“เพิ่งจะทราบหรือว่าที่วังตะวันออกก็มีห้องหนังสือ”
เสียงเยือกเย็นถูกเปล่งออกมา ตรงกันข้ามกับสัมผัสที่อบอุ่นมัน ร่างกายของกโยซึลสั่นสะท้าน และเพียงแค่เสียงที่ได้ยิน นางก็รู้ทันทีว่าเจ้าของเสียงคือใคร ผู้ที่มาโอบกอดตนนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่คือบีพาอันนั่นเอง
“ท ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี เข้าเฝ้าฝ่าพระบาทฮวางแทจาเพคะ”
กโยซึลย่อเข่าลงเล็กน้อยอย่างเก้ๆ กังๆ นางเอียงหน้ากลับไปมองด้านหลัง ท่าทางของนางดูตลกมากด้วยความรู้สึกสับสนและทำอะไรไม่ถูกของนาง เท้าข้างหนึ่งของนางอยู่บนขาบันได อีกข้างหนึ่งลอยคว้างอยู่กลางอากาศ อีกทั้งยังทิ้งน้ำหนักทั้งหมดเอนลงที่ตัวบีพาอัน
“ดูเหมือนว่าท่าทางนี้ จะไม่ใช่ท่าทางที่เหมาะต่อการทำความเคารพเสียเท่าไร”
“ดูไม่เหมาะเท่าไรใช่หรือไม่เพคะ”
กโยซึลหลุดขำ บีพาอันกระตุกคิ้วเล็กน้อย เขาส่งแรงเพิ่มไปยังมือที่กุมต้นแขนของกโยซึลเอาไว้ บีพาอันยกกโยซึลขึ้นทั้งอย่างนั้นพลางอุ้มนางลงมาไว้ที่พื้น สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดขึ้นไปอีก กโยซึลค่อยๆ ลุกขึ้นยืนจากพื้นอย่างสงบเสงี่ยม แม้นางจะลุกขึ้นยืนมาได้อย่างมั่นคงแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางยังคงรู้สึกหวั่นใจอยู่ กโยซึลรีบหันหลังไปหาบีพาอัน
“ขอบพระทัยเพคะ”
แปลกมากที่กล้ามเนื้อบนใบหน้าของนางพลันแข็งขึ้นมา กโยซึลพยายามยกริมฝีปากที่คว่ำลงขึ้นอย่างฝืนๆ แม้นางจะฝืนยิ้มทักทายแล้วก็ตาม แต่สีหน้าของบีพาอันที่อยู่ตรงหน้า ยังคงเหมือนกับก้อนน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“อะไรหรือเพคะ”
คำถามที่เอ่ยออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้กโยซึลสะดุ้งเฮือก ไหล่ของนางสั่นเทา พลางถามกลับไป
“หอสมุด” บีพาอันตอบสั้นๆ แล้วกัดริมฝีปาก เขาพูดมากขึ้นต่างกับที่เคยเป็น แม้ว่าสีหน้าจะยังดูเย็นชาอยู่มากก็ตามที
“ทรงเคยถามเราเกี่ยวกับห้องหนังสือของพระราชวังชั้นนอก เราเลยคิดว่าชายาไม่รู้ว่ามีห้องหนังสืออยู่ที่วังตะวันออกด้วย เป็นอย่างไร ทรงไม่คิดหรือว่าห้องหนังสือแห่งนี้มีหนังสือมากกว่า และน่าสนใจกว่าห้องหนังสือของพระราชวังชั้นนอก”
“อา…” กโยซึลไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ จึงได้แต่กลอกตาไปมา “หม่อมฉันยังไม่ได้อ่านหนังสือของที่นี่ แต่ก็มีหนังสือที่น่าสนใจอยู่มากมายเพคะ”
คำถามของบีพาอันดูเหมือนจะเป็นการทดสอบกโยซึลอย่างน่ากลัวไปเสียทุกครั้ง นางระมัดระวังในการเลือกใช้คำ เพราะกลัวว่าจะไปขัดใจเขาเข้า จนเมื่อใกล้จะคั้นคำตอบออกมาได้แล้ว บีพาอันเอ่ยถามคำถามออกมาจากริมฝีปากที่ไม่อาจคาดเดาสิ่งใดได้เสียก่อน
“ทรงจะทำตัวเหมือนกระต่ายทุกครั้งที่จะเอ่ยตอบสิ่งใดเลยหรือ”
“กระต่าย…หรือเพคะ”
“ทุกครั้งที่พูดเห็นจะทรงขยับไหล่ตลอด”
การเอ่ยทักของบีพาอันทำให้กโยซึลหน้าแดงพลางงุ้มไหล่ลง ต่อหน้าบีพาอัน นางจะรู้สึกประหม่าเช่นนี้ตลอด ทำให้ทุกครั้งที่คุยกับเขา นางก็ต้องตกใจและเสียขวัญอยู่เสมอ และครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นอีกแล้ว กโยซึลรู้สึกลนลานจากการที่ไหล่ของนางขยับอย่างไม่อาจควบคุมได้ ในขณะนั้นเองอยู่ๆ บีพาอันก็ขยับเข้ามาใกล้ ตัวของเขามีกลิ่นชะมด[1] อันอ่อนโยนหอมอบอวลอยู่ นางคิดว่ากลิ่นที่นุ่มนวล ทรงเกียรติ อีกทั้งยังรู้สึกสดชื่นเช่นนี้ เข้ากันได้ดีกับเขาอย่างยิ่ง
เมื่อบีพาอันเข้ามาใกล้มากขึ้น กโยซึลก็เขยิบถอยหลังหนีโดยไม่รู้ตัว จนหลังของนางไปติดกับชั้นหนังสือ ไหล่ของกโยซึลหุ้มลงจากการที่ไม่สามารถถอยไปไหนได้อีกต่อไปแล้ว แขนเสื้อของบีพาอันแตะที่ปลายจมูกของกโยซึล ใจของนางพลันตกลงไปที่ตาตุ่ม
“นี่…”
บีพาอันที่อยู่ๆ ก็เขยิบเข้ามาใกล้ ก้าวถอยออกไปอย่างรวดเร็วพอๆ กับตอนที่เดินเข้ามาหา เขายื่นหนังสือเล่มนึงมาตรงหน้านาง เป็นหนังสือที่กโยซึลดึงออกมาไม่สำเร็จนั่นเอง กโยซึลรับหนังสือเล่มนั้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วถามบีพาอันด้วยแววตาแบบเดียวกันกับกระต่ายว่า
“ทรงทราบได้เช่นไร ว่าหม่อมฉันอยากอ่านหนังสือเล่มนี้เพคะ”
“ตอนที่ชายาจะล้มลงจากการพยายามหยิบหนังสือเล่มนี้ เราไม่ได้เป็นคนดึงชายาเอาไว้หรอกหรือ”
“ออ เป็นเช่นนี้เอง ทรงเห็นก่อนแล้ว”
กโยซึลยิ้มให้เขาอย่างเก้ๆ กังๆ บีพาอันมองนางเงียบๆ ราวกับว่าคำถามของนางไร้สาระ เป็นความเงียบที่น่าอึดอัดและเกินจะทนได้ กโยซึลได้แต่กลอกตาไปมา สายตาของนางในตอนนี้ราวกับว่าเหงื่อกำลังไหลโชกแล้วอย่างไรอย่างนั้น สายตาของบีพาอันที่มองลงมาช่างน่าอึดอัดและน่ากลัวยิ่งนัก กโยซึลรู้สึกว่าเหมือนตัวเองได้ทำความผิดอะไรสักอย่าง นางจึงได้ยืนนิ่งอย่างสงบเสงี่ยม
“เช่นนั้นเราขอตัว”
บีพาอันผู้ซึ่งเอาแต่จ้องนางอยู่พักใหญ่ อยู่ๆ ก็หันหลังกลับไป เขากำลังจะเดินจากไปอย่างเร็วไวเท่ากับตอนที่เข้ามาหา ยิ่งทำให้ใจของกโยซึลกระวนกระวายยิ่งขึ้น ตอนได้พบหน้า ก็เอาแต่ทำท่าทางพะว้าพะวง พอเขากำลังจะเดินจากไป ตนก็พลันนึกเสียดายขึ้นมา ทันใดนั้นนางก็หันไปคว้าตัวบีพาอันไว้
“ฝ่าพระบาทเพคะ”
บีพาอันหยุดชะงักโดยทันที แต่ก็ไม่ได้หันหลังกลับมา กโยซึลพูดขึ้นมา พลางจ้องมองไปที่แผ่นหลังที่กว้างและใหญ่ของเขา
“หม่อมฉันล้มป่วยไปก่อนหน้านี้”
“ตอนนี้ทรงดูหายเป็นปกติแล้วมิใช่หรือ”
คำตอบของบีพาอันช่างฉับไวยิ่ง เขาไม่แม้กระทั่งหันกลับมาด้วยซ้ำ ที่จริงแค่เขายอมหยุดให้เช่นนี้ก็เป็นบุญแค่ไหนแล้ว เป็นดังที่คาด ตนกำลังคาดหวังอะไรจากบีพาอันคนนั้นกัน การที่เขามาช่วยดึงไว้ไม่ให้ล้มลง การที่เขามาหยิบหนังสือให้ สิ่งเหล่านี้คงทำให้ความคาดหวังในตอนนั้นสูงขึ้น ที่จริงการกระทำเหล่านี้ถือเป็นเพียงน้ำใจที่สามารถหยิบยื่นให้ได้แม้แต่คนที่ไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำ
กโยซึลรู้สึกละอายที่คิดว่าทั้งคู่ได้สนิทสนมกันมากขึ้นแล้วจากการได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่คำ ความสนิทสนมที่บังเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยชั่วขณะที่ได้พบกันเพียงชั่วครู่นั้นจางหายไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อต้องเผชิญกับลมตะวันออกเฉียงเหนือที่เย็นยะเยือกอย่างไร้ความปราณี กโยซึลเม้มฝีปากแน่น แม้ว่าริมฝีปากของนางจะโค้งขึ้นเล็กน้อย แต่นั่นหาใช่การแย้มยิ้มเพราะรู้สึกชอบใจไม่ มันคือรอยยิ้มที่พยายามจะปลอบโยนหัวใจที่ขมขื่นของตัวนางเอง
“ใช่เพคะ ตอนนี้หม่อมฉันดีขึ้นมากแล้วเพคะ เป็นเพราะ…”
เป็นการตอบแบบลองเชิง เหตุผลที่กโยซึลพูดว่า ‘เป็นเพราะ’ ซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่จำเป็นนั้น ก็เพื่อเป็นการลองเชิงในฐานะชายาเอกที่ไม่ได้รับการใส่ใจจากพระสวามี เขาจะสงสัยบางหรือไม่ว่าตน ‘หายเพราะผู้ใด’ หรือ ‘หายเพราะสิ่งใด’
“โปรดใจใส่สุขภาพด้วย” คำพูดที่ราวกับไม่ตั้งใจพูดออกมานั้น ทำให้นางรู้สึกชาที่หัวใจ แต่ในทันใดนั้นเอง
“จำไว้ว่าร่างกายของชายา ไม่ได้เป็นของชายาแค่ผู้เดียว ทรงเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ และเป็นชายาเอกของเรา ดังนั้นการที่ต้องรักษาตัวให้ดีเป็นข้อปฏิบัติประการหนึ่ง อย่าทำให้สมาชิกราชวงศ์ไม่สบายใจ และจงรักษาตัวให้ดี เราหวังว่าชายาจะไม่ทำให้เราต้องกังวลใจอีกในอนาคต”
“…”
ไม่สามารถเอ่ยตอบสิ่งใดกลับไปได้เลย กโยซึลจ้องเขม็งไปที่บีพาอัน แผ่นหลังของผู้ที่ไม่แม้แต่จะหันกลับมา แถมยังพูดตำหนิรุนแรงเช่นนั้น นางควรจะรับมืออย่างไรดี จะทำอย่างไรกับเขาผู้ที่แม้ว่าตัวนางจะพยายามใคร่ครวญมากเพียงใด ก็ยังไม่อาจเข้าใจได้อยู่ดี
“ฝ่าพระบาท” กโยซึลโยนถามคำถามออกไปแทนคำตอบรับ “ทรงบอกให้หม่อมฉันทำสิ่งใดก็ได้ตามที่ต้องการใช่หรือไม่เพคะ”
“ถูกต้องแล้ว”
เป็นคำตอบสั้นๆ ที่ไม่มีแม้คำถามใดพ่วงเข้าไปด้วย ราวกับเป็นการบอกเป็นนัยว่าเราไม่มีสิ่งใดที่อยากรู้เกี่ยวตัวเจ้าเลย กโยซึลรู้สึกเช่นนั้น หัวใจของนางถึงกับหนาวสั่น แม้จะไม่ได้พูดอะไรต่ออีกแล้ว แต่บีพาอันก็ยังคงไม่เดินออกไป อากาศที่พัดผ่านระหว่างคนทั้งคู่นั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด เหมือนว่าบีพาอันเองก็รู้สึกได้แม้จะไม่ได้หันกลับไปมองอีกฝ่ายเลย
กโยซึลกำหนังสือที่ถือไว้แน่น แรงบีบหนักถูกส่งไปที่มือที่กำลังเกร็งแข็งคู่นั้นของนาง หนังสือเล่มนั้นเป็นการแสดงน้ำใจเพียงหนึ่งเดียวของบีพาอัน ด้วยการที่เขาหยิบมันออกมาจากชั้นหนังสือชั้นบนสุดให้
“เรื่องที่ทรงให้ทำตามใจได้ รวมถึงหัวใจด้วยหรือไม่เพคะ” นางถามออกไปอย่างยากลำบากราวกับกำลังถูกบังคับ
“หัวใจเช่นนั้นหรือ”
บีพาอันพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและสั่นเครือ คำท้ายประโยคที่ยกสูงขึ้นนั้น ราวกับกำลังเยาะเย้ยคู่สนทนา บีพาอันเงียบไปชั่วขณะ เนื่องจากเขาเป็นคนที่คาดเดาได้ยากว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ความเงียบของเขาจึงทำให้กโยซึลรู้สึกตื่นตระหนกจนลำคอแห้งผาก ทันใดนั้นฝนห่าใหญ่ก็ซัดกระหน่ำลงมาในหัวใจที่แห้งเหือดของนาง
——
[1] กลิ่นชะมด น้ำหอมสมัยโบราณ นิยมใช้กลิ่นจากตัวชะมด