กระทั่งศพทั้งหมดสลายหายไปจนหมดสิ้น อวิ๋นจิ่นในชุดสีขาวหิมะ ชายเสื้อพลิ้วไหวเล็กน้อย รองเท้าสีขาวหิมะไม่มีร่องรอยเปื้อนฝุ่นแม้แต่น้อย เขายืนอยู่บนพื้นหินสีเขียวเย็นยะเยือก ซึ่งเมื่อครู่นี้เต็มไปด้วยคราบเลือดและเครื่องมือสังหาร จากนั้นเขาก็เหาะหายไปในยามค่ำคืนมืดมิดอย่างเชื่องช้า ท่วงท่าและรูปลักษณ์ของเขาดูราวกับเทพเซียนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ซูจิ่นซีถูกคนชุดดำพากลับมาที่หน้าวังหลวง รถม้าของมู่หรงฉีจอดรออยู่ที่หน้าวังแล้ว
ระหว่างทาง ซูจิ่นซีเฝ้ากังวลเกี่ยวกับเรื่องอวิ๋นจิ่น แม้กระทั่งยามนี้ นางก็ยังไม่คลายความกังวล
“ฉีอ๋อง นี่มันเรื่องอันใดกัน? เมื่อครู่ ดูเหมือนคนพวกนั้นจะพุ่งเป้ามาที่หม่อมฉัน พวกเขาเป็นคนของผู้ใดกันแน่? ”
มู่หรงฉีมีท่าทางเคร่งขรึม “เป็นคนของมหาอุปราช! ”
“มหาอุปราช มู่หรงเฟิงหรือ? เขาต้องการสังหารหม่อมฉันหรือ? เพราะเหตุใด? ”
“เจ้ายังจำได้หรือไม่ ที่จวนท่านแม่ทัพใหญ่จงก่อนหน้านี้ เขาได้มอบป้ายคำสั่งขนนกทองคำให้เจ้า? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น
ตอนที่นางรับป้ายคำสั่งขนนกทองคำมาในครานั้น ก็คาดเดาได้นานแล้ว มู่หรงเฟิงเป็นถึงมหาอุปราชแห่งแคว้นหนานหลี เขาไม่มีทางถูกคนจูงจมูกได้โดยง่าย ทั้งสิ่งของล้ำค่าอย่างป้ายคำสั่งขนนกทองคำก็ไม่ใช่สิ่งที่จะส่งมอบให้ผู้ใดได้ง่ายๆ ดังนั้นเรื่องในวันนี้จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่คิดว่ามู่หรงเฟิงจะเลือกลงมือในเวลานี้
“หมอหลวงอวิ๋นถูกพลธนูปิดล้อม ฉีอ๋อง ยามนี้เขาตกอยู่ในอันตราย พวกเราต้องรีบไปช่วยเขา”
“เจ้าวางใจได้ คนที่ข้าส่งไปรับพวกเจ้า ล้วนเป็นยอดฝีมือขั้นหนึ่งทั้งสิ้น ไม่มีทางเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน พวกเขาจะต้องพาหมอหลวงอวิ๋นกลับมาอย่างปลอดภัยเป็นแน่”
ซูจิ่นซีราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง จึงไม่พูดอันใด
มู่หรงฉีไตร่ตรองและพูดขึ้นอีกครั้งว่า “จิ่นซี จากข่าวที่ได้รับมา มีความเป็นไปได้ที่ดอกไม้ปีศาจจะปรากฏขึ้นภายในวังหลวง หากข่าวนี้เป็นจริง ข้าเพียงคนเดียวคงรับมือไม่ไหว”
เรื่องนี้สำคัญทั้งคู่ ซูจิ่นซีรู้สึกลำบากใจ ทว่านางเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
ดอกไม้ปีศาจต้องใช้เวลาถึงสี่สิบเก้าปีจึงจะปรากฏขึ้นมาหนึ่งครั้ง หากพลาดวันนี้ นางต้องรอไปอีกสี่สิบเก้าปี
สี่สิบเก้าปี เป็นระยะเวลาที่ยาวนานเกินกว่าที่คนผู้หนึ่งจะแบกรับเพียงลำพัง
ส่วนอวิ๋นจิ่น ซูจิ่นซีได้เห็นฝีมือของเขาแล้ว อีกทั้งวรยุทธ์ของเขาก็ไม่ด้อย หากรวมกับคนที่มู่หรงฉีส่งไป คงไม่มีปัญหา
ซูจิ่นซีครุ่นคิดครู่หนึ่งและพยักหน้าตอบรับมู่หรงฉี จากนั้นจึงเดินเข้าไปในวังหลวงพร้อมกับเขา
อย่างไรเสีย ดอกไม้ปีศาจก็คือความหวังเดียวที่สามารถฟื้นฟูพลังภายในให้อู๋จุน ทั้งยังเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่า
ภายในวังหลวงก็เป็นเช่นเดียวกับนอกวัง ทั่วทุกแห่งล้วนประดับประดาไปด้วยดอกไม้นานาชนิด แม้บางแห่งไม่มีพื้นที่ให้ปลูกดอกไม้ ก็ยังมีกระถางต้นไม้จัดวางไว้อย่างสวยงาม
เป็นที่แน่นอนว่าสิ่งของทุกอย่างที่จัดวางไว้ภายในวังหลวงย่อมหรูหราและคุณภาพดีกว่าด้านนอกวัง
ดังนั้นเทศกาลร้อยบุปผาและงานพระราชพิธีวันพระราชสมภพของมหาอุปราชมู่หรงเฟิง จึงจัดรวมกันที่สวนดอกไม้ภายในวังหลวง
เมื่อซูจิ่นซีกับมู่หรงฉีมาถึง บรรดาขุนนางและคณะทูตก็เดินทางมาถึงแล้ว
งานพิธีอันยิ่งใหญ่ มีผู้คนมากมายกำลังร่ำสุรา นางรำฟ้อนรำอย่างงดงาม เสียงเพลงขับขานไพเราะ ดอกไม้นานาพันธุ์เบ่งบาน ช่างเป็นภาพที่ดูหรูหรายิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม ฉีอ๋อง หนึ่งในสามเสาอำนาจหลักแห่งแคว้นหนานหลีเดินทางมาร่วมอวยพรวันพระราชสมภพของมหาอุปราช พวกเขาไม่ควรล่วงเกิน
“คำนับฉีอ๋อง! ”
“คำนับฉีอ๋อง! ”
“ฉีอ๋อง พระวรกายเป็นเช่นไร! ”
“ราศีของฉีอ๋องนับวันยิ่งโดดเด่น สง่างามไม่ธรรมดา เจิดจรัสจนกระหม่อมต้องชื่นชม”
……
ผู้คนที่ชอบประจบสอพลอต่างเดินเรียงรายกันเข้ามาในสวนดอกไม้กว้างเพื่อร่วมงานเฉลิมฉลอง
มู่หรงฉียิ้มรับ ทว่าไม่รับสุราจากผู้ใด เขาเพียงเดินผ่านและทักทายขุนนางน้อยใหญ่ตามพิธีเท่านั้น ก่อนจะรีบพาซูจิ่นซีฝ่าฝูงชนเข้าไปนั่งในตำแหน่งของตนเอง
ทันทีที่พวกเขานั่งลง หลิงเซียวจวิ้นจู่พร้อมทั้งนางกำนัลก็เดินเข้ามาพอดี
เมื่อเดินมาถึงปากทางเข้าสวนดอกไม้ หลิงเซียวจวิ้นจู่พลันหยุดชะงัก นางทอดสายตามองซูจิ่นซีที่นั่งอยู่ด้านข้างมู่หรงฉีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทว่าดวงตากลับมองดอกไม้สวยงามรอบๆ งาน
หลิงเซียวจวิ้นจู่หันไปถามนางกำนัล “เจ้าดูท่านหมอซูที่แต่งตัวเป็นบุรุษนั่นสิ ท่าทางของนางเหมือนผู้ใด? ”
นางกำนัลชูคอมองไปทางซูจิ่นซี ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็มองไม่เห็นความผิดปกติอันใด
“จวิ้นจู่ บ่าวดวงตาฝ้าฟาง มองไม่ออกว่าท่านหมอซูเหมือนผู้ใด”
หลิงเซียวจวิ้นจู่ไม่ได้โกรธเคือง นางใช้มือลูบไปที่แก้ม “แม้วิชาแพทย์ของข้าไม่ได้เก่งกาจมากนัก ทว่าข้ายังพอเข้าใจวิชาแปลงโฉมอยู่บ้าง ปกติแล้ว การแปลงโฉมต้องใช้ขี้ผึ้งบางๆ และน้ำขิง ใบหน้าของนางคงใช้น้ำขิงทา ดูจากรูปหน้าของนาง หากไม่มองสันจมูกและหน้าผาก เมื่อล้างน้ำขิงบนใบหน้าออก เจ้าคิดว่าใบหน้าของนางเหมือนข้าหรือไม่? ”
หลิงเซียวจวิ้นจู่จงใจพูดชี้นำเช่นนี้ นางกำนัลผู้นั้นจึงตั้งใจมองใบหน้าซูจิ่นซี และครุ่นคิดตามคำพูดของหลิงเซียวจวิ้นจู่อย่างละเอียดอีกครั้ง
ขณะที่มอง ทันใดนั้น นางกำนัลก็ตกใจและหันกลับมามองใบหน้าของหลิงเซียวจวิ้นจู่ “จวิ้นจู่ บ่าวรู้สึกว่าใบหน้าของนางเหมือนพระองค์มากทีเดียว หากรูปหน้าภายใต้การแปลงโฉมของนางเหมือนพระองค์เช่นนี้ หรือว่า… หรือว่า… ”
นางกำนัลไม่กล้าพูดประโยคสุดท้าย เพราะเป็นเรื่องที่ห้ามสนทนาภายในวังหลวงแคว้นหนานหลี หากใครเอ่ยถึงต้องถูกตัดศีรษะทันที
ทว่าหลิงเซียวจวิ้นจู่กลับไม่เกรงกลัว “ถูกต้อง หากนางมีใบหน้าเหมือนข้า ก็ต้องเหมือนกับสตรีในภาพที่ถูกแขวนไว้ในตำหนักฉินเจิ้ง ทั้งยังเป็นภาพที่ฝ่าบาทเฝ้าคนึงหาทั้งวันทั้งคืน”
ภายในวังหลวงร่ำลือกันว่า สตรีนางนั้นไม่เพียงมีความเกี่ยวข้องกับฝ่าบาทเท่านั้น นางยังมีความเกี่ยวข้องกับมหาอุปราชมู่หรงเฟิงอย่างลึกซึ้ง และเป็นจุดอ่อนของมู่หรงเฟิง
หลิงเซียวจวิ้นจู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้น แววตาของนางก็ปรากฏกลอุบายบางอย่าง นางหันไปมองทางตำหนักฉินเจิ้ง จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปยังตำแหน่งที่นั่งด้านบน ซึ่งเป็นตำแหน่งของมู่หรงเฟิง
“ข้าคิดวิธีกำจัดนางแพศยาแซ่ซูผู้นั้นได้แล้ว ครั้งนี้นางจะต้องเสียใจที่เดินทางมายังแคว้นหนานหลี”
“จวิ้นจู่ ท่านจะใช้วิธีใดเพคะ? ” นางกำนัลผู้นั้นเอียงศีรษะไปหาหลิงเซียวจวิ้นจู่
หลิงเซียวจวิ้นจู่ยกยิ้มมุมปากด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์ “เจ้าคอยดูเถิด! การแสดงชั้นเยี่ยมกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว! ”
นางพูดพลางแย้มยิ้มปกปิดความผิดปกติบนใบหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ ตรงไปยังทิศทางที่มู่หรงฉีกับซูจิ่นซีนั่งอยู่
“พี่ฉี ท่านหมอซู พวกท่านมาเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ”
“เจ้าก็ไม่ได้มาสายเช่นกัน! ” มู่หรงฉีตอบ “นั่งเถิด คนกันเองทั้งนั้น มหาอุปราชยังมาไม่ถึง ไม่ต้องมากพิธี ทำตัวตามสบายเถิด”
ซูจิ่นซีแย้มยิ้มให้หลิงเซียวจวิ้นจู่เล็กน้อย ทว่าไม่พูดอันใด
หลิงเซียวจวิ้นจู่ส่งยิ้มให้ซูจิ่นซีเช่นกัน จากนั้นจึงเดินไปนั่งที่ตำแหน่งของตนเอง
เมื่อหลิงเซียวจวิ้นจู่นั่งลงเรียบร้อย บรรดาสตรีชนชั้นสูงของแคว้นหนานหลีก็เข้ามายกสุราทำความเคารพนาง
ทำให้ตำแหน่งที่นั่งของนางครึกครื้นขึ้นมาในชั่วพริบตา
มู่หรงฉีนั่งตัวตรง บางครั้งก็มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่เดินเข้ามายกสุราทำความเคารพ เขาก็ยกสุราขึ้นดื่มตามความเหมาะสม ทว่าส่วนใหญ่เขาจะปฏิเสธ
วันนี้มีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ เขาไม่อาจปล่อยให้สุราทำเสียเรื่อง
ซูจิ่นซีหมุนจอกสุราในมือไม่หยุด สีหน้าเหม่อลอย ไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด
ครู่หนึ่ง องครักษ์ประจำจวนฉีอ๋องก็เดินเข้ามาภายในสวนดอกไม้ เขาตรงมายังด้านข้างมู่หรงฉี ก่อนจะเอนตัวลงและพูดอันใดบางอย่าง
มู่หรงฉีตกตะลึงในทันที มือที่วางไว้ใต้โต๊ะค่อยๆ กำหมัดแน่น ท่าทางเคร่งขรึม
เขาเหลือบไปมองซูจิ่นซี เมื่อเห็นว่านางไม่ได้สนใจมองมาทางนี้ จึงเอียงตัวไปอีกด้านหนึ่งและพูดโดยไม่ให้นางได้ยิน
“เห็นชัดหรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนทำ? ”
“พี่น้องเราทุกคนล้วนหายไปหมด ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นคนทำพ่ะย่ะค่ะ กระทั่งพลธนูเหล่านั้นก็หายไปด้วย ราวกับว่าถนนเส้นนั้นไม่เคยมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นเลย”
“ไปตามหาอีกครั้ง ต้องตามตัวอวิ๋นจิ่นกลับมาให้ได้”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”