บทที่ 417 ละโมบ

บัลลังก์พญาหงส์

​หัวค่ำหลิวเอินก็เข้ามาในจวน

เมื่อถามเรื่องหยวนฉงหวาของจวนคังอ๋อง หลิวเอินกลับส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ เรื่องภายในเรือนในคังอ๋องนั้นปิดบังเอาไว้เป็นอย่างดี วิธีการของพระชายาคังอ๋องดีเลยทีเดียวขอรับ” หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดอีกว่า “หากต้องการสอบถามบางอย่าง ข้าน้อยก็พอจะคิดหาวิธีได้ขอรับ”

ในเมื่อหลิวเอินไม่รู้เรื่องนี้ ถาวจวินหลันก็ได้แต่ส่ายหัว “เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็ก ตอนนี้เรื่องของท่านอ๋องสำคัญกว่า เจ้าสนใจทางด้านนั้นไปก็พอแล้ว เรื่องของข้าไม่จำต้องมาสนใจ วันนี้ที่เรียกเจ้ามาจุดประสงค์หลักก็เพราะผู้ลี้ภัยนอกเมือง ในตอนนี้สถานการณ์ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง?

เพราะว่าประตูเมืองปิด ดังนั้นถาวจวินหลันจึงสั่งให้ปิดประตูใหญ่ของจวน เหลือเพียงแค่ประตูเล็กที่เอาไว้ออกไปจับจ่ายซื้อของ ดังนั้นข่าวคร่าวจึงไม่ถือว่ารวดเร็วมากนัก

หลิวเอินได้ยินนางถามเรื่องภายนอกเมือง ใบหน้าก็แสดงท่าทีขบขัน “กระจายไปไม่น้อยเลยขอรับ ไปที่พักที่ทางราชสำนักจัดเอาไว้ให้ ไปรับอาหารทุกวันก็สงบขึ้นมากขอรับ แต่ก็ยังเหลือกว่าครึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมทิ้งอาวุธในมือไปยังที่พักที่ราชสำนักเตรียมไว้ให้ ยังคงร้องจะเข้าเมืองขอรับ”

“เมื่อเป็นเช่นนี้วิธีของท่านอ๋องก็ได้ผลจริงด้วย” ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็โล่งอก แอบรู้ยินดีเสียด้วยซ้ำไป

ในเมื่อเกิดผล ฮ่องเต้ก็จะยิ่งให้ความสำคัญกับหลี่เย่มากขึ้นหลายเท่าเป็นแน่

“เกิดผลขอรับ แต่ผลที่ได้รับก็น้อยเหลือเกิน” หลิวเอินยิ้ม ส่ายหัวอีกครั้ง “สุดท้ายแล้วตลอดทั้งเส้นทาง คนที่เหลือก็ไม่ใช่คนดีนัก ตอนนี้เมื่อแยกออกมาอย่างนี้แล้ว คนที่เฝ้าหน้าประตูเมืองอยู่เหล่านั้นก็ยิ่งไม่ใช่คนดีเป็นแน่ขอรับ”

“ถ้าอย่างนั้นราชสำนักก็น่าจะเริ่มกำจัดสลายกลุ่มภายในไม่กี่วันนี้แล้ว” หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็พูดออกมาเช่นนี้

หลิวเอินก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน จึงพยักหน้า “ของที่ชายารองเตรียมเอาไว้ใกล้จะได้เอาออกมาใช้แล้วขอรับ ผู้ลี้ภัยจริงๆ เหล่านั้นอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงแล้ว”

ถาวจวินหลันถอนหายใจ “พูดไปแล้วก็ไม่รู้ว่าเตรียมไปเอาไว้พอหรือไม่”

หลิวเอินมองถาวจวินหลัน ท้ายสุดก็กลืนคำพูดในปากของตนกลับลงไป ที่จริงแล้วครั้งนี้เกิดภัยแล้งก่อน แล้วฝนก็ตกหนัก รวมทั้งคนลี้ภัยมา คนที่ตายระหว่างทางมากมายจนนับไม่ถ้วน สุดท้ายคนที่อยู่รอดมาถึงเมืองหลวงก็ไม่ได้ถือว่าเยอะ

หลิวเอินกลับไปไม่นาน หลี่เย่ก็กลับมาอย่างรีบร้อน มองดูท่าทางซูบโทรมไปไม่น้อยของเขา ใจของถาวซินหลันก็เริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมา รีบจัดการวุ่นวาย เตรียมน้ำร้อนเตรียมอาหารเอาไว้

หลี่เย่มองดูท่าทางยุ่งเป็นลูกข่างของถาวจวินหลันก็อดยิ้มไม่ได้ เขาพลันรู้สึกอบอุ่นใจทันที สองวันมานี้เขากลับมาไม่ได้ แต่ก็คิดถึงถาวจวินหลันทุกวัน อยากดูท่าทางยุ่งวุ่นวายจัดการเรื่องต่างๆ ของนาง อยากได้ยินเสียงนางพูดเรื่องจิปาถะในจวน มีเพียงเช่นนี้ถึงทำให้เขาผ่อนคลายได้จริง

ความรู้สึกเช่นนี้ถึงเป็นความรู้สึกครอบครัวที่แท้จริง ตอนที่อยู่ในวังหลวง ในหัวของเขาไม่มีสักวินาทีเดียวที่ไม่เคร่งเครียด โดยเฉพาะตอนที่เผชิญหน้ากับฮ่องเต้ก็ยิ่งเครียด ฮ่องเต้ตอนนี้เทียบกับที่ผ่านมาไม่เพียงแค่ขี้สงสัยแล้วยังขี้หงุดหงิดเพิ่มอีกหลายส่วน

เมื่อวานนี้บ่าวที่ปรนนิบัติภายในยกชามาให้ไม่เหมาะสม ถูกสั่งโบยไปห้าสิบที จนชีวิตหลุดลอยไป พริบตาเดียวทุกคนก็เริ่มระมัดระวังมากขึ้น

ต่อให้เป็นขันทีเป่าฉวนก็ต้องรักษาสติเอาไว้กว่าสองหมื่นส่วน

“สองวันมานี้เป็นอย่างไรบ้าง?” ตอนที่ถาวจวินหลันช่วยเช็ดมือให้เขา หลี่เย่ก็โอบถาวจวินหลันเข้ามาในอ้อมกอด ดมกลิ่นหอมมะลิอ่อนๆ บนตัวของนาง รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างสบายไปไม่น้อย พอลองพิจารณาดูถึงได้เห็นว่าสิ่งที่ใส่ไว้ตรงหูไม่ใช่ต่างหู แต่เป็นดอกมะลิดอกเล็กๆ สีขาวดอกหนึ่งแนบอยู่บนติ่งหูกลมนุ่ม ก็ยิ่งทำให้ดอกไม้นั้นขาวสะอาดน่ารัก ติ่งหูนุ่มนวลยั่วยวนใจ

หลี่เย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ดม เพียงแค่กอดถาวจวินหลันนิ่ง ดมกลิ่นหอมบนกายของนาง หรี่ตาลงพักผ่อนสายตา สองวันมานี้เหนื่อยเกินไปกว่าจะได้ผ่อนคลายก็ไม่ง่าย แทบจะไม่อยากขยับไปไหนเลย

ถาวจวินหลันถอนหายใจ เพียงแค่แสดงท่าทีให้บ่าวรับใช้ออกไป ตนเองก็ไม่ขยับ แต่กลับอดกอดหลี่เย่ไว้แน่นๆ ไม่ได้ สองวันมานี้นางเองก็ไม่ค่อยสบายใจ ตอนนี้หลี่เย่กลับมาแล้ว นางก็เหมือนมีที่พึ่งพิงอาศัยแล้ว ฉับพลันนั้นก็รู้สึกว่าผ่อนคลายในทันใด

เทียบกับความต้องการนางของหลี่เย่ กลายเป็นว่านางต้องการหลี่เย่มากกว่า

ทั้งสองคนไม่มีใครเอ่ยปากพูด เพียงแค่นั่งพิงอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ผ่านไปครูเหนึ่งถาวจวินหลันถึงได้ขยับเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “อาหารเย็นหมดแล้วเพคะ รีบทานเสียเถิด”

หลี่เย่กลับไม่ปฏิกิริยา ถาวจวินหลันเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นเขานอนหลับตาไปแล้ว ในใจทั้งอดรู้สึกสงสารและจนปัญญาไม่ได้ นั่งอยู่อย่างนี้ก็ยังหลับได้ เห็นได้ว่าหลายวันมานี้เขาใช้ชีวิตอย่างไร

นางลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ทำใจปลุกหลี่เย่ไม่ได้ เพียงแค่จัดการให้หลี่เย่นอนพิงอ้อมกอดของตัวเองอย่างเบามือ แล้วตบหลังของหลี่เย่เบาๆ ช้าๆ เหมือนกับตอนที่กล่อมซวนเอ๋อร์เข้านอน

แม้จะบอกว่าหลี่เย่เหน็ดเหนื่อยมากถึงได้นอนหลับไปเช่นนั้น แต่ท้ายที่สุดก็สะดุ้งตื่น ด้วยเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ตอนที่ตื่นก็ยังทำใจขยับไม่ได้ จึงนอนนิ่งเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาที่สงบสุขเช่นนี้ แล้วถึงพูดขึ้นมาว่า “ข้านอนไปนานเพียงใด?”

“ไม่นานเพคะ หิวหรือไม่? ข้าจะให้คนมาตั้งสำรับอาหารดีหรือไม่?” ถาวจวินหลันถามเสียงอ่อน

หลี่เย่เริ่มรู้สึกหิวจริงๆ แล้ว จึงพยักหน้ารับปาก

ที่จริงแล้วพูดว่าตั้งสำรับอาหารก็เป็นเพียงแค่บะหมี่เห็ดหอมชามหนึ่งเท่านั้น เนื้อก็ใช้หมูชิ้น น้ำแกงก็เป็นนำแกงไก่ ทว่ากับแกล้มเป็นเพียงผักแห้งสองสามชนิดเท่านั้น อย่างไรตอนนี้ก็หาของสดใหม่ยาก ภายในจวนไม่มีของเหลือแล้ว ยังดีที่พอมีผักแห้งเหล่านี้บ้าง ก็ยังพอแก้ขัดไปก่อนได้

หลี่เย่เองก็ไม่ใส่ใจ หยิบถ้วยบะหมี่ขึ้นมาพลางตักเข้าไปคำใหญ่ ของในวังหลวงที่ทานมาหลายวันนี้แม้ว่าจะไม่เหมือนที่จวนเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะทำออกมาได้มีกลิ่นหอมเหมือนทำที่บ้าน สามารถเทียบได้กับตอนนี้ เป็นเพียงแค่เส้นแป้งธรรมดา แต่พอได้กลิ่นแล้วก็ชวนให้อดใจไม่ไหว

มองดูหลี่เย่ทานอย่างเอร็ดอร่อยถาวจวินหลันก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ “หรือว่าหลายวันมานี้ที่อยู่ในวังหลวงไม่ได้ทานข้าวอิ่มท้องเลยหรือเพคะ?”

หลี่เย่ละจากอาหารมาตอบ “รีบๆ ทานเพียงไม่กี่คำเท่านั้น ร่วมโต๊ะกับเสด็จพ่อยิ่งกินไม่อร่อยเข้าไปใหญ่” ฮ่องเต้เป็นห่วงประชาชนทำให้ไม่ค่อยอยากอาหาร เขาที่เป็นลูกชายคงกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ข้างๆ ไม่ได้มิใช่หรือ? ทำได้แค่พยายามกินให้เร็ว ฮ่องเต้วางตะตะเกียบเมื่อไรเขาก็ต้องวางตาม ต่อให้กินไม่อิ่มก็ทำได้เพียงหาของว่างกินสักเล็กน้อยเป็นการส่วนตัว

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็พอเดาได้บ้าง จึงถอนหายใจพูดว่า “เวลานี้คิดว่าคงไม่มีใครมีอารมณ์สังสรรค์ ดื่มกินกันยกใหญ่หรอกเพคะ”

หลี่เย่พูดว่า “ถ้าไม่ผิดจากที่คาดไว้ วันมะรืนก็จะเปิดประตูเมืองได้แล้ว”

ถาวจวินหลันนิ่งไป จากนั้นก็รีบถามเขาว่า “พรุ่งนี้ก็จะกำจัดสลายกลุ่มจลาจลแล้วหรือ? ได้พูดหรือไม่ว่าจะสลายกำลังอย่างไร? ชีวิตคนเยอะถึงเพียงนั้น…” คงจะไม่ใช่ว่าฆ่าให้ตายเสียทั้งหมดหรอกใช่หรือไม่? นี่ไม่ใช่สนามรบ คนพวกนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นชาวสวนชาวไร่ทั้งนั้น

“หากคัดค้านอย่างรุนแรงเกรงว่าคงทำได้แค่ฆ่าให้ตายคาที่ หากยอมทำตามที่จัดการเอาไว้ก็จะจับเอาไว้ดูท่าทีก่อน รอจนผ่านไปแล้วค่อยนำส่งกลับบ้านเดิม” หลี่เย่ส่ายหน้า ท่าทีจนปัญญาเล็กน้อย “แต่หากลงมือกันขึ้นมาจริงๆ ก็พูดยากแล้ว”

“นั่นเป็นคนของราชสำนักหรือ?” สิ่งที่ถาวจวินหลันเป็นกังวลมากที่สุดก็คือเรื่องนี้

หลี่เย่ส่ายหัว “ไม่ใช่ เป็นทหารยามรักษาเรือนของบรรดาตระกูลใหญ่และคนในมือของจวนต่างๆ กับกองทหารรักษาเมืองแต่เดิม คนทั้งหลายรวมๆ กันแล้วก็ราวๆ เจ็ดแปดพันคน”

ถาวจวินหลันขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ก็ต้องมีคนนำไม่ใช่หรือ? เป็นตระกูลใดกันที่ดวงตกต้องรับหน้าที่นี้?”

“จวนเหิงกั๋วกงเสนอตัวขอรับหน้าที่นี้เอง” หลี่เย่ยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็น “ที่ส่งมากลับเป็นลูกชายที่เกิดจากอนุภรรยา เพิ่งจะได้รับตำแหน่งราชการ มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่ามาเป็นหุ่นเชิด”

ถาวจวินหลันก็ยิ้มเช่นเดียวกัน “ไม่ว่าจะเอามาเป็นหุ่นเชิดหรือไม่ อย่างไรขอแค่จวนเหิงกั๋วกงออกหน้าก็พอแล้วเพคะ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเรียกชื่อเสียงของฮ่องเต้กลับมาได้บ้าง แต่จวนเหิงกั๋วกงกลับต้องแบกชื่อเสียงเน่าเสียเสียแล้ว”

หลี่เย่พยักหน้า “เรื่องนี้เสด็จพ่อและเหิงกั๋วกงถกเถียงกันอยู่นาน สุดท้ายแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเสด็จพ่อเปรยออกมาว่าจะให้คังอ๋องรับหน้าที่นี้ เกรงว่าจวนเหิงกั๋วกงก็คงยังไม่ยอม”

ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม จากนั้นก็รู้สึกอึดอัดใจ เกรงว่าถ้าเหิงกั๋วกงไม่รับเรื่องนี้ ฮ่องเต้ก็คงจะให้คังอ๋องออกหน้าจริง เหตุผลก็พร้อม คังอ๋องเป็นรัชทายาท เรื่องนี้ให้เขาออกหน้าดีที่สุด

จากเรื่องนี้ก็รู้ได้ว่าจวนเหิงกั๋วกงให้ความสำคัญกับคังอ๋องมากกว่าพ่อแท้ๆ ด้วยซ้ำไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นขวากหนามก็ยอมมุดเข้าไปเพื่อคังอ๋อง

“จบเรื่องนี้ไปเกรงว่าคำสั่งพิธีแต่งตั้งรัชทายาทคงจะลงมาแล้ว พิธีแต่งตั้งอาจจะรอให้พ้นหน้าร้อนไป อย่างไรเสียตอนนี้ภัยพิบัติรุนแรงก็ไม่เหมาะจะจัดงานใหญ่” หลี่เย่พูดอีก จากนั้นก็กำชับว่า “สองสามวันนี้เจ้าหาของที่เหมาะสมไว้แสดงความยินดีเถิด พี่ชายได้พบเรื่องดีๆ เช่นนี้ก็ต้องแสดงออกเสียบ้าง”

ถาวจวินหลันรับคำ พูดว่า “ข้าจะต้องไปหาในห้องเก็บของให้ดีเพคะ”

ถาวจวินหลันเอารายชื่อที่ดินที่ตนเองจัดเรียงออกมาภายในหลายวันมานี้ส่งให้ บนนั้นมีชื่อและที่อยู่ แล้วยังมีขนาดเล็กใหญ่ ล้วนได้จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบชัดเจน “ผู้ลี้ภัยเหล่านั้นรวมตัวกันนอกเมืองไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ในสวนของพวกเราสามารถส่งคนพวกนี้ไปดูแลได้ อย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องใช้คนจำนวนมากเพื่อไปดูแล อย่างที่สองก็สามารถหาที่ไปให้พวกเขาได้ อาศัยอยู่ในสวนก็ยังดีกว่าที่โรงนอน อีกทั้งถ้าทำงานพวกเราก็ให้เงินได้ ถือว่าเป็นเงินค่าแรงของพวกเขา หลังจากเก็บเงินได้ก็กลับบ้านเก่าไป ไม่ถือว่าลำบากมากนักเพคะ”

หลี่เย่มองรายชื่อทีหนึ่ง ท้ายสุดก็อดออกแรงบีบมือถาวจวินหลันไม่ได้ แล้วพูดออกมาอย่างจริงใจว่า “ขอบใจเจ้ามาก”

ถาวจวินหลันเม้มปากหัวเราะ “ขอบใจอะไรกันเพคะ? หรือว่าพวกเราไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน? อีกอย่างพวกผู้ลี้ภัยเหล่านั้นก็น่าสงสาร แล้วข้าเองก็ถือโอกาสได้รับชื่อเสียงที่ดีงามไปด้วย นี่ก็ถือว่าเป็นความในใจเล็กน้อยด้วย อย่างไรก็ไม่สามารถเทียบกับนักปราชญ์ได้เพคะ”

หลี่เย่กลับพูดว่า “เจ้ารอบคอบจนคิดเรื่องเหล่านี้ได้ ดีกว่าพวกนักปราชญ์เหล่านั้นเสียอีก ขุนนางวิชาการเหล่านั้นกลับไม่มีใครคิดวิธีนี้ได้ ทุกวันรู้แค่ว่าต้องถกเถียงกันว่าจะสลายกำลังหรือไม่สลายกำลังผู้ลี้ภัยเหล่านั้น!”

ได้ยินก็รู้ว่า ในใจของหลี่เย่รู้สึกโกรธบรรดาขุนนางวิชาการที่ไม่รู้ความเหล่านั้นมากเพียงใด