บทที่ 362.1 ที่แท้ก็ไม่ค่อยสงบ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันเดินนำพวกเผยเฉียนไป เพียงไม่นานก็เจอคนตระกูลฟ่านของท่าเรือเกาะกุ้ยฮวา คราวก่อนมีผู้ฝึกตนเฒ่าโอสถทองขับรถม้าและฟ่านเอ้อร์ตามมาส่ง เฉินผิงอันเดินขึ้นเกาะกุ้ยฮวาโดยตรง จึงไม่ได้สัมผัสกับลูกหลานตระกูลฟ่านที่ท่าเรือมาก่อน เพียงแต่ว่าหลังจากที่เฉินผิงอันบอกชื่อแซ่ของตัวเองเรียบร้อย ผู้ดูแลสกุลฟ่านก็เหมือนได้ยินข่าวดีใหญ่เทียมฟ้า บอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่ จากนั้นเขาก็ส่งข่าวกลับไปที่นครมังกรเฒ่าทันที อีกทั้งยังเรียกรถม้าที่ประดับประดาอย่างงดงามมา ส่งพวกเฉินผิงอันขึ้นรถม้าไปด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายนอบน้อมเสียจนเฉินผิงอันมึนงงไปหมด

 

ในฐานะจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อแจกันสมบัติและใบถงสองทวีป นครมังกรเฒ่าจึงมีระดับความเจริญรุ่งเรืองเหนือกว่าเมืองหลวงของราชวงศ์ใหญ่ ได้ครอบครองท่าเรือตระกูลเซียนสองแห่ง เรือข้ามทวีปหกลำของห้าแซ่ในนครมังกรเฒ่ามีท่าเรืออยู่ที่เกาะโดดเดี่ยวซึ่งตั้งอยู่ห่างจากนครมังกรเฒ่าไปสามสิบกว่าลี้ และปีนั้นตอนที่เฉินผิงอันเพิ่งมาเยือนนครมังกรเฒ่าเป็นครั้งแรก ท่าเรืออยู่ทางฝั่งตะวันตกของนครมังกรเฒ่า เวลาเข้าเมืองจะต้องผ่านถนนเส้นยาวสามร้อยลี้ที่ทำให้คนปากอ้าตาค้าง ซึ่งถนนยาวสายนั้นคือกิจการบรรพบุรุษของสกุลซุน ซุนเจียซู่เจ้าประมุขตระกูลคือคนหนุ่มที่เกือบจะกลายเป็นเพื่อนและเกือบจะกลายเป็นศัตรู จนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังไม่อาจปล่อยวางได้

 

เฉินผิงอันนั่งรถม้าคันเดียวกับเผยเฉียน เผยเฉียนโดยสารอยู่บนเรือที่มีนกสีเขียวช่วยดันให้ล่องลอยอยู่บนฟ้ามานานขนาดนี้ คราวนี้ในที่สุดก็ได้เหยียบลงพื้นจริงๆ แล้ว อีกทั้งที่นี่ยังเป็นบ้านเกิดของเฉินผิงอัน นางตื่นเต้นอย่างมากจึงเลิกผ้าม่านมองทัศนียภาพด้านนอกอย่างเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้

 

หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียนที่อยู่ในห้องโดยสารรถม้าคันเดียวกันเริ่มประลองฝีมือหมากล้อม ส่วนเว่ยเซี่ยนกับจูเหลี่ยนที่อยู่ในห้องโดยสารเดียวกัน คนหนึ่งงีบหลับ อีกคนหนึ่งเบิกตากว้างอ่านหนังสือ

 

ดูจากท่าทีของผู้ดูแลตระกูลฟ่าน เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเสี้ยวหนึ่ง เขาเริ่มจัดลำดับความคิด เขาเฉินผิงอันไม่ใช่บุคคลที่สำคัญอะไร ตอนที่ออกไปจากนครมังกรเฒ่าก็ยังเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ที่เพิ่งจะฝ่าทะลุคอขวดที่บ้านบรรพบุรุษสกุลซุน คนที่รู้จักก็มีแค่ฟ่านเอ้อร์ ซุนเจียซู่ที่แยกกันเดินคนละทางมานานแล้ว เจิ้งต้าเฟิงของร้านยาฮุยเฉิน ฝูหนันฮวาที่ผูกความแค้นกันในถ้ำสวรรค์หลีจู แต่กลับไม่ได้มาเจอกันในนครมังกรเฒ่า เรียกได้ว่าน้อยจนนับนิ้วได้

 

และนครมังกรเฒ่าในเวลานั้นก็ถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองอันชื่นมื่น เพราะสกุลฝูเพิ่งจะสู่ขอบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงอวิ๋นหลินคนหนึ่งเข้ามา พูดให้ถูกต้องก็คือ บุตรสาวสายตรงสกุลเจียงอวิ๋นหลินแต่งต่ำให้กับตระกูลฝู เจ้าบ่าวของนางก็คือฝูหนันหัวนายน้อยแห่งนครที่เกือบจะถูกเฉินผิงอันฆ่าตายไปพร้อมกับไช่จินเจี่ยน

 

คำว่า ‘แต่งต่ำ’ นี้พิถีพิถันอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นตระกูลฝูที่ร่ำรวยเป็นหนึ่งในทวีปก็ยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสม

 

ร่ำรวยสูงศักดิ์ ร่ำรวย ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องสูงศักดิ์ แต่หากสูงศักดิ์แล้วย่อมต้องร่ำรวย ดังนั้นร่ำรวยจึงเทียบกับสูงศักดิ์ไม่ได้ เนื่องจากฝ่ายหลังมีความหมายถึงการสืบทอดที่มีระบบระเบียบ รากฐานของตระกูลที่ลึกล้ำ ที่พึ่งอันเป็นดั่งภูเขาแข็งแกร่งซึ่งมีแต่จะอยู่ในจุดสูงที่เมฆหมอกล้อมวน

 

แน่นอนว่าอย่างสกุลเจียงสำนักกุยหยกของใบถงทวีป หรือแม้แต่ผู้ที่มีเงินอย่างสกุลหลิวธวัลทวีปซึ่งใช้เงินยากยิ่งกว่าหาเงิน กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

สกุลเจียงอวิ๋นหลินคือหนึ่งในตระกูลชั้นสูงของแผ่นดินกลางที่ในอดีตย้ายมาอยู่แจกันสมบัติทวีป คฤหาสน์ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรใหญ่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประตูคฤหาสน์หันเข้าหามหาสมุทร ทางเดินของซุ้มประตูใหญ่ทอดยาวลงไปในทะเลสามสิบกว่าลี้ สุดท้ายใช้โขดหินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติทำเป็นซุ้มประตูใหญ่ ถูกขนานนามว่า ‘ควบรวมกับทะเลบูรพา’ มีชื่อเสียงโด่งดังไปหลายทวีป

 

ในขณะที่ลัทธิขงจื๊อเพิ่งจะกลายเป็นระบบสืบทอดดั้งเดิม หลี่เซิ่งตั้งกฎเกณฑ์และระเบียบพิธีการยิบย่อยซับซ้อนต่างๆ ของใต้หล้าไพศาลด้วยมือของตัวเอง บรรพบุรุษสกุลเจียงเคยมีหลายคนที่ได้ดำรงตำแหน่งขุนนางต้าจู้ (ขุนนางที่ทำหน้าที่หลักในการเซ่นไหว้บวงสรวง) ที่สถานะสูงส่ง คือหนึ่งในขุนนางสวรรค์ใหญ่ทัดเทียมต้าสื่อ (เอกอัครราชทูต) และต้าจ่าย (อัครเสนาบดี) ที่บันทึกไว้ใน ‘ต้าหลี่ชุนกวาน’ หน้าที่หลักคือรับผิดชอบเขียนบทอวยพรเชื้อเชิญองค์เทพให้แก่จักรพรรดิ

 

ตอนนั้นตลอดทั้งนครมังกรเฒ่าต่างก็คาดเดากันว่าสินเดิมของบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงผู้นั้นจะเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งหรือไม่

 

เพียงแต่ว่าสำหรับเฉินผิงอันแล้ว ความครึกครื้นที่อย่างมากสุดก็เกี่ยวข้องกับเขาแค่สองส่วนนี้เป็นได้แค่เรื่องคุยเล่นระหว่างดื่มเหล้ากับเจิ้งต้าเฟิงและฟ่านเอ้อร์เท่านั้น เขาทั้งไม่ใช่คนของนครมังกรเฒ่า แล้วก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ใหญ่ของทวีปเหล่านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สัมผัสอย่างลึกซึ้ง ต่อให้ฝูหนันหัวแต่งงานกับสตรีที่สถานะสูงศักดิ์แล้วอย่างไร? ต่อให้ศัตรูที่ตบะและขอบเขตต่างก็สู้พี่ชายใหญ่ฝูตงไห่ และพี่สาวใหญ่ฝูชุนฮวาของเขาไม่ได้ผู้นี้จะโชคดีได้เป็นเจ้านครมังกรเฒ่าขึ้นมาจริงๆ …ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็คงหงุดหงิดนิดๆ แล้ว เพราะนี่หมายความว่าอาจเกี่ยวพันกับฟ่านเอ้อร์ หรือเกี่ยวพันกับทั้งตระกูลฟ่าน

 

เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นเรื่องที่ลำบากยากเข็ญแค่ไหน คิดมากไตร่ตรองมากนั้นได้ แต่ไม่ควรเป็นกังวลหรือหวาดกลัวมากเกินไป เพราะมีแต่จะสร้างปัญหาให้ตัวเอง

 

สำหรับข้อนี้เฉินผิงอันเข้าใจชัดเจนดี

 

ผ่านไปประมาณเกือบครึ่งชั่วยาม รถม้ายังไม่ทันเข้าเมืองก็จอดลงอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันค้อมตัวเลิกผ้าม่านขึ้นก็เห็นเงาร่างหนึ่งที่คุ้นเคยทันที เขากระโดดลงจากรถม้า วิ่งเหยาะๆ พลางโบกมืออย่างแรง ยังคงมีรอยยิ้มที่สดใสเจิดจ้าปานนั้น เฉินผิงอันที่พอจะโล่งใจได้ก็ลงจากรถม้า ชูมือขึ้นสูง ตีมือกับฝ่ายที่มาอย่างแรง เขาก็คือฟ่านเอ้อร์ ไม่ใช่เด็กหนุ่มหน้าขาวปากแดงแล้ว แต่กลายเป็นคุณชายหนุ่มผู้หล่อเหลาคนหนึ่ง ทว่าไม่ว่าจะเดินไปที่ไหน กลิ่นอายอบอุ่นสดใสดุจแสงอาทิตย์ที่มีเฉพาะตัวของฟ่านเอ้อร์ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

 

ฟ่านเอ้อร์โบกฝ่ามือไปมา หัวเราะร่าพลางกล่าวว่า “เฉินผิงอัน สัมผัสได้ถึงพลังของฝ่ามือข้างนี้ข้าไหม? พูดไปแล้วอาจทำให้เจ้าตกใจ ตอนนี้ข้าก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่แล้ว! แต่ว่าไม่เป็นไร ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ใต้หล้านี้ เจ้าที่หนึ่ง ข้าที่สอง ดีที่สุดแล้ว!”

 

เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่แล้วเหมือนกัน? เหมือนกัน?

 

พวกเผยเฉียนห้าคนที่เดินตามเฉินผิงอันลงจากรถม้าต่างก็ประหลาดใจกันเล็กน้อย

 

เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “ร้ายกาจๆ”

 

ฟ่านเอ้อร์เดินวนรอบตัวเฉินผิงอันหนึ่งรอบ “ทำไมไม่สวมรองเท้าแตะแล้วเล่า ทำเอาข้าเกือบไม่กล้าทักเจ้า”

 

จากนั้นก็ทำมือวัดส่วนสูง ฟ่านเอ้อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยวเล็กน้อย “สูงขึ้นกว่าข้าตั้งเยอะ”

 

ฟ่านเอ้อร์ควักถุงเงินตุงแน่นใบหนึ่งออกมาจากในชายแขนเสื้ออย่างลับๆ ล่อๆ จากนั้นแบให้เฉินผิงอันดูแล้วขยิบตาอย่างแรง

 

ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ เฉินผิงอันต้องเผาเครื่องปั้นชิ้นหนึ่งเป็นของขวัญให้เขา น่าเกลียดหน่อยก็ไม่เป็นไร ขอแค่เฉินผิงอันทำเองกับมือก็พอ เขาฟ่านเอ้อร์จะได้เอาไปโอ้อวดสหายคนอื่น

 

เฉินผิงอันรีบบอกให้ฟ่านเอ้อร์เก็บถุงเงินให้ดี จากนั้นพูดเสียงเบาว่า “เจ้าหมายถึงเครื่องปั้นที่ข้ารับปากว่าจะปั้นให้เจ้า? ยังไม่ได้ทำเลย ไปถึงนครมังกรเฒ่าแล้ว ข้าต้องซื้ออุปกรณ์ในการทำเครื่องปั้นอีกหลายชิ้น แล้วยังต้องหาดินที่เหมาะสมด้วย เจ้าคิดว่าทำได้ง่ายนักหรือไง?”

 

“ก็ได้ ไปถึงนครมังกรเฒ่าก่อนค่อยว่ากัน งานละเอียดประณีตย่อมทำได้ช้า ถึงเวลานั้นข้าจะช่วยเจ้าหาดินเอง”

 

ฟ่านเอ้อร์เองก็ไม่ผิดหวัง เก็บเงินที่ตัวเองสะสมไว้เป็นอย่างดีถุงนั้นลงไป ด้านในล้วนเป็นทองหยวนเป่าที่เป็นเงินของโลกมนุษย์ กฎตระกูลฟ่านค่อนข้างเข้มงวด ไม่ว่าคนทั้งบนและล่างจวนจะรักและเอ็นดูฟ่านเอ้อร์แค่ไหน แต่กลับไม่ยอมให้เงินเทพเซียนเขาแม้แต่เหรียญเดียว ดังนั้นเมื่อนัดหมายไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะเลี้ยงเหล้าเฉินผิงอัน ในสองปีที่ผ่านมานี้ฟ่านเอ้อร์จึงประจบเอาใจผู้อาวุโสในตระกูลไม่น้อย ตรุษจีนปีก่อน ฟ่านเอ้อร์แทบอยากจะไปเยี่ยมเยือนบ้านของทุกคนที่ใช้แซ่ฟ่านให้ครบทุกบ้านหนึ่งรอบ นี่ถึงได้เก็บหอมรอมริบเงินส่วนตัวก้อนนี้มาอย่างยากลำบาก

 

ฟ่านเอ้อร์พลันกล่าวว่า “ขึ้นไปคุยกันบนรถ ไปนั่งรถของข้า”

 

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ บอกให้เผยเฉียนกลับไปนั่งรถม้าคันเดิม ส่วนตัวเองตามฟ่านเอ้อร์ขึ้นรถไป

 

คนทั้งสองเข้ามานั่งในห้องโดยสารแล้ว เฉินผิงอันจึงถามว่า “มีปัญหาหรือ?”

 

มีเพียงรถม้าคันนี้ที่สามารถสกัดกั้นการแอบฟังได้

 

ฟ่านเอ้อร์พยักหน้ารับ “เจ้าจากไปได้ไม่นานเท่าไหร่ ฟ้าของนครมังกรเฒ่าก็เปลี่ยนสีแล้ว”

 

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้ายื่นส่งให้ฟ่านเอ้อร์ “ค่อยๆ เล่า ไม่ต้องรีบร้อน”

 

ฟ่านเอ้อร์ยิ้มดุจบุปผาผลิบาน รับเจียงหูมาแกว่งดู “ข้าจะดื่มจิบเล็กๆ แล้วกัน วิญญูชนต้องระมัดระวัง…อั๊ยหยา เหล้านี่อร่อยจริง รสชาติไม่เหมือนกับเหล้าหมักดอกกุ้ยฮวาของบ้านข้า ต่างก็มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกัน เมื่อครู่แค่จิบไปอึกเล็กๆ เท่านั้น ขอดื่มอีกหน่อย ดื่มอีกหน่อย…”

 

เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิยิ้มมองคนวัยเดียวกัน

 

ไม่ว่าจากนี้จะได้ยินข่าวร้ายอะไร

 

เห็นว่าฟ่านเอ้อร์ยังเป็นฟ่านเอ้อร์คนเดิมก็คือข่าวดีที่ดีที่สุดแล้ว

 

ฟ่านเอ้อร์ดื่มสุรารสดีจากใบถงทวีปที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไป ‘จิบเล็กสามจิบ’ ถึงส่งคืนให้เฉินผิงอัน แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ห้าแซ่ใหญ่ในนครมังกรเฒ่า เจ้าคงรู้มานานแล้ว หากเรียงตามศักยภาพที่แท้จริง ก็ควรจะเป็นฝู ซุน ฟาง โหวและติง เพียงแต่ว่าตระกูลฟ่านของพวกเราพึ่งพิงตระกูลฝูมาโดยตลอด อีกทั้งตระกูลฝูยังเป็นเจ้านครมังกรเฒ่าที่กำลังของพวกเขาฝ่ายเดียวก็เอาชนะอีกสี่ฝ่ายที่เหลือได้ บวกกับที่ตระกูลฟ่านเองก็มีเกาะกุ้ยฮวาหนึ่งลำ ดังนั้นหลายๆ คนจึงชอบตัดตระกูลใดตระกูลหนึ่งอย่างฟางโหวติงทิ้งไป แล้วยัดตระกูลฟ่านเข้าไปแทนที่ เนื่องจากตระกูลซุนมีบุรพาจารย์ก่อกำเนิดเฝ้าพิทักษ์บ้านบรรพบุรุษ อีกทั้งกิจการของพวกเขาก็มีชื่อเสียงที่ดีมากมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกังขา”

 

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

 

ฟ่านเอ้อร์วางสองมือเท้าไว้บนหัวเข่า เล่าเจื้อยแจ้วให้เฉินผิงอันฟังถึงเรื่องวงในและคลื่นลมในนครมังกรเฒ่าตลอดเกือบๆ สองปีที่ผ่านมานี้

 

“ห้าตระกูลใหญ่ของนครมังกรเฒ่าก็ดี หรือหกสกุลใหญ่ก็ช่าง เดิมทีตระกูลฝูไม่คิดจะยึดครองความเป็นใหญ่เพียงลำพัง ทุกคนจึงอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ความขัดแย้งก็มีบ้าง เพียงแต่ว่าก่อนหน้าปีที่แล้วยังไม่ถึงขั้นที่ต้องฉีกหน้าแตกหักกัน”

 

“เดิมทีฝูฉีก็เป็นเซียนดินก่อกำเนิด ในมือยังได้ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนสี่ชิ้น อีกทั้งตระกูลฝูก็ประหลาดมาก ขอบเขตโอสถทองก็สามารถควบคุมอาวุธตระกูลเซียนแบบนี้ได้แล้ว แถมยังมีบุรพาจารย์หลบอยู่เบื้องหลัง”

 

“ซุนเจียซู่เจ้าประมุขตระกูลซุนไม่เห็นตบะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ลำพังแค่บรรพจารย์ก่อกำเนิดที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน และผู้ถวายงานโอสถทองอีกสามคน คนหนึ่งในนั้นยังเป็นผู้ฝึกตนโอสถทองที่เพิ่งต่อสัญญาอีกหนึ่งร้อยปี เมื่ออยู่ในนครมังกรเฒ่าของพวกเรา หากเทียบกับฉู่หยางผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูลฝูที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ข้างหอมังกรแล้วก็ถูกมองว่าเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตโอสถทองที่มีความหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดมากที่สุด”

 

“ส่วนตระกูลฟางที่แม้ว่าจะไม่มีก่อกำเนิด แต่ก็มีปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตเจ็ดสองท่าน ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดโอสถทองหนึ่งท่าน เมื่ออยู่ด้านล่างภูเขาทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์หรือยุทธ์ก็ล้วนหยั่งรากฐานลึกล้ำ มิอาจดูแคลน”

 

“ตระกูลโหวอาศัยนักปราชญ์ของสำนักศึกษาที่มีสถานะเป็นบุตรอนุของตระกูลถึงสามารถหยัดยืนอยู่ในนครมังกรเฒ่าได้อย่างมั่นคง เดิมทีก็เป็นตระกูลที่มีกำลังอ่อนแอที่สุด ทว่านักปราชญ์แซ่โหวที่กลับบ้านเกิดมากราบไหว้บรรพบุรุษผู้นั้น เมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิของปีก่อน จู่ๆ กลับกลายเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษากวานหูไปแล้ว เมื่อครึ่งปีแรกของปีก่อน ตระกูลโหวมีหน้ามีตากันอยู่พักใหญ่ เดิมทีตระกูลโหวเกือบจะสูญเสียเส้นทางการเดินเรือข้ามฟากในเส้นทางมังกรเดินสายนั้นไป พอมีวิญญูชนเพิ่มเข้ามา ตระกูลฟางที่กลืนเนื้อเข้าไปในท้องแล้วก็ยังยอมคายออกมาแต่โดยดี อีกทั้งยังชดใช้ให้ตระกูลโหวอีกมากมาย สำนักตระกูลเซียนบนภูเขาหลายแห่งที่ตระกูลโหวประคับประคองมากับมือตัวเองล้วนเป็นเหมือนหญ้าบนยอดกำแพง”

 

“สถานการณ์ของตระกูลติงคล้ายคลึงกับตระกูลโหวอยู่บ้าง ต่างก็ต้องอาศัย ‘คนนอก’ มาประคับประคองตระกูล ตระกูลโหวคือวิญญูชนที่ถูกคนในตระกูลทำร้ายความรู้สึก ส่วนตระกูลติงนั้นอาศัยสตรีคนหนึ่งที่ตอนแรกไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่สะดุดตา แต่นางกลับได้แต่งงานกับคนของสำนักใบถง ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนนั้น หรือควรจะพูดว่าหญิงสาวคนนั้น นางเองก็เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน จึงทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับวิญญูชนสำนักศึกษากวานหูที่ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่สนใจคนในตระกูล เมื่อปีก่อน บุรุษคนนั้นถึงขั้นพาภรรยากลับมาที่นครมังกรเฒ่าอีกครั้ง อีกทั้งผู้ติดตามข้างกายยังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองหลายคน”

 

ฟ่านเอ้อร์ยื่นมือออกมา “กระหายแล้ว”

 

เฉินผิงอันโยนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เขา “เจ้าถือน้ำเต้าไว้เองเถอะ คอยโยนกันไปโยนกันมา เจ้าไม่รำคาญ แต่ข้ารำคาญ”

 

ฟ่านเอ้อร์เองก็ไม่เกรงใจ จิบเหล้าอึกเล็กหนึ่งคำแล้วก็พูดต่อว่า “แต่หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องสองอย่างที่ทำให้ฟ้าดินในนครมังกรเฒ่าของพวกเราพลิกคว่ำ เรื่องหนึ่งเจ้าต้องคิดได้ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งเจ้าไม่มีทางเดาถูกแน่นอน”