหมด เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะไม่ปิดบังเสียจริง จึงได้ประหลาดใจนัก

 

 

ตอนแรกคิดว่าหากเขาปิดบังแม้เพียงเล็กน้อยก็จะฉวยโอกาสประหารเขาเสีย อย่างไรก็ตามครั้งก่อนที่ให้เขาไปที่เมืองหมอง ซู่อ๋องก็ไม่ได้สนใจเขามากนัก อีกทั้งไม่ได้มีความคิดที่จะฆ่าเขาเลย พวกเขาสองคนไม่สู้กัน เก็บเฝิงเยี่ยไป๋ไว้ก็ย่อมไม่มีประโยชน์ ยังคิดจะฉวยโอกาสกำจัดเขา เพียงแต่ดูจากตอนนี้แล้ว เหมือนว่าเขายังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง

 

 

ข่าวพวกนี้สำหรับพระองค์แล้วเหมือนดั่งฝนในหน้าแล้ง รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง มีข่าวพวกนี้ จะจัดการกับพวกเขาก็ง่ายดายราวกับบี้มดให้ตาย

 

 

ข่าวลือที่แพร่กระจายอยู่เมื่อวานทำเอาฮ่องเต้กริ้วหนัก วันนี้ได้ยินข่าวที่เฝิงเยี่ยไป๋นำกลับมาก็อารมณ์ดีขึ้นมา หลังเลิกราชกิจก็ให้เขาอยู่ต่อคนเดียว ถามเขาว่ามองเรื่องอ๋องนอกด่านก่อกบฏเป็นอย่างไร จะรับมือเช่นไร แถมยังมีท่าทีที่จะขอความคิดเห็นด้วยความจริงใจ เฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่บอกปัด มีอะไรก็ทูลสิ่งนั้น แถมยังทูลอย่างมีเหตุผลขึ้นมา

 

 

ฮ่องเต้ทรงฟังเขาไปพลาง สังเกตเขาไปพลาง คิดว่าเขาเปลี่ยนนิสัยไปแล้วหรือ หรือว่าถูกพระองค์ขู่จนกลัว คิดจะภักดีกับพระองค์แล้ว พอคิดดูดีๆ แล้วก็ใช่ ท่านอ๋องเป็นตำแหน่งที่ใหญ่โตเพียงใด ข้อดีของการเป็นขุนนางก็มีแต่ได้เป็นเองแล้วถึงจะรู้ บนโลกนี้มีใครไม่รักเงินบ้าง เปลี่ยนเป็นคนอื่น ต่อต้านฮ่องเต้จะได้ดีหรือ ไม่สู้คว้าความรุ่งโรจน์ที่อยู่ตรงหน้า อย่างน้อยที่มีอยู่ตรงหน้าก็เป็นของจริง

 

 

สุดท้ายก็พูดถึงเว่ยหมิ่น ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้เจอเขายังรู้สึกหวาดกลัว ตอนนี้ท่าทีของฮ่องเต้เผยออกมาแล้ว คำพูดของเขาแข็งกร้าวขึ้นไม่น้อย พระองค์แสร้งทำท่าปวดใจพลางตรัสว่า “เราได้ประหารนางกำนัลที่อยู่ข้างกายนางแล้ว ปรนนิบัตินายหญิงไม่ดี ทำให้ท่านหญิงแท้งลูก ฆ่าพวกนางถือว่าเมตตาพวกนางแล้ว ความคิดของเราก็ควรจะประหารเจ็ดชั่วโคตรถึงจะถูก เพียงแต่เว่ยหมิ่นเพิ่งแท้งลูก ไม่ควรจะประหารคนมาก ไม่เช่นนั้นจะทำให้บุญของเด็กเสียหมด ลงไปแล้วก็ไม่อาจเกิดใหม่ได้”

 

 

คำพูดนี้ช่างตรัสได้งามเสียจริง ไม่กี่ประโยคก็ปัดฝุ่นตัวพระองค์เองให้ใสสะอาด หากผู้เป็นบ่าวปรนนิบัติเจ้านายไม่ดี ตามนิสัยของฮ่องเต้ จะง่ายดายเพียงแค่ตัดศีรษะเท่านั้นหรือ ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เห็นพระองค์กริ้ว เป็นพระองค์ที่อยากให้เด็กตาย ตอนนี้เด็กตายไปแล้วก็สมดั่งหวังของพระองค์แล้ว

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่เถียงพระองค์ เขาแอบกำหมัด ยิ้มมุมปากแล้วทูลว่า “ข้าอยากจะไปเยี่ยมท่านหญิง ฝ่าบาทคงไม่ปฏิเสธกระมัง อย่างไรเสียท่านหญิงก็เป็นน้องสาวข้า ข้าไปเยี่ยมเสียหน่อยคงไม่เป็นไรกระมังพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

พูดมาถึงตรงนี้แล้ว จะไม่ให้ไปอีกก็คงจะสงสัย ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ตอบรับ “อย่างไรเสียพวกเจ้าสองคนพี่น้องก็โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ความผูกพันยังคงอยู่ ไม่ให้เจ้าไป เราก็เห็นจะทำเกินไปสียแล้ว เอาล่ะ เจ้าไปเสียเถิด! เราไม่ไปแล้ว ไปเยี่ยมนางทุกวัน กลับทำเอานางไม่สบายใจแล้ว”

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ประสานมือลาจาก เดินไปถึงประตูตำหนักก็หันหลังกลับมาทูลถามฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท ข้าได้ยินว่าจวนท่านหญิงถูกกององครักษ์ล้อมเอาไว้แล้ว ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะจัดการเหลียงอู๋เย่ว์เช่นไร”

 

 

เขาอ้าปากก็ใช้คำว่าจัดการ ฮ่องเต้ไม่ทันสังเกต ก็ตกอยู่ในหลุดพลางของเขา ตรัสต่อไปว่า “ตอนนี้จะจัดงานสมรสคงไม่ได้แล้ว ตอนนี้เว่ยหมิ่นก็คงทนลำบากไม่ไหวแล้ว ส่วนเหลียงอู๋เย่ว์ เราอยากให้เขาปล่อยไปอยู่หรู่หนานกระมัง!”