บทที่ 84 คืนนี้ได้ไหม? โดย EnjoyBook
บทที่ 84 คืนนี้ได้ไหม?
เจ้าใหญ่กลับมาที่บ้านเป็นคนแรก
ทันทีที่เด็กชายกลับมาถึงบ้าน เขาก็สะพายกระบุงไว้บนหลังและออกจากบ้านไปเก็บรวบรวมผักขมกับเพื่อน ๆ วัยเดียวกันในหมู่บ้าน ซึ่งผักขมพวกนี้สามารถนำไปแลกเป็นแต้มค่าแรงได้
เจ้าใหญ่ที่มีจิตสำนึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายคนที่สองของบ้านจะออกไปเก็บผักขมกระบุงหนึ่งทุกครั้งหลังเลิกเรียน เขามีเวลาเพียงพอแค่ส่งกระเป๋าหนังสือให้เจ้ารองรับไปไว้ในบ้าน โดยที่ไม่ได้ยินเจ้ารองพูดเลยว่าแม่ของพวกเขาซื้อแตงโมลูกยักษ์กลับมา อย่าเพิ่งออกไปเก็บผักขม
เด็กชายมีความรับผิดชอบสูงมาก ตอนนี้หลินชิงเหอจึงไม่บังคับเขามากนัก เธอปล่อยให้เขาได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง และเรื่องนี้ก็บ่มเพาะการพึ่งพาตัวเองให้เขาด้วยเช่นกัน
อาหารมื้อเย็นวันนี้เป็นอาหารแบบง่าย ๆ มีซี่โครงหมูตุ๋นกับมันฝรั่ง แกงจืดหนึ่งอย่าง และหมั่นโถวข้าวโพด
เมื่อโจวชิงไป๋เลิกงาน เจ้าใหญ่ก็กลับมาที่บ้านพอดี
พวกเขาทั้งหมดจึงทานอาหารมื้อเย็นกันก่อน แล้วก็ตบท้ายด้วยแตงโมเป็นของล้างปากหลังมื้ออาหาร
“แม่ครับ ทำไมแม่ถึงยอมซื้อแตงโมลูกใหญ่ขนาดนี้มาล่ะครับ?” ดวงตาของเจ้าใหญ่เป็นประกาย
“ถ้าแม่ไม่ซื้อลูกใหญ่แบบนี้มา แล้วมันจะพอให้ทั้งครอบครัวเรากินอย่างอิ่มหนำสำราญได้อย่างไรล่ะ?” หลินชิงเหอเอ่ย
แตงโมเป็นผลไม้โปรดอย่างหนึ่งของเธอ หญิงสาวเคยถามโจวชิงไป๋แล้วเขาก็บอกว่าชอบทานมันเหมือนกัน ซึ่งแตงโมลูกละ 6 ชั่งนับว่ามีขนาดพอกิน ไม่มากเกินไปนัก
ยิ่งกว่านั้นก็คือตอนนี้พวกเด็ก ๆ ยังตัวเล็กอยู่ เมื่อไหร่ที่พวกเขาโตขึ้น คงต้องซื้อแตงโมขนาดนี้เป็น 2 ลูกถึงจะพอกินสำหรับพวกเขาทั้งหมด
หลังกินอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว สามพี่น้องก็เริ่มกลิ้งแตงโมออกมา
พวกเขาทานอาหารเย็นกันตอนหกโมง พอถึงหนึ่งทุ่ม หลินชิงเหอก็ให้โจวชิงไป๋หั่นแตงโมให้พวกเขาทาน
ทันใดเองก็บังเอิญกับที่ท่านแม่โจวแวะมาเยี่ยมและเห็นทั้งครอบครัวกำลังแทะแตงโมกันอย่างเอร็ดอร่อย นางถึงกับถอนหายใจให้ชีวิตอันหรูหราน่าตกใจของลูกชายคนเล็ก
การใช้ชีวิตแบบนี้ต้องใช้เงินเยอะมากแน่ ๆ
“เจ้าสาม ไปหยิบแตงโมมาให้คุณย่าชิ้นหนึ่งสิลูก” หลินชิงเหอบอก
เจ้าสามหยิบแตงโมชิ้นหนึ่งส่งให้คุณย่าของเขา ตอนนี้เด็กน้อยคนนี้เข้าใจคำพูดของคนอื่นแล้ว และสามารถพูดได้คล่องปร๋อเลยทีเดียว
ท่านแม่โจวรับไว้และเอ่ยขึ้นมา “ฉันเพิ่งได้ยินว่าสะใภ้สามในครอบครัวฝั่งแม่เธอคลอดลูกแล้วนะ”
หลินชิงเหอชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็ระลึกถึงน้องชายสามตระกูลหลินขึ้นมา ตอนก่อนจะถึงปีใหม่ที่เธอกลับไปเยี่ยมบ้านนั้น เธอไม่รู้เลยว่าสะใภ้สามตระกูลหลินตั้งครรภ์อยู่
ถึงแม้ว่าหลินชิงเหอจะไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับสะใภ้สามตระกูลหลินก็ตาม แต่เธอก็ยังรักน้องชายสามตระกูลหลินอยู่มาก เธอคงต้องไว้หน้าเขาบ้างแม้จะไม่ชอบหน้าภรรยาของเขาเลยก็ตาม
“เดี๋ยวฉันจะรอฟังเรื่องนี้หลังจากที่น้องชายของฉันเอาข่าวดีมาบอกแล้วกันค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า
แตงโมมีรสชาติอร่อยมาก มันมีรสชาติหวานปานกลางในความคิดของหลินชิงเหอ ขณะที่เด็ก ๆ รู้สึกพอใจที่ได้ทานอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่โจวชิงไป๋ก็ยังเพลิดเพลินไปกับการทานด้วย
“คราวหน้าถ้าแม่เข้าอำเภออีก แม่จะซื้อมาอีกลูกนะ” หลินชิงเหอให้สัญญา
สามพี่น้องร้องเฮด้วยความดีใจ แล้วเด็ก ๆ ก็พาเจ้าเฟยอิงออกไปเดินเล่น แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว แต่ท้องฟ้าก็ยังไม่มืด
หลินชิงเหอรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรโดยที่ไม่จำเป็นต้องถาม แต่เธอก็ไม่ได้ห้ามไว้
เด็ก ๆ น่ะควรจะมีกิจกรรมอดิเรกเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง
“คุณเหนื่อยไหมคะ?” หลินชิงเหอหันไปทางโจวชิงไป๋ “คุณอยากให้ฉันนวดให้ไหม?”
โจวชิงไป๋ไม่ได้เหนื่อย แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีกับการเอาใจของภรรยา ตอนนี้เด็ก ๆ ทั้งสามก็ไม่อยู่บ้านแล้วด้วย เขาจึงยอมให้เธอนวดตัวให้ตามสบาย
หลินชิงเหอรู้ว่าบนตัวเขามีแต่กล้ามเนื้อ แต่พอเธอกดมือลงไปก็พบว่ามันแข็งตึงไปหมด
“ฉันไม่นวดแล้วล่ะค่ะ” หลินชิงเหอยอมแพ้หลังกดลงไปได้สองครั้ง เพราะกล้ามเนื้อของเขาแข็งเกินกว่าที่จะนวดได้
โจวชิงไป๋ยิ้มกริ่มแล้วก็ดึงตัวภรรยามาไว้ในอ้อมแขน
ในวันอากาศร้อนเช่นนี้ หลินชิงเหอก็ไม่รังเกียจความร้อนและนั่งบนตักเขา เธอเอ่ยขณะสูดกลิ่นหอมสดชื่นจากกายหลังอาบน้ำของชายหนุ่ม “กลิ่นสบู่นี่หอมดีนะคะ”
เขาใช้สบู่ที่เธอเอาไว้ใช้อาบน้ำ หลังใช้ชำระร่างกายเพียงครั้งเดียว คราบไคลและคราบโคลนก็ถูกชะล้างออกไปหมดจดอย่างมีประสิทธิภาพ
“คุณคิดว่าฉันผลาญเงินมากมายไหมคะ? คิดว่าฉันเป็นผู้หญิงฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายไหม?” หลินชิงเหอคล้องแขนรอบลำคอของชายหนุ่มพลางยักคิ้วหลิ่วตา
โจวชิงไป๋ส่ายหน้า “ไม่เลย”
ภรรยาของเขาทำเพื่อครอบครัวของเขาอยู่ มันไม่ใช่การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไร้ประโยชน์เลยสักนิด
“ฉันกำลังคิดอยู่น่ะค่ะว่าเมื่อไหร่เราพอจะมีเวลาไปเที่ยวในเมืองหลวงบ้าง?” หลินชิงเหอเข้าประเด็น
“คุณอยากไปเมืองหลวงทำไมหรือ?” โจวชิงไป๋จ้องมองเธอ
“แค่อยากรู้น่ะค่ะว่าสภาพในเมืองหลวงเป็นยังไง กำแพงเมืองจีนเอย ประตูจงหัวเหมินเอย บุคคลที่เป็นตำนานทั้งหลายเอย” หลินชิงเหอหัวเราะ ราวกับไม่รู้ว่าเธอไปที่นั่นบ่อยมากขนาดไหน
สำหรับคนในยุคนี้ การได้เข้าเมืองหลวงนับว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก
“ตอนนี้ยังไปไม่ได้หรอก โลกภายนอกยังไม่สงบสุข ไม่เชื่อคุณคอยดูเถอะ” โจวชิงไป๋บอก
หลินชิงเหอแค่อยากพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จากนั้นเธอก็เปลี่ยนประเด็น “แถวนี้มีของอย่างหยกสลักอยู่บ้างไหมคะ?”
“ของพวกนั้นเป็นวัตถุในระบบศักดินาเก่านะ” โจวชิงไป๋เอ่ยขึ้น
หลินชิงเหอได้ยินถึงกับเงียบไป เธอรู้ดีถึงสภาพแวดล้อมที่ชายคนนี้เติบโตขึ้นมาตั้งแต่ยังเล็ก หญิงสาวจึงเอ่ยตัดบท “งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ”
โจวชิงไป๋รู้ในทันทีว่าภรรยาของเขาอยากได้สักอันหนึ่ง เขาจึงตัดสินใจจะหาเวลาสืบเรื่องนี้กับสหายเก่า หากมันมีคุณภาพดีก็จะเอามาให้เธอ
“คืนนี้ได้ไหมครับ?” ชายหนุ่มถามขึ้นขณะลูบไล้เอวบางของหญิงสาว
หลินชิงเหอถึงกับหน้าเหวอในใจ ในหัวผู้ชายคนนี้คิดอะไรอยู่เนี่ย?
แต่เมื่อเธอสบตาเขา เธอก็รู้สึกประหม่าอย่างมากที่ได้ยินเขาเอ่ยปากขออย่างจริงจังแบบนี้ “คุณทำงานมาทั้งวันแล้วไม่เหนื่อยหรือไงคะ?”
“ไม่เหนื่อยเลยครับ” โจวชิงไป๋ยิ้มกว้างอย่างรู้ความหมาย ก่อนหอมแก้มเธอดังฟอด
เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ออกไปเดินเล่นราว 10 นาทีแล้วก็กลับบ้าน หลังกลับมาถึง พวกเขาก็นั่งทำการบ้านตามปกติและจากนั้นก็เตรียมตัวเข้านอน
ส่วนโจวชิงไป๋ก็ได้ทานอาหารก่อนนอนไปหนึ่งยก ทำให้หลินชิงเหอที่ถูกเขากินถึงกับหมดแรงในที่สุด
“คุณทำงานในแปลงนามาทั้งวันทุกวัน พอถึงบ้านก็มาทำกับฉันต่ออีก คุณนี่พลังงานล้นเหลือจริง ๆ เลย” หลินชิงเหอระบายอย่างขัดใจด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“ผมจะทำต่อก็ได้นะถ้าคุณต้องการ ” โจวชิงไป๋เอ่ยเสียงทุ้มพร่า
หลินชิงเหอดันตัวเขาออก โจวชิงไป๋หัวเราะในลำคอและดึงตัวภรรยาเข้ามากอด เขาหยิบพัดมาพัดให้เธอจนกระทั่งนอนหลับไป
ตอนนี้อากาศร้อนอบอ้าวมาก หลินชิงเหอจึงทำถั่วเขียวต้มน้ำตาลบ่อย ๆ ทุกคืนหลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จและกำลังจะพักผ่อน ทุกคนก็จะได้กินถั่วเขียวต้มน้ำตาลกันคนละชาม
หลังจากเวลาผ่านไปได้ครึ่งเดือน น้องชายสามตระกูลหลินก็แวะมาหาพร้อมกับบอกข่าวดี
“ลูกนายเกิดตั้งนานแล้ว ทำไมถึงมาบอกซะป่านนี้ล่ะ?” หลินชิงเหอต่อว่าต่อขาน
“ช่วงนั้นผมยุ่งอยู่น่ะครับ เพราะว่าต้องช่วยงานทางบ้าน” น้องชายสามตระกูลหลินยิ้มแหย
“รีบมากินถั่วเขียวต้มน้ำตาลชามนี้เร็ว ดูนายสิ ผอมแห้งแรงน้อยจนแทบจะกลายเป็นโครงกระดูกอยู่แล้ว” หญิงสาวเอ่ยแล้วก็ย่นคิ้ว
น้องชายสามตระกูลหลินดูผ่ายผอมมากจริง ๆ เขาสูง 175 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าไม่เตี้ยเลยในยุคนี้ แต่เมื่อดูน้ำหนักแล้วก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีน้ำหนักถึง 110 ชั่งหรือไม่ ชายหนุ่มผอมเกินไปแล้ว
“พี่พูดเกินไปหรือเปล่าครับ?” น้องชายสามตระกูลหลินยิ้มแต่ก็ยังทานถั่วเขียวต้มน้ำตาลในชาม
หลังได้กินแล้วเขาก็มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น ถั่วเขียวต้มน้ำตาลชามนี้อร่อยจริง ๆ
หลินชิงเหอตักถั่วเขียวต้มน้ำตาลอีกชามหนึ่งให้จนน้องชายสามตระกูลหลินรีบเอ่ยห้าม “พี่ครับ ผมทานพอแล้วล่ะ”
“พออะไรกันล่ะ? ผู้ชายตัวโตแบบนี้ทานแค่ชามเดียวเนี่ยนะ? พี่ยังเหลือในหม้ออีกเต็มเลย” หลินชิงเหอยืนกราน
เธอปล่อยให้น้องชายสามตระกูลหลินทานถั่วเขียวต้มน้ำตาลต่อขณะที่เดินไปหยิบเนื้อหมูบางส่วนออกมา แล้วก็ให้เนื้อสามชั้น 1 ชั่งกับเนื้อซี่โครง 2 แพกับเขา ซึ่งเนื้อพวกนี้ก็คือของส่วนตัวในมิติของเธอ
………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อ่านถึงตอนนี้แล้วใครเริ่มหมั่นไส้พ่อแล้วบ้างคะ แหม…หาโอกาสกินแม่ทุกวันเลยน้าา
ปล. อีกไม่นานผู้แปลคงจะได้ทำถั่วเขียวต้มน้ำตาลบ้างแล้วล่ะค่ะ ทำแล้วแช่ในตู้เย็นไว้ทานตอนอากาศร้อน ๆ ท่าจะฟินน่าดู
ไหหม่า (海馬)