ตอนที่ 480 เสียวสี่จื่อ / ตอนที่ 481 ผู้ชายประหลาด

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 480 เสียวสี่จื่อ 

 

 

จินกุ้ยเฟยได้ยินคำปฏิเสธของหรงจิงก็ไม่พอใจ นางหันกายกลับแล้วทำปากเชิด 

 

 

“ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยโหรวผินที่สุด ทรงมอบงานที่ต้องการความไว้วางพระทัยให้โหรวผินจัดการ เรื่องจิปาถะฝ่ายในทรงมอบให้ซูเฟย ซึ่งนางก็มีความสามารถ ส่วนจิ้งเฟยไม่ชอบวุ่นวายเรื่องภายใน มีเพียงหม่อมฉันเท่านั้นที่ไม่สามารถทำอะไรสนองพระเดชพระคุณได้ หม่อมฉันรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ ฝ่าบาทจะมิทรงประทานให้หม่อมฉันได้สมหวังดังตั้งใจบ้างหรือเพคะ” 

 

 

หรงจิงเพียงสงสารกลัวนางจะออกไปตกระกำลำบาก พอฟังที่นางพูดแล้วก็รู้ว่าระยะนี้นางคงได้รับความอัดอั้นตันใจไม่น้อย หรงจิงเข้าใจจินกุ้ยเฟย ถึงนางจะอารมณ์ร้อน ทำอะไรมุทะลุบ้าง แต่ในใจนางก็มีเขาเพียงคนเดียว และคิดการทุกอย่างเพื่อเขา 

 

 

จึงทนไม่ได้ที่จะปฏิเสธนาง จินกุ้ยเฟยเมื่อเห็นท่าทางหรงจิงปลอดโปร่งขึ้นบ้าง จึงพูดต่อ 

 

 

“ฝ่าบาททรงลำเอียงหม่อมฉันไม่ยอมนะเพคะ ฝ่าบาททรงอนุญาตให้จิ้งเฟยกลับบ้านเยี่ยมมารดาได้ รั่วอวิ๋นก็จะออกนอกวังไปภาวนาอธิษฐานให้แว่นแคว้นบ้าง ฝ่าบาททรงอนุญาตคำขอของรั่วอวิ๋นได้หรือไม่เพคะ” 

 

 

จินกุ้ยเฟยพูดชักแม่น้ำทั้งห้าจนสามารถซัดแนวป้องกันในใจหรงจิงลงได้ เขาจึงผงกศีรษะ 

 

 

“ก็ได้ๆ ทำตามความปรารถนาของเจ้าก็แล้วกันดีไหม แต่ข้างนอกนั้นอันตรายข้าจึงไม่วางใจที่จะให้เจ้าออกไป” 

 

 

จินกุ้ยเฟยยิ้มซบอยู่กับอกหรงจิง พูดหน้าระรื่นว่า 

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา ตลอดมาทรงงานเพื่อราษฎร ทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข แล้วจะมีภยันตรายอันใดเพคะ เป็นพระกรุณาที่ทรงให้หม่อมฉันได้สมปรารถนาเพคะ” 

 

 

พูดแล้วจินกุ้ยเฟยก็เขย่งขึ้นหอมแก้มหรงจิงทีหนึ่ง แก้มนางแดงเรื่อขึ้นทันทีเหมือนดื่มสุราเมามาย หรงจิงหัวเราะเสียงดัง กอดจินกุ้ยเฟยหยิกเข้าที่เอวนางทีหนึ่ง 

 

 

อวิ๋นเซียงฉือไม่เห็นภาพสะดุดตานี้แต่เห็นซูกงกงจับคนที่ทำลับๆ ล่อๆ เข้ามา 

 

 

ในตอนนั้นถึงเซียงฉือจะไม่เห็นคนคนนี้ แต่การกระทำของหรงจิงกับซูกงกงถัดจากนั้นทำให้เซียงฉือพอจะคิดรู้ได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจ 

 

 

ซูกงกงมือไม้แคล่วคล่องว่องไวจับตัวคนคนนั้นได้อย่างรวดเร็ว คนคนนี้ดูแล้วเป็นเพียงขันทีน้อยคนหนึ่ง อายุไม่มากแต่ดูฉลาดยิ่งและรูปร่างสูงใหญ่ 

 

 

เซียงฉือเห็นซูกงกงก็ยิ้มแล้วขอไมตรี ถามคำถามหลายคำถามกับขันทีน้อยคนนั้น 

 

 

“รับใช้อยู่ตำหนักไหน เจ้านายคือใคร ใครใช้ให้เจ้ามาแอบมองฝ่าบาท” 

 

 

เซียงฉือถามทีเดียวสามคำถามรวด ขาของขันทีน้อยคนนั้นสั่นเทาไม่หยุด และร่างก็สั่นขึ้นรุนแรงอย่างไม่อาจควบคุม 

 

 

“ถ้าหากนำตัวไปเบื้องหน้าพระพักตร์เจ้าต้องตายแน่ ถ้าเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ก็รีบตอบมาซะ ข้าจะได้ทูลขอพระเมตตาให้” 

 

 

เซียงฉือพูดเช่นนี้คนคนนั้นก็เงยหน้ามองนาง ดวงตาทั้งคู่นองไปด้วยน้ำตา เซียงฉือเห็นเข้าก็สงสาร 

 

 

องครักษ์ที่คุมตัวเขาอยู่ตบศีรษะเขาทีหนึ่งพูดดุขึ้นว่า 

 

 

“ท่านนี้คือใต้เท้าอวิ๋นผู้ใกล้ชิดฝ่าบาทเจ้าก็ยังจะมองตามใจชอบอีก สำรวมหน่อย” 

 

 

เสียงขององครักษ์คนนั้นไม่ดังนัก แต่ประจบประแจงเซียงฉือออกนอกหน้า เซียงฉือหน้าแดงเรื่อขึ้น นางเป็นแค่ขุนนางขั้นที่เก้าเล็กจิ๊บจ้อยแต่ก็ยังมีคนให้ความสำคัญ จึงทำตัวไม่ค่อยจะถูก 

 

 

แต่ขันทีน้อยคนนั้นดูจะสงบลงบ้างแล้ว พูดด้วยเสียงสั่นๆ ว่า 

 

 

“ข้าน้อยเสียวสี่จื่อจากสำนักอักษรซื่อคู่ขอรับ เพราะกงกงผู้ดูแลสำนักไม่ได้กลับไปคืนหนึ่งแล้ว ข้าน้อยได้ยินว่าเขาก่อเรื่องขึ้น จึงถูกกูกูที่ดูแลส่งออกมาติดตามข่าว…” 

 

 

เซียงฉือฟังแล้วก็เลิกคิ้ว นางมองดูเสื้อผ้าขาดรุ่ยบนตัวเสียวสี่จื่อแล้วยื่นนิ้วออกไปเชยใบหน้าเล็กๆ ขึ้น พูดว่า 

 

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ทำไมเห็นฝ่าบาทแล้วจึงไม่หลบ ยังกล้าแอบดูอีกด้วย” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 481 ผู้ชายประหลาด 

 

 

เสียวสี่จื่อฟังดังนั้นแล้วสีหน้าอมทุกข์ เขามองเซียงฉือแล้วพูดว่า 

 

 

“ใต้เท้า ข้าน้อยไม่รู้จักฝ่าบาทจริงๆ ขอรับ ข้าน้อยเข้าวังมาเพียงแค่ครึ่งปี เป็นขันทีผู้น้อยที่คอยปัดกวาดอยู่แต่ในสำนักอักษรซื่อคู่ตลอดมา ไม่เคยออกนอกประตูสำนักอักษรซื่อคู่มาก่อน ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่จริงๆ จึงไม่รู้จักฮ่องเต้ขอรับ” 

 

 

เซียงฉือฟังคำพูดของเขาแล้วก็หัวเราะ เจ้าเด็กคนนี้น่ารักจริงๆ 

 

 

เห็นท่าทางเขาแล้วก็รู้ว่าพวกของซูกงกงทำให้เขาตกใจไม่น้อย นางมองออกว่าที่เขาพูดมาล้วนเป็นความจริงจึงสะบัดมือพูดขึ้น 

 

 

“ปล่อยเขาเถิด ก็แค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น เพียงทูลความจริงกับฝ่าบาทก็พอ ตอนนี้กุ้ยเฟยอยู่กับฝ่าบาท ขืนนำตัวเข้าไปคงไม่พ้นถูกเฆี่ยน” 

 

 

ซูกงกงพอได้ยินว่ากุ้ยเฟยก็อยู่ด้วย เขามองดูเด็กที่คุกเข่าแอบเช็ดน้ำตาบนพื้นนั้นแล้วก็ถอนใจ 

 

 

“ก็ได้ เจ้าเด็กโง่อย่างเจ้านี่ คนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่จริงๆ ยังไม่ขอบคุณใต้เท้าอวิ๋นที่ช่วยชีวิตเจ้าอีก ไม่อย่างนั้นวันนี้หากเจ้าไม่ตายก็ต้องถูกลอกหนังออกบ้างล่ะ” 

 

 

เจ้าเด็กคนนั้นรีบคุกเข่าฟุบอยู่แทบเท้าเซียงฉือ โขกศีรษะรัวๆ พูดว่า 

 

 

“ใต้เท้าไม่เพียงงดงามราวบุปผา ดุจดั่งนางฟ้าบนสวรรค์ ยังมีใจกรุณาราวโพธิสัตว์ เสียวสี่จื่อวันนี้ได้พบพระโพธิสัตว์แล้ว เสียวสี่จื่อสำนึกบุญคุณใต้เท้าที่ช่วยชีวิต เสียวสี่จื่อขอบคุณ” 

 

 

เซียงฉือไม่ต้องการรับการกราบกรานจากเขาจึงประคองเขาขึ้นจากพื้น ซูกงกงสะบัดไม้ปัดคารวะแล้วหันกลับเดินจากไป 

 

 

เซียงฉือเห็นเสียวสี่จื่อยังคงเช็ดน้ำตาป้อจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าในมือไปให้ 

 

 

“เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว บ้านเดิมอยู่ที่ไหน” 

 

 

เสียวสี่จื่อร้องไห้น้ำมูกน้ำตาเปรอะ เขาเงยหน้าขึ้นมองเซียงฉือ ยิ้มแล้วพูดว่า 

 

 

“ใกล้จะสิบสี่แล้ว บ้านเดิมอยู่หมู่บ้านชีเสียเมืองหลานโจวขอรับ ขอบคุณใต้เท้าอวิ๋นที่ช่วยชีวิต ใต้เท้าจิตใจดีงามจริงๆ คนดีจะต้องได้รับกรรมดีตอบ ท่านจะต้องยิ่งงดงามยิ่งๆ ขึ้น” 

 

 

เซียงฉือได้ยินคำพูดของเขาแล้วก็หัวเราะ เพียงได้ยินเขาบอกว่าเป็นคนหลานโจว ความระลึกถึงบ้านเกิดจึงเกิดขึ้นมาจางๆ มีความรู้สึกเหมือนได้พบคนบ้านเดียวกันจึงยิ่งใส่ใจเขาเป็นพิเศษ 

 

 

“ต่อไปไม่ต้องเรียกข้าว่าใต้เท้า เรียกพี่เซียงฉือก็แล้วกัน ข้าก็เป็นคนหลานโจว” 

 

 

เสียวสี่จื่อตกใจในคราแรก แล้วจึงเรียกขึ้นอย่างเปรมปรีดีใจ 

 

 

“ขอรับ พี่เซียงฉือ” 

 

 

เซียงฉือยิ้มแล้วพยักหน้า มองดูเด็กคนนี้แล้วเต็มไปด้วยความสงสาร เสียวสี่จื่อพูดขึ้นว่า 

 

 

“พี่เซียงฉือ จินกุ้ยเฟยเป็นคนร้ายกาจมากเช่นนั้นหรือ เหตุใดเวลาที่นางอยู่จึงยิ่งอันตรายเล่า หมัวหมัวในสำนักของพวกเราต่างบอกว่าฮ่องเต้จึงเป็นเสือตัวใหญ่ เอะอะก็จะกินคนแล้ว” 

 

 

เซียงฉือหัวเราะตบศีรษะเขาพูดว่า 

 

 

“ห้ามพูดเหลวไหล ฝ่าบาททรงเป็นผู้มีใจกรุณาที่สุดแล้วบนโลกนี้ เป็นเพราะหมัวหมัวของเจ้าไม่เคยเห็นฝ่าบาทมาก่อนจึงได้พูดเช่นนี้” 

 

 

“เอาล่ะ ตามพี่กลับไปสำนักอักษรซื่อคู่ของเจ้ากัน พี่ยังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการอยู่” 

 

 

สำนักอักษรซื่อคู่เป็นที่เก็บคัมภีร์ตำราในวัง ข้างในเต็มไปด้วยของแท้ในโลกซึ่งจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างที่สุดในการเก็บรักษา อีกทั้งยังต้องนำออกมาผึ่งแดดเสมอๆ จึงจะไม่ถูกหนูปลวกกัดแทะ จะได้เก็บรักษาได้ยาวนาน 

 

 

เซียงฉือเคยได้ยินชื่อสำนักอักษรซื่อคู่มานานแล้วแต่ไม่เคยได้เข้าไป ตำราจำนวนมหาศาลข้างในก็ยังไม่เคยศึกษามาก่อน นอกจากบางครั้งจะได้ตำรามาจากหรงจิงบ้าง ซึ่งนางจะถือราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า 

 

 

ตอนนี้สวี่อี้ไปที่สำนักอักษรซื่อคู่แล้ว เจ้าเด็กนี่คงจะออกมาก่อนแล้วแต่ก็ไปไม่ถูก จึงได้แต่เดินวนเวียนไปมาอยู่ข้างนอกนี่ 

 

 

“พี่ถามเจ้าหน่อย ในสายตาเจ้าสวีหมิ่นสวีกงกงเป็นคนอย่างไร ปกติเคยทำเรื่องอะไรแปลกๆ หรือไม่” 

 

 

เด็กคือความไร้เดียงสา พอได้สนิทกับเซียงฉือก็ยอมบอกกับนางทุกเรื่อง เอ่ยปากได้อย่างรวดเร็ว 

 

 

“สวีกงกงมีนิสัยแปลกประหลาด เขาชอบอยู่วิจัยอะไรอยู่ในห้องคนเดียว แต่ก็ไม่รู้ว่าวิจัยอะไร คนในนี้ก็มีน้อยอยู่แล้วส่วนเขาก็เป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ พวกหมัวหมัวจึงพูดกันลับหลัวว่าเขาเป็นคนแปลก”