บทที่ 485 ดึงเข้าไปพัวพัน

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 485 ดึงเข้าไปพัวพัน
ชุดเกราะ ‘ผู้พิทักษ์ไวโอเล็ต’ สีม่วงเข้ม ชุดกระโปรงออกรบสีดำล้วน โล่ศักดิ์สิทธิ์อันเล็กหนาดูงดงามประณีตแต่ก็น่ากลัว ดาบยาวสีขาวออกเงินที่สลักลวดลายง่ายๆ เอาไว้ และเครื่องหน้างดงามดุจรูปสลักที่รับกับดวงตาสีม่วงออกเงินทอประกายลึกล้ำแน่วแน่… ณ เวลานั้น นาตาชาดูแตกต่างจากตัวตนแสนโอบอ้อมอารีและเป็นมิตรอย่างสิ้นเชิง นางกลับแผ่บรรยากาศที่ให้ความรู้สึกว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น

หลังจากข่มความประหลาดใจลงไป เขาก็นึกสงสัยด้วยความรู้สึกสุขใจระคนเป็นกังวลว่าเหตุใดเขากับนาตาชาจึงต้องบังเอิญมาเจอกันในสถานที่แห่งนี้ด้วย แล้วอัศวินทองคำและอัศวินอาภาแห่งราชรัฐออร์วาริตภายใต้บังคับบัญชาของนาตาชาเล่าหายไปไหน หากเป็นสถานการณ์ทั่วไป ศาสนจักรฝ่ายใต้ย่อมไม่ปล่อยให้กองกำลังอัศวินทำผิดพลาด เหล่าขุนนางจะเชื่อฟังแต่เพียงนายเหนือหัวของตนเท่านั้น เหล่าอัศวินระดับสูงสามารถเตรียมการให้ทางศาสนจักร แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งจากทางศาสนจักรเสมอไป

นาตาชาคงจะต้องเข้ามายังดินแดนใหม่แห่งนี้ในฐานะหัวหน้ากองอัศวินทองคำและอัศวินอาภาแห่งราชรัฐออร์วาริตเป็นแน่ แล้วเหตุใดนางจึงมิมีผู้ใดคอยคุ้มกัน เหตุใดนางจึงออกมาจากกองทหารของตนเอง

‘ไม่สิ’ ลูเซียนแก้ไขความคิดของตนอย่างรวดเร็ว ‘ยังมีคนคอยคุ้มกันนางอยู่’ ลูเซียนสังเกตเห็นว่าด้านหลังนาตาชามีโครงร่างที่แทบจะกลืนไปกับเงามืดอยู่ นั่นคือ ‘คลื่นสมุทร’ คามิลในชุดกระโปรงสีดำสนิท

รามิโร่ไม่ได้มองว่าฟรานซิสคือพันธมิตร ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาอาจมาจากศาสนจักรฝ่ายเหนือ แล้วเหตุใดนาตาชาจึงร่วมมือกับเขากันเล่า ผู้เฒ่าในชุดคลุมสีขาวผู้นั้นย่อมต้องเป็นนักบวชระดับสูง ส่วนชายท่าทางเคร่งขรึมหม่นหมองนั้นคือผู้พิทักษ์ราตรีอันดับที่สิบเก้า ผู้เป็นอัศวินอาภาระดับแปด ‘เพลิงล้างบาป’ แดเนียล พวกเขาไม่มีทางอยู่ฝ่ายฟรานซิสแน่ๆ

ลูเซียนสับสนมึนงงไปหมด พี่ชายของนาตาชาเสียชีวิตไปในระหว่างทำสงครามกับพวกนอกรีตทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นเหตุให้มารดาของนางจากไปก่อนวัยอันควร นางย่อมไม่มีทางเป็นพันธมิตรกับคนของศาสนจักรฝ่ายเหนือแน่นอน

ผู้พิทักษ์ราตรีหลายคนเก็บประวัติ สายเลือด และชื่อจริงไว้เป็นความลับ แต่กลุ่มที่อยู่ในอันดับสูงๆ นั้นค่อนข้างมีชื่อเสียง และชื่อรหัสกับชื่อจริงของพวกเขาก็เป็นที่รู้กันในองค์กรขนาดใหญ่ส่วนมาก ด้วยเหตุนี้ ลูเซียนจึงสามารถค้นหาตัวตนของผู้ที่ลอบโจมตีเขาได้จากห้องสมุดห้วงจิตหลังจากที่รามิโร่ระเบิดร่างพลีชีพ มันแทบไม่ส่งผลอันใดว่าเลยรามิโร่ใช่ชื่อจริงของเขาหรือไม่ และก็เป็นข้อมูลที่ได้จากห้องสมุดห้วงจิตนี้เองที่ทำให้ลูเซียนประเมินได้จากรัศมีและท่าทางหม่นหมองของชายผู้นั้นว่าเขาคือ ‘เพลิงล้างบาป’

อัศวินราชสำนักแห่งศาสนจักรฝ่ายใต้สองคน ผู้พิทักษ์ราตรีระดับสูงหนึ่งคน นักบวชระดับสูงจากศาสนจักรฝ่ายใต้หนึ่งคน และอัศวินอาภาที่ดูเหมือนจะเป็นเพชฌฆาตของศาสนจักรฝ่ายเหนือคนหนึ่ง การรวมตัวในครั้งนี้ดูค่อนข้างแปลกประหลาดสำหรับลูเซียน บางทีอาจจะเป็นโซเฟียที่ชักนำบุคคลเหล่านี้มารวมตัวกันเป็นพันธมิตรชั่วคราวก็เป็นได้ ลูเซียนนึกถึงโซเฟียที่ยังคงไม่ปรากฏตัวขึ้นมาได้ มีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับรูดอล์ฟที่สอง บิดาของนางอย่างแน่นอน และตัวโซเฟียเองก็หาใช่ผู้ที่เปี่ยมด้วยศรัทธาเลื่อมใส เมื่อบวกกับสายเลือดชั้นสูง นางจึงเป็นผู้มีคุณสมบัติของคนวางกลยุทธมากที่สุด

สมรภูมิในตอนนี้เงียบงันไปชั่วขณะ ฟรานซิสและพรรคพวกต่างหวาดกลัวและมึนงงกับพฤติกรรมแปลกๆ ของเทพเจ้าแห่งสงคราม ในขณะที่แอนทานาสเฝ้ามองพวกเขาด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยยุ “แค่พวกเจ้างั้นน่ะหรือ เข้ามาพร้อมๆ กันเลย!”

เขาเงื้อค้อนสงครามใหญ่ยักษ์ขึ้น แล้วสภาพแวดล้อมโดยรอบก็พลันกลายเป็นสมรภูมินองเลือด เหล่าอัศวินบนหลังม้าและบนพื้นราบกรูกันออกมาจากด้านหลังแอนทานาส ทุกคนดูคลุ้มคลั่ง พร้อมรบ และน่าหวาดหวั่นยิ่ง เพียงเสี้ยววินาที เขาก็รวบรวมกองกำลังอัศวินที่อยู่ในขั้นมหาอัศวินเป็นอย่างต่ำได้กองใหญ่

คนทุกผู้ที่ถูกแอนทานาสและผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาสังหารในสมรภูมิรบจะเข้าสู่พรมแดนแห่งสงครามกึ่งภาพมายาและเข้าร่วมในสงครามใหญ่อย่างไร้ที่สิ้นสุดจนกว่าดวงวิญญาณของพวกเขาจะสูญสลาย

ความแตกต่างหลักๆ ระหว่างอัศวินทองคำกับอัศวินอาภาก็คือพรมแดนอำนาจจิตกึ่งภาพมายา ซึ่งอาจกินขอบเขตไปไกลกว่าร้อยหลายเมตร ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแอนทานาสได้พัฒนาพลังของเขาไปในทิศทางของเหล่าอัศวิน

“ฆ่ามัน!” แอนทานาสคำรามก้อง

“ฆ่ามัน!” อัศวินจำนวนนับไม่ถ้วนตะโกนตามเสียงร้องคำรามของเขา เสียงตะโกนของพวกเขาดังกึกก้องอื้ออึง แรงปรารถนาต่อการสู้รบของพวกเขาดูน่าหวาดหวั่นมากเสียจนแม้แต่ผู้มีพลังระดับสูงยังต้องก้าวถอยไปอย่างไม่เต็มใจ

ข้าคือเทพเจ้าแห่งสงคราม ข้าคือผู้นำของกองทัพ!

แอนทานาสและกองทัพมุ่งหน้าเข้าหานาตาชา ในฐานะผู้มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ที่ฝึกปรือทักษะทุกอย่างเกี่ยวกับสมรภูมิรบมานาน เขาจึงสัมผัสได้อย่างง่ายดายว่านางคือผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่ศัตรู

ธงทั้งหลายโบกไสว หอกยาวยกชู และเวทศักดิ์สิทธิ์แผ่กระจาย ฟรานซิส แดเนียล นักบวชระดับสูง และคามิลต่างรู้สึกว่าอำนาจจิตของตนถูกฉกฉวยไป ทำให้พวกเขามีปฏิกิริยาตอบโต้ช้ากว่าปกติไปเสี้ยววินาที

แต่ตัวนาตาชากลับดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด นางไม่คิดหลบเลี่ยงการพุ่งเข้าโจมตี กลับกระโจนเข้าใส่ค้อนสงครามอย่างซึ่งหน้าโดยยกโล่ของตนขึ้นสูง

ปัง! รอยร้าวเล็กๆ แต่ดูน่ากลัวพลันปรากฏขึ้นตรงจุดที่โล่สีดำปะทะกับค้อนสงคราม พื้นที่โดยรอบนั้นดูคล้ายกับจะกลายเป็นของเหลวข้นและแข็งตัว จากจุดศูนย์กลางการปะทะ บังเกิดคลื่นกระแทกแผ่พุ่งออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง พลังศักดิ์สิทธิ์และหอกทั้งหลายจากภายนอกวงรัศมีไม่อาจแทรกผ่านพื้นที่ที่แข็งตัวเข้ามาได้

นาตาชามีสีหน้าตึงเครียด นางดูช่างโดดเดี่ยว แต่กลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

‘นี่นางไม่รู้จักการหลบหลีกหรือไง! เอาความกล้ามาจากไหนไปรับมือกับอัศวินทองคำขั้นที่เก้าอย่างซึ่งๆ หน้าทั้งๆ ที่ตัวเองยังอยู่แค่ขั้นที่เจ็ด! ถึงนางจะมีโล่แห่งสัจธรรมจำลองระดับเก้า แต่นางก็ไม่ควรจะมุละทุเช่นนี้!’ ลูเซียนสบถในใจ ส่วนหนึ่งในตัวเขานึกอยากจะเข้าไปลากนาตาชาออกมาจากสมรภูมิรบ

แม้ว่านางจะเลื่อนระดับพลังขึ้นเป็นขั้นที่เจ็ดได้เมื่อปีก่อน ความแตกต่างด้านพลังระหว่างนางกับแอนทานาสก็ยังคงมากอยู่ดี นอกจากนี้ รอบกายนางยังมีอัศวินอาภาขั้นที่แปดอยู่มากมายคอยปกป้องนาง! นางควรจะได้รับบทเรียนดังเช่นโซเฟีย ผู้ที่ไม่แม้แต่จะแสดงตัวออกมาในสถานการณ์เช่นนี้หลังจากถูกรูดอล์ฟที่สองสอนสั่ง

หนังสือเล่มโตที่แผ่รัศมีพลังศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นตรงหน้าผู้เฒ่าเสื้อคลุมสีขาว กระดาษพลิกหน้าไปอย่างรวดเร็วในขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์วูบผ่าน ลำแสงขนาดใหญ่แผ่พุ่งขึ้นเชื่อมท้องนภากับผืนดิน ก่อนจะปะทะกับร่างของแอนทานาส

บนร่างกายแอนทานาสปรากฎสิ่งกีดขวางที่หน้าตาเหมือนดั่งสนิมและโลหิตขึ้นชั้นหนึ่ง คุ้มกันเขาจาก ‘สุริยันต์ถั่งโถม’ ทว่า เหล่าอัศวินที่โผเข้ามาพร้อมเขากลับระเหยหายไป

เขาพยายามจะโจมตีใส่ผู้เฒ่า แต่นาตาชาไม่ยอมปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปแน่ ดวงตาสีม่วงออกเงินของนางฉายแววเย็นเยียบ แล้วนางก็ตวัดดาบยาวออกไป รอยแยกเหนือธรรมชาติที่ดูคล้ายกับจะสามารถทำลายทุกอย่างได้พลันปรากฏขึ้นด้านหน้าใบดาบหลังการตวัดฟาดฟัน

แอนทานาสหรี่ตาลงแล้วรีบเบี่ยงกายเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตี จากนั้นจึงรัวค้อนสงครามโจมตีใส่นาตาชา ภายในพรมแดนแห่งสงครามนั้น วิญญาณเหล่าอัศวินดูจะยิ่งสมจริงขึ้นกว่าเดิม

ในขณะเดียวกัน ความมืดมิดบนท้องฟ้ากลับกลายเป็นท้องทะเลที่ไหลบ่าใส่แอนทานาส

พร้อมกันนั้น เปลวเพลิงสีขาวเงียบงันก็พวยพุ่งขึ้นจากพื้นและโผเข้าใส่แอนทานาส

หน้ากระดาษของพระคัมภีร์ตรงหน้าผู้เฒ่าพลิกไปอย่างเร็วรี่ ขณะที่แสงสว่างยังคงเปล่งประกายวูบวาบ มันคอยสนับสนุนนาตาชาด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ พร กระแสแห่งสงคราม และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

โอกาสเดียวที่พวกเขาจะชนะคือการที่นางสามารถพันธนาการแอนทานาสได้ด้วยอาวุธจำลองของนาง

หลังจากที่คามิลกับเพลิงล้างบาปร่วมมือกันต่อสู้ นาตาชาก็พอจะได้หายใจหายคอบ้าง นางเขย่าโล่ในมือแล้วปรับท่าทางการยืนใหม่ ดูเหมือนว่าการโจมตีอย่างไร้ปราณีจากแอนทานาสเมื่อครู่นี้จะทำให้ร่างกายนางชาหนึบด้วยความเจ็บปวด

ฟรานซิสมองไปทางเบโร่ แล้วสื่อสารกับเขาผ่านทางเวทศักดิ์สิทธิ์ที่ใกล้เคียงกับเวทกระแสจิต “หากเจ้าช่วยพันธนาการแอนทานาสได้สำเร็จ ข้าก็จะได้ไปช่วยนายเหนือหัวของข้าสังหารอาซิน หลังจากที่ท่านดูดซับเทวภาพแห่ง ‘ความตายและการฟื้นคืนชีพ’ ที่ซ่อนอยู่จากอาซินได้ ท่านย่อมมีพลังในระดับเดียวกับแอนทานาส แล้วสถานการณ์ทุกอย่างก็จะอยู่ในกำมือเรา”

“ไม่มีปัญหา”

ในยามที่เทพเจ้าแห่งสงครามปรากฏกาย ใบหน้าของอาซินก็ฉายชัดถึงความปิติยินดีจนล้นใจ แต่เมื่อเห็นว่าแอนทานาสถูกศัตรูเหนี่ยวรั้งไว้ได้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอีกหลายครา เขาคิดฉวยโอกาสขณะที่แอลยังถูกจองจำอยู่ภายในกรงขังแสงดาวเพื่อพยายามหลบหนีไป

‘จะเป็นการดีที่สุดสำหรับเทพแอนทานาสหากข้าไม่ถูกจับตัวไป!’ อาซินคิดในใจ

“กลับมานี่เลย!” ฟรานซิสที่จับตามองอาซินอยู่ตลอด แปลงกายเป็นไฮดรา แล้วม่านหมอกสีดำหนาก็เข้าปกคลุมทั่วบริเวณนั้น

แสงดาวเปล่งประกายขึ้นแต่แล้วก็หม่นแสงลงโดยพลัน ด้วยรู้ดีว่าการฝ่าออกไปตรงๆ นั้นเป็นเรื่องยากและเขามิอยากจะต่อสู้กับฟรานซิส อาซินจึงพุ่งตัวลงและพยายามจะหลบหนีไปทางแม่น้ำโซลนา

“ข้าขอสั่งเจ้า จงหยุดนิ่ง!” ในที่สุดแอลก็หลุดออกมาจากกรงแสงดาวได้สำเร็จ แล้วรีบใช้เวทคำสั่งที่เพิ่งจะได้รับมาสดๆ ร้อนๆ จากการดูดซับเทวภาพของเทพเจ้าแห่งพายุ

แสงดาราแผ่รัศมีออกมาจากร่างของอาซิน แล้วดวงตาของเขาก็ดูไร้ชีวิตไปชั่วขณะ การพุ่งทะยานตัวลงพลันสูญเสียการควบคุม แล้วอาซินก็ร่วงลงสู่สายน้ำ

“โอกาสนี้แหละ!” แอลกับฟรานซิสต่างรีบเร่งมุ่งหน้าไปทางแม่น้ำโซลนา

ลูเซียนเฝ้ามองเหตุการณ์นั้นอย่างปลดปลง อาซินตกลงมาตรงหน้าเขาพอดี!

ในตอนที่ลูเซียนพยายามจะแปลงกายแล้วหนีเพื่อหลบซ่อนตัวต่อไปนั้น มือซ้ายของเขากลับยกขึ้นโดยที่เขาไม่เต็มใจเลยสักนิด

ลูเซียนคล้ายกับจะได้ยินอะไรที่คล้ายๆ กับ “ชีส!”

‘นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องอาหารสักหน่อย!’ ลูเซียนคร่ำครวญอยู่ในใจ แต่มือซ้ายกลับทรยศเขา การแปลงกายของเขาก็ล้มเหลวลงเช่นกัน จากนั้นมือซ้ายก็ดึงเขาเข้าไปหาอาซิน

อาซินยังไม่ฟื้นคืนสติจากเวทหยุดนิ่งอย่างเต็มที่ แต่แล้วเขาก็มองเห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้มีดวงตาสีดำปรากฏกายขึ้นในแม่น้ำ รัศมีของเขาช่างดูยิ่งใหญ่และทรงพลัง มันทำให้แม้แต่พระเจ้าเทียมเท็จอย่างเขายังเนื้อตัวสั่นสะท้าน มันคือความรู้สึกของเหยื่อที่ได้พานพบนักล่าทางธรรมชาติ

ด้วยความหวาดกลัว อาซินจึงปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาขนานใหญ่ แต่มือที่เอื้อมมาข้างหน้านั้นกลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ มันแทรกผ่านวงล้อมคุ้มกันกายและจับหมับเข้าที่ลำคอ

พลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดพลันเหือดหายไปทันทีที่มือซ้ายของลูเซียนแตะต้องตัว!

แอลกับฟรานซิสชะงักกลางคันเมื่อเห็นแสงสว่างวาบจากพลังศักดิ์สิทธิ์ภายในแม่น้ำ ดูเหมือนว่าอาซินเพิ่งจะปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา ซึ่งเป็นพลังที่น่ากลัวไม่น้อย พวกเขาชะลอความเร็วลง ระแวดระวังตัวเตรียมรับการโจมตีสุดท้ายที่อาจเกิดขึ้นได้ พร้อมกับทำให้แน่ใจว่าอาซินจะไม่หนีไปทางอื่น

แสงวูบวาบนั้นหายไปในที่สุด แล้วพวกเขาก็ได้เห็นภาพอันเหลือเชื่อ อาซินในร่างนวลนางแสนงดงามเย้ายวนกำลังถูกชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาจับลำคอเอาไว้ และเทวภาพในตัวอาซินก็กำลังถูกแยกออกไปอย่างช้าๆ

‘เขาคือใครกัน’ แอลกับฟรานซิสต่างนิ่งอึ้งตะลึงงัน ชายผู้ทรงอำนาจคนนี้คือผู้ใดกัน

ลูเซียนหันมาสบตากับพวกเขา เขาส่ายศีรษะอย่างปลดปลง แล้วทักทายทั้งสองด้วยท่าทางเป็นกันเอง

“สายัณห์สวัสดิ์”

เขาขออ้างได้ไหมว่าเขาได้รับบทมาผิด