ตอนที่ 662 เข้าใจผิดใหญ่แล้ว โดย ProjectZyphon
ภูเขาชำระจิต
ขณะที่โลกภายนอกสถานการณ์ปรวนแปร หลินสวินกำลังรับรองแขกคนสำคัญผู้หนึ่ง…
เถ้าแก่หลังม่านสังเวียนสวรรค์ยุทธ์จ้าวไท่ไหล!
“ผ่านไปครึ่งปีพบกันอีกครา บุคลิกสหายน้อยยิ่งสง่างามกว่าแต่ก่อน ทำให้ข้ามีความรู้สึกเหมือนเจ้าพัฒนาไปไกลจนต้องมองกันใหม่แล้ว”
จ้าวไท่ไหลรู้สึกทอดถอนใจ
“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว”
หลินสวินยิ้มถ่อมตนยิ่ง เขารู้ดีว่าคนที่นั่งตรงหน้าคือจิ้งจอกเฒ่าผู้ลื่นเหมือนปลาไหล ไร้เรื่องร้อนใจไม่ถ่อมา ครั้งนี้ต้องมีเรื่องมาแน่
ประจวบเหมาะกับที่เขาเองก็มีเรื่องอยากถามอีกฝ่ายพอดี
“ชมเกินไป? เหอะๆ สหายน้อยเจ้าอย่าได้ถ่อมตน คนอื่นไม่รู้วีรกรรมสหายน้อยที่ส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณ แต่ข้าน่ะพอรู้อยู่บ้าง”
จ้าวไท่ไหลยิ้มกริ่ม “ได้ยินว่าสหายน้อยบุกฝ่าตะลุยเดี่ยวตัวคนเดียว สังหารจนเหล่าผู้กล้าแต่ละเผ่าพ่ายแพ้กระเจิดกระเจิง ไร้ผู้ขัดขวาง วีรกรรมเช่นนี้ปัจจุบันมีสักกี่คนที่ทำได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าสหายน้อยยังได้รับมหาศุภโชคจาก ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ นั่นไม่น้อย วาสนาเช่นนี้ทำให้พวกข้าอิจฉาจริงๆ”
หลินสวินนัยน์ตาหรี่ลงอย่างยากสังเกต สีหน้าสำรวมกล่าว “ดูท่า สิ่งที่ผู้อาวุโสทราบจะไม่น้อยเลยทีเดียว เช่นนั้นไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมาครานี้ด้วยเหตุอันใด”
จ้าวไท่ไหลหัวเราะดังลั่น “รับการไหว้วานจากผู้อื่นให้มาเยี่ยมสหายน้อยสักรอบ นอกจากนี้เชื่อว่าในใจสหายน้อยคงมีข้อสงสัยหมายหาคำตอบไม่น้อยเป็นแน่ ข้าน่ะยินดีชี้แจงแถลงไขแก่สหายน้อยแน่นอน”
หลินสวินไม่เกรงใจแม้แต่น้อย กล่าวถามตามตรง “ได้รับการไหว้วานมาจากผู้ใด”
จ้าวไท่ไหลชูสามนิ้ว ยิ้มอย่างลึกลับยิ่ง “รวมแล้วมีผู้สูงศักดิ์สามท่าน เจ้าลองเดาสิว่าเป็นใคร”
“แม่นางจิ่งเซวียนต้องเป็นหนึ่งในนั้น” หลินสวินกล่าวโดยไม่ลังเล
“ฉลาด!”
จ้าวไท่ไหลกล่าวชมเชย “ก่อนที่องค์หญิงจิ่งเซวียนจะจากไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเคยกำชับข้า ขอแค่ทราบข่าวคราวของสหายน้อย ก็ให้ดำเนินการช่วยเหลือสหายน้อยเท่าที่สามารถทำได้”
“นาง… ได้พูดอย่างอื่นอีกหรือไม่”
หลินสวินนึกถึงหญิงสาวงดงามที่บริสุทธิ์ผุดผ่องคนนั้นขึ้นมา ในใจปรากฏความรู้สึกอบอุ่นไหลเวียนวูบหนึ่งอย่างอดไม่อยู่ ก่อนนางจะไปยังไม่ลืมข้า ช่างล้ำค่าหาได้ยากจริงๆ
“สหายน้อยยังอยากรู้อะไรล่ะ”
จ้าวไท่ไหลยิ้มราวพังพอนเหลืองลักลูกไก่ สายตาที่มองหลินสวินเจือแววประหลาดเสี้ยวหนึ่ง ทำให้หลินสวินอึดอัดไปทั้งตัวอยู่บ้าง
“ผู้อาวุโส ท่านอย่ายิ้มอย่างนั้นได้ไหม…”
“สัปดนหรือ”
“ดูท่าผู้อาวุโสรู้จักตนเองดีนะ”
“โธ่ อย่ามองข้าอย่างนั้นสิ เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าอันที่จริงเจ้าน่ะน่าจะบอกข้ามากกว่า เจ้ากับจิ่งเซวียนตอนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่”
จ้าวไท่ไหลแววตาเป็นประกาย ยิ้มคลุมเครือยิ่งกว่าเดิม ทำให้หลินสวินยิ่งอึดอัด รู้สึกว่าตาแก่นี่เข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปอย่างเห็นได้ชัด
หลินสวินกล่าวอย่างระวัง “ผู้อาวุโส ท่านอย่าคิดมาก ข้ากับแม่นางจิ่งเซวียนหาได้มีความสัมพันธ์อื่นใดไม่”
จ้าวไท่ไหลพลันหลุดขำออกมา “ในเมื่อไม่มีความสัมพันธ์อื่นใด ทำไมเจ้าต้องอธิบายด้วย ข้าถามเจ้าหรือ อีกอย่างในเมื่ออธิบายแล้วไยต้องปกปิด ทุกคนล้วนเป็นคนกันเอง ก็แค่พูดเฉยๆ เท่านั้น ทำไมต้องประหม่าเช่นนี้ด้วย”
หลินสวินถูกการย้อนถามติดต่อกันทำเอาเวียนศีรษะไปชั่วขณะ เขาตะลึงงันครู่ใหญ่ถึงค่อยถอนหายใจออกมา หน้าตาอมทุกข์กล่าว “เฮ้อ ผู้อาวุโส ทุกวันนี้ภูเขาชำระจิตของข้ายังมีเรื่องมากมาย ข้าไหนเลยจะมีความคิดสนทนากับท่านเรื่องอื่นอีก”
จ้าวไท่ไหลกลอกตาใส่ กล่าวไม่สบอารมณ์ “เปลี่ยนเรื่องสินะ ได้ ข้าก็จะบอกเจ้าหนูอย่างเจ้า ประเดี๋ยวอย่าได้คิดหาคำตอบอะไรจากปากข้า”
พูดพลางเขายกถ้วยชาขึ้นละเมียดลิ้มรสจิบหนึ่ง ถึงกับเริ่มหลับตาบำรุงจิต
‘เจ้าจิ้งจอกเฒ่านี่ช่างเซ้าซี้จริงเชียว’
หลินสวินหมดคำจะพูดไปพักหนึ่ง แอบค่อนขอดอยู่ในใจ เขาพลันผุดลุกขึ้นพลางกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นผู้อาวุโสก็ดื่มชาพักผ่อนก่อนสักหน่อย รอข้าจัดการเรื่องราวในมือเสร็จค่อยปรึกษาหารือกับผู้อาวุโส”
หลินสวินหันขวับจะจากไป
แรกเริ่มจ้าวไท่ไหลยังค่อนข้างสงบนิ่ง แต่เมื่อเห็นเงาหลังหลินสวินกำลังจะหายไปในประตูทางเข้า ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีร่องรอยลังเลหันหลังกลับเพียงเสี้ยว เขาพลันนั่งไม่ติดทันที
“ไอ้เด็กเวร เจ้าคิดให้ข้าติดแหง็กอยู่ตรงนี้จริงรึ ทำให้ข้าเสียเวลาน่ะไม่เป็นไร แต่หากชะลอเวลาที่ข้ากลับไปรายงาน ต่อให้จิ่งเซวียนมาก็ปกป้องเจ้าไม่ได้!”
จ้าวไท่ไหลเอ่ยอย่างไม่พอใจยิ่ง ทันใดนั้นเขาก็กวักมือยิ้มทั่วใบหน้าอีกครั้ง “มาๆๆ รีบกลับมา ครั้งนี้พวกเรามาพูดคุยกันดีๆ”
“ก็ได้ ทว่าผู้อาวุโสต้องตอบข้าอย่างเปิดเผยจริงใจ พูดกระจ่างให้หมด” หลินสวินเหมือนไม่เกรงกลัวสิ่งใดยิ่งนัก
นี่ทำให้จ้าวไท่ไหลโกรธจนกัดฟันกรอด แอบพึมพำอยู่ในใจ หรือเจ้าเด็กนี่จะเดาอะไรออกจึงกล้ามั่นใจเช่นนี้?
“เจ้า… เดาอะไรออกใช่หรือไม่” เขาอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
หลินสวินพลันยิ้มทันที ก่อนหันกลับมาอย่างเนิบช้า นั่งลงบนเก้าอี้ใหม่อีกครั้งพลางกล่าว “เมื่อวานข้าเพิ่งกลับมา ผู้อาวุโสก็วิ่งมาพบข้าราวไฟลนก้น เห็นชัดว่ามีเรื่องต้องเจรจา หากข้าไม่ระแคะระคายบ้างคงโง่เกินไปแล้ว”
“เจ้าจิ้งจอกน้อยนี่!”
จ้าวไท่ไหลว่าพลางหัวเราะ อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ เพิ่งไม่เจอกันครึ่งปี เจ้าเด็กตรงหน้านี่นับวันยิ่งหลอกยากขึ้นเรื่อยๆ
ในไม่ช้าสีหน้าเขาพลันจริงจัง ก่อนกล่าวจุดประสงค์การมาครานี้
แท้จริงแล้ว จ้าวไท่ไหลมาคราวนี้เพราะได้รับการฝากฝังจากจักรพรรดิและจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน ต่างแยกกันมอบคำพูดประโยคหนึ่งให้หลินสวิน
‘เด็กน้อย ในที่สุดเจ้าก็ก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินออกมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อรับปากเจ้าไว้แล้ว ก็ต้องปกป้องเจ้าแน่อย่าได้กังวล!’
นี่คือคำพูดของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ถูกจ้าวไท่ไหลถ่ายทอดออกมาอย่างไม่มีการปรุงแต่ง
แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ ในใจหลินสวินพลันสั่นสะท้าน กล่าวเสียงหลง “ที่แท้คนใหญ่คนโตแห่งส่วนลึกในราชวังนั่น ถึงกับเป็น… จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน?!”
เขาไม่อาจไม่ตกตะลึง ในปีที่เข้าสู่นครต้องห้ามเป็นครั้งแรก เขาเคยได้รับสารลับฉบับหนึ่งบอกเขาว่า ในนครต้องห้ามนี้ เขาสามารถก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินได้เต็มที่!
ตอนนั้นเขายังแปลกใจ ใครกันที่พูดจาใหญ่โตเช่นนี้ ถึงกับกล้าบอกอย่างอาจหาญมั่นใจเพียงนี้ ถึงขั้นเป็นคำพูดที่หยิ่งผยองเหลือประมาณ
ตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจ ที่แท้คนใหญ่คนโตแห่งส่วนลึกของราชวังผู้นี้คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ผู้กุมอำนาจปกครองสูงสุดแห่งจักรวรรดิจื่อเย่า!
“แต่ว่า เพราะอะไร”
หลินสวินตะลึงงัน เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจักรพรรดิองค์ปัจจุบันถึงดูแลเขาเป็นพิเศษเช่นนี้
“ง่ายมาก เพราะเจ้าคือทายาทสายตรงของ ‘ท่านเต้าเฉิน’ และเพราะเจ้าคือศิษย์ที่ลู่ป๋อหยาสอนสั่งมาด้วยตนเอง ไม่ว่าฐานะไหน ต่อให้เจ้าเป็นแค่พวกไร้ประโยชน์ อย่างน้อยฝ่าบาทก็ต้องดูแลเจ้า”
จ้าวไท่ไหลเผยคำตอบ
ท่านเต้าเฉินคือหลินเต้าเฉิน ปู่ทวดของหลินสวิน ราชันระดับสังสารวัฏที่แท้จริงผู้หนึ่ง เคยทำสงครามเพื่อจักรวรรดิ สร้างผลงานอันรุ่งโรจน์ ต่อให้ตัวตายก็ไม่ทำให้จักรวรรดิลืมคุณงามความดีที่เขาเคยกระทำ
ส่วนลู่ป๋อหยา แน่นอนว่าคือท่านลู่ ชายชราปริศนาผู้หนึ่ง หลินสวินในวัยเด็กถูกท่านลู่ช่วยเหลือ ทั้งยังเลี้ยงดูไว้ข้างกาย ถ่ายทอดวิชาความรู้อันลึกซึ้งของการสลักวิญญาณทั้งหมดแก่หลินสวิน
เพียงแต่หลินสวินเข้าใจมานานแล้ว ว่าที่มาของท่านลู่ลึกลับและน่าอัศจรรย์ยิ่งยวด ไม่ว่าราชินีแห่งรัตติกาลผู้นั้นหรือจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน ต่างกำลังเสาะหาร่องรอยและเบาะแสของท่านลู่
ตอนนี้คำพูดนี้ของจ้าวไท่ไหล ยิ่งยืนยันว่าแม้แต่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันยังรับรู้ถึงการมีอยู่ของท่านลู่!
“ที่แท้เป็นเช่นนี้…”
หลินสวินพึมพำ การถูกให้ความสำคัญจากจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เพียงพอให้ผู้ใดก็ตามตื่นเต้นและฮึกเหิม แต่หลังหลินสวินรู้ความจริงกลับไม่อาจพูดได้ว่าดีใจ แต่ก็พูดไม่ได้ว่าไม่ยินดี
สรุปคือเขานึกถึงเรื่องในอดีตมากมาย นึกถึงตำนานเล่าขานส่วนหนึ่งเกี่ยวกับปู่ทวด ‘ท่านเต้าเฉิน’ และนึกถึงท่านลู่ผู้เลี้ยงดูตนแต่เล็กจนเติบใหญ่
‘หากมีเวลาว่างก็มาพูดคุยกันในราชวัง แต่นี้เป็นต้นไปเจ้าเองก็ไม่ใช่คนนอก’
นี่คือประโยคที่จักรพรรดินีมอบให้ ทำให้หลินสวินชะงักไปอีกครั้ง คำพูดนี้มีไมตรีจิตอย่างชัดแจ้ง ถึงขั้นไม่ปกปิดเลยสักนิด
“นี่มัน…” หลินสวินมองไปยังจ้าวไท่ไหล
“เจ้าถามข้า ข้าเนี่ยสิต้องถามเจ้า”
จ้าวไท่ไหลหน้าตาพิลึกพิลั่น “แต่ว่าข้าพอจะเดาออกได้คร่าวๆ ต้องเป็นเพราะเจ้าหนูอย่างเจ้ามีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนบางอย่างกับจิ่งเซวียนแน่ มิฉะนั้นด้วยนิสัยของจักรพรรดินี คงคร้านจะใส่ใจเด็กอย่างเจ้า”
“มีความสัมพันธ์กับแม่นางจิ่งเซวียน?” หลินสวินยังคงอึ้งงัน ข่าวสารที่จ้าวไท่ไหลนำมามีแรงสะเทือนมากเกินไปแล้ว ทำให้เขาไม่อาจย่อยความไปชั่วขณะ
“ไร้สาระ!”
จ้าวไท่ไหลกล่าวไม่สบอารมณ์ “ทายาทของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันแม้มีมาก แต่จิ่งเซวียนกลับเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิและจักรพรรดินี นี่น่ะเป็นไข่มุกงามที่โปรดปราณบนฝ่ามือ ก่อนนางจากไปยังไม่ลืมว่าต้องคอยดูแลเจ้า ใครยังจะคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเจ้าทั้งสองเป็นปกติ?”
“แต่… นี่มันเข้าใจผิด ข้ากับแม่นางจิ่งเซวียนหาได้มีอะไรไม่”
หลินสวินหน้าตางงงัน
“เข้าใจผิด? เหอะๆ ได้ เจ้าไปอธิบายกับจักรพรรดิและจักรพรรดินีด้วยตัวเอง ดูซิว่าพวกเขาจะเชื่อหรือไม่”
จ้าวไท่ไหลเหล่มองเขาคราหนึ่ง ท่าทางราวกับบอกว่า เจ้าหนูอย่างเจ้าอย่ามาทำใสซื่อทั้งที่ได้ประโยชน์ไปง่ายๆ
“ไม่ไป”
หลินสวินปฏิเสธหนักแน่น ล้อเล่นรึ ยิ่งเป็นแบบนี้เขายิ่งไม่อาจไปพบคู่สามีภรรยาที่ครองอำนาจสูงสุดแห่งจักรวรรดิ
ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อตนอย่างไร
ทั้งจะเห็นตนเป็นพวกที่คิดไม่ซื่อกับบุตรสาวพวกเขาหรือไม่
ยิ่งคิดหลินสวินก็ยิ่งรู้สึกปวดหัว เพิ่งแยกจากจ้าวจิ่งเซวียนไม่นานเท่าไหร่ ทำไมเรื่องราวถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปได้
ที่ทำให้หลินสวินกลุ้มใจที่สุดคือ จ้าวจิ่งเซวียนเดินทางไปดินแดนรกร้างโบราณแล้ว เวลานี้ต่อให้เขาอธิบายอย่างไร เกรงแต่ว่าจะไม่มีคนเชื่อว่านี่เป็นเรื่อง ‘เข้าใจผิด’!
ดูจากท่าทางปรามาสนั่นของจ้าวไท่ไหล หลินสวินก็เข้าใจดี เรื่องเข้าใจผิดนี้ยิ่งอธิบายยิ่งแย่ ยิ่งพูดยิ่งยุ่งยาก
“ยุ่งยากจริงๆ…” หลินสวินทอดถอนใจ
จ้าวไท่ไหลพลันโวยทันที “เจ้าหนู เจ้าว่าอะไรนะ ยุ่งยาก? เจ้ารู้ไหมว่าหากให้จักรพรรดิและจักรพรรดินีทราบว่าเจ้ากล่าวเช่นนี้ ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร”
“เข้าใจผิด ข้าบอกแล้วว่าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด…”
หลินสวินหน้าตาไร้เรี่ยวแรง เรื่องระหว่างเขากับจ้าวจิ่งเซวียนเดิมทีไม่มีอะไร แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับเปลี่ยนเป็นยากควบคุม นี่ทำให้หลินสวินที่เพิ่งเคยประสบเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรกโดยไม่ทันตั้งตัวเก็บอาการไม่ได้อยู่บ้าง
จ้าวไท่ไหลแค่นเสียงกล่าว “หึ เจ้าหนู เจ้าน่ะตัวอยู่ในความสุขแต่กลับไม่รู้จักคุณค่า หากคนอื่นเป็นเหมือนเจ้า รู้ว่าได้รับการโปรดปรานเช่นนี้ เกรงว่าคงตื่นเต้นจนขอบคุณฟ้าดินแล้ว แต่เจ้ากลับทำท่าประหนึ่งเป็นเรื่องยุ่งยาก ข้าควรบอกว่าเจ้าดัดจริตหรือกวนบาทาดีล่ะเนี่ย”
ดัดจริต?
กวนบาทา?
สีหน้าหลินสวินพลันมืดทะมึน หมายจะพูดอะไร แต่เสียงฝีเท้ากระชั้นถี่ระลอกหนึ่งดังขึ้นจากนอกโถง
ก็เห็นหลินไหวหย่วนรีบเร่งมารายงาน “ผู้นำตระกูล ปฏิบัติการของพวกหลินจงพบเจออุปสรรค เหตุการณ์ร้ายแรงอยู่บ้าง ขอท่านตัดสินใจด้วยตนเอง!”
“อุปสรรคอะไร” หลินสวินคิ้วขมวด
หลินไหวหย่วนรีบร้อนกล่าว “กิจการแห่งหนึ่งของพวกเราตระกูลหลิน ถูกคนตระกูลฉินนามว่าฉินจื่่อหมิงยึดครอง หากแค่จัดการกับคนผู้นี้คงไม่เป็นอะไร แต่ภรรยาเขากลับเป็นทายาทของท่านอ๋องคนหนึ่งแห่งราชวงศ์ บัดนี้ฉินจื่อหมิงและภรรยาต่างบัญชาการอยู่ที่นั่นด้วยตนเอง นี่… นี่คงยากจะจัดการแล้ว…”
เชื้อพระวงศ์ของจักรวรรดิ?
มิน่าพวกลุงจงถึงรู้สึกยากจัดการ หากล่วงเกินราชวงศ์อีกเพราะเรื่องตระกูลจั่วและตระกูลฉิน คงเป็นเรื่องยุ่งยากใหญ่หลวงอย่างแน่นอน
แต่ว่า…
หลินสวินนึกถึงตรงนี้ สายตามองไปยังจ้าวไท่ไหลพลางยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโส คำที่ฝ่าบาทฝากท่านมา ท่านคงยังจำได้กระมัง”
……………………