บทที่ 1118 สู่ขอแต่งงาน โดย Ink Stone_Fantasy
แต่ก็คิดวนเวียนสับสนอยู่แค่นิดเดียวเท่านั้น ขณะที่กำลังกังวล ในใจก็ยิ่งกระเหี้ยนกระหือรือ ที่แท้เคล็ดวิชาที่ตนฝึกก็เป็นหนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่นี่เอง คนที่เคยฝึกก่อนหน้านี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในจ้าวแห่งพิภพใหญ่ คิดคิดแล้วทำให้ฮึกเหิมเลือดเดือดพล่าน!
สำหรับพวกเขา การอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งมานานหลายปีขนาดนั้น ในใจล้วนมีความโอหังอวดดีอยู่บ้าง เมื่อรู้แล้วว่ามีหนทางที่สามารถทำให้เดินไปได้ไกลและสูงกว่าเดิม คงเป็นเรื่องยากที่จะให้พวกเขานั่งเป็นกบในบ่อต่อไป จะกลัวตำหนักสวรรค์แล้วหดหัวอยู่ที่เดิม หรือจะไปบุกเบิกที่พิภพใหญ่ สองทางเลือกนี้ทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยากเลย!
ดังนั้นพวกมู่ฝานจวินจึงเป็นฝ่ายมาหาอวิ๋นอ้าวเทียนที่นี่
อวิ๋นอ้าวเทียนขมวดคิ้วนั่งอยู่ในโถงหลักโดยไม่พูดอะไร การที่ทั้งสี่คนหาที่นั่งนั่งเองโดยมองข้ามเขา เขาก็ไม่ว่าอะไรเช่นกัน
ตั้งแต่แน่ใจเรื่องพิภพใหญ่ ทั้งห้าก็เรียกได้ว่าวางบุญคุณความแค้นทั้งหมดระหว่างกันก่อนหน้านี้ไปแล้ว เพราะแข่งขันกันไปก็ไม่มีความหมายอะไร ตอนนี้ต่อให้มีใครบอกว่าจะแย่งอาณาเขตใคร คาดว่าก็คงไม่มีใครสนใจอยู่ดี และคงจะไม่มีใครไปทำเรื่องน่าเบื่อแบบนั้นเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียว ผลประโยชน์ที่พิภพเล็กก็กลายเป็นสิ่งที่เล็กน้อยเหมือนเมล็ดงาในสายตาของพวกเขาไปแล้ว ไม่ควรค่าให้ไปสิ้นเปลืองพลังกายพลังใจอีกแล้วจริงๆ ไม่มีความหมาย!
ทั้งห้านั่งเฉยๆ โดยไม่พูดจาอะไร หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ซือถูเซี่ยวถึงได้เอ่ยขึ้นก่อน “คาดว่าทุกคนคงจะรู้แล้วสินะ ถ้าไปที่พิภพใหญ่แล้ว พวกเราก็จะกลายเป็นโจรกบฏ”
มู่ฝานจวินมองซ้ายมองขวาแล้วบอกว่า “คงจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอกมั้ง ทุกคนระวังตัวไว้ก็พอแล้ว ขอแค่ไม่ทำให้ทุกคนรู้กันหมดก็ไม่น่าจะมีเรื่องอะไร”
ฉางเหลยประนมมือบอกว่า “กลัวก็แต่เหมียวอี้จะจงใจเล่นงานพวกเรา ถ้าเปิดโปงความลับของพวกเราขึ้นมา พวกเราก็จะยุ่งยากกันใหญ่แล้ว”
จีฮวนเอามือลูบเครา “เขากล้าเหรอ? เมียเขาก็ฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานเหมือนกัน ถ้าไม่กลัวพวกเราจะแว้งกัด เขาก็เชิญลองได้เลย ถ้าอวิ๋นจือชิวไม่เป็นอะไร พวกเราก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมากหรอก”
ซือถูเซี่ยวกล่าวว่า “อย่าบอกนะว่าลูกชายเจ้าไม่ได้สืบมา? ภายในของตำหนักสวรรค์วุ่นวายยิ่งกว่าพวกเราที่นี่อีก ได้ยินว่าไม่ได้ดำมืดธรรมดา ในคุกมีคนที่ไร้ความผิด มีการยัดข้อหาใส่ร้าย เรื่องประเภทหลอกลวงเบื้องบน ระรานผู้ใต้บังคับบัญชา ฆ่าคนปิดปากก็มีเยอะแยะไป ตราบใดที่เหมียวอี้มีอำนาจมากพอ ถ้าเขาจับพวกเราขึ้นมา ต่อให้พวกเราตะโกนจนคอแตกก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้บอกว่าเหมียวอี้กับโจรกบฏมีส่วนเกี่ยวข้องกัน คาดว่าหลังจากให้ปากคำและออกจากคุกแล้ว พวกเราก็จะกลายเป็นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา”
จีฮวนถอนหายใจแล้วบอกว่า “เรื่องนี้ปกติมาก ราชันสวรรค์ท่านนั้นต่อให้มีพลังอิทธิฤทธิ์สูงกว่านี้ แต่ก็ไม่สามารถคุมทั้งพิภพใหญ่ด้วยตัวคนเดียวได้ สถานการณ์โดยรวมก็ย่อมวุ่นวายได้ง่ายอยู่แล้ว”
พวกเขาตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง นี่ก็คือสิ่งที่พวกเขากังวล เหมียวอี้คงไม่พาพวกเขาไปพิภพใหญ่เพื่จัดการพร้อมกันทีเดียวหรอกใช่มั้ย?
สักพักซือถูเซี่ยวก็ถามเสียงต่ำว่า “หรือพวกเรามาร่วมมือกันกำจัดเหมียวอี้ทิ้งดีมั้ย จากนั้นก็กดดันให้อวิ๋นจือชิวพาพวกเราไปที่พิภพใหญ่?”
สำหรับเรื่องนี้ อวิ๋นอ้าวเทียนกับมู่ฝานจวินไม่ได้พูดอะไร
ฉางเหลยส่ายหน้า “ไม่เหมาะ! ไอ้จัญไรนั่นไม่กลัวเพราะถือว่ามีคนหนุนหลัง ถ้าเป็นอย่างที่เขาบอกขึ้นมาจริงๆ ถ้าเขาเตรียมอะไรไว้ที่พิภพใหญ่แล้วจริงๆ ในฐานะที่เขาเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ การที่เขาหายตัวไปจะต้องทำให้ตำหนักสวรรค์สืบหาแน่!”
พวกเขาพูดไม่ออก จะซ้ายก็สับสน จะขวาก็สับสน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรไปชั่วขณะ
ผ่านไปไม่นาน จีฮวนก็อุทานอย่างประหลาดใจอีก “พอพูดถึงเรื่องนี้ พวกเจ้าได้สังเกตเห็นหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าพิภพใหญ่ไม่รู้ว่ามีพิภพเล็กอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นสถานที่ที่มีสาวกอยู่มากมายขนาดนี้ ตำหนักสวรรค์จะต้องส่งคนมานั่งรักษาการณ์แล้วสิ ก็แสดงว่าไอ้จัญไรนั่นไม่ได้เปิดเผยเรื่องพิภพเล็ก”
มู่ฝานจวินตาเป็นประกายวูบไหว คิดอะไรบางอย่างได้ทันที ถ้าเหมียวอี้ต้องการจะให้เยว่เหยาตัดขาดจากนางจริงๆ ก็สามารถนำกำลังพลจากพิภพใหญ่มากพจัดนางทิ้งได้เลย ถ้าแอบทำอย่างลับๆ เยว่เหยาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้…นางจึงแสยะยิ้ม แล้วบอกว่า “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!”
สายตาของทุกคนมองมาทันที อวิ๋นอ้าวเทียนถามว่า “ยายแก่นแก้ว อย่างนี้คืออย่างไร?”
มู่ฝานจวินหรี่ตาพูดว่า “ก็เหมือนที่ทุกคนเพิ่งบอกไปเมื่อครู่นี้ อวิ๋นจือชิวฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน หรือพูดได้อีกอย่างว่านางเกี่ยวข้องกับโจรกบฏเหมือนกัน จากข่าวที่สืบมาได้ ก่อนหน้านั้นเหมียวอี้ก็ประสบอันตรายที่พิภพใหญ่อยู่บ้างเหมือนกัน ไอ้จัญไรนั่นไม่เคยเปิดเผยเรื่องของพิภพเล็กให้พิภพใหญ่รู้เลย เป็นไปได้สูงว่าเขาเตรียมจะให้พิภพเล็กเป็นทางหนีทีไล่สุดท้ายยามประสบอันตราย!”
พวกเขาได้ยินแล้วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าเงียบๆ รู้สึกว่าคำพูดนี้มีเหตุผล ซือถูเซี่ยวหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นพวกเราก็ยิ่งได้โอกาสเหมาะแล้ว เขาสามารถใช้พิภพเล็กเป็นทางหนีทีไล่สุดท้ายได้ แล้วทำไมพวกเราจะทำไม่ได้ล่ะ? ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา พวกเราก็สามารถถอยกลับมาที่พิภพเล็กได้เหมือนกัน”
ฉางเหลยบอกว่า “แต่ดูจากเจตนาของเจ้านั่น เหมือนเขาจงใจจะกุมเส้นทางไปกลับพิภพเล็กเอาไว้คนเดียวนะ สาเหตุที่เขาพาพวกเราไปที่พิภพใหญ่ได้อย่างสบายอกสบายใจขนาดนี้ได้ เกรงว่าคงจะอยากกุมพิภพเล็กไว้ในมือคนเดียว และถ้าเขาไม่ยอมเปิดเผยเส้นทางไปกลับให้พวกเรารู้ พวกเราก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี ถ้าไปที่พิภพใหญ่แล้ว อย่าว่าแต่ข่มขู่เขาเลย แค่เขาไม่ข่มขู่พวกเราก็ดีแล้ว สรุปก็คือถ้าไปที่พิภพใหญ่แล้วอยากจะต่อต้านเขาก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก ที่เดียวที่จะลงมือได้สะดวกก็คืออวิ๋นจือชิว แต่เดาว่าไม่มีทางที่เหมียวอี้จะไม่คำนึงถึงจุดนี้ เกรงว่าคงจะเตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้พวกเรารู้หรอกว่าอวิ๋นจือชิวรู้เส้นทางไปกลับ”
เมื่อได้ยินว่าพวกเขาต้องการจะสู้กับอวิ๋นจือชิว อวิ๋นเซี่ยวที่ยืนอยู่ข้างหลังอวิ๋นอ้าวเทียนก็เอียงหน้ามองอวิ๋นอ้าวเทียนแวบหนึ่ง ผลปรากฏว่ามองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ บนใบหน้าอวิ๋นอ้าวเทียน
จีฮวนโบกมือ “พูดสิ่งนี้ไปก็ไม่มีความหมาย ถ้าได้ไปพิภพใหญ่จริงๆ พวกเราก็ย่อมต้องเตรียมตัวได้อยู่แล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเหมียวอี้จะใช้มือเดียวคลุมฟ้าได้ ถ้าประกาศเรื่องไอ้จัญไรนั่นที่เดียวไม่ได้ แต่ไปประกาศที่อื่นก็น่าจะได้มั้ง? ถ้าพวกเราเจอปัญหาแล้วต้องการกลับพิภพเล็ก ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าเหมียวอี้จะกล้าไม่ให้พวกเรากลับ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเรา เขาก็อย่าหวังจะได้อยู่ดีเลย ต้องมีทางประกาศให้ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเขาสมคบคิดกับโจรกบฏ สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดในตอนนี้ก็คือ กลัวว่าเหมียวอี้จะเตรียมป้องกันจุดนี้ไว้ เตรียมวางแผนไว้ที่พิภพใหญ่นานแล้ว พอพวกเราเหยียบถึงพิภพใหญ่ ก็จะถึงเวลาตายของพวกเราทันที นี่ต่างหากที่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด อย่างอื่นเป็นเรื่องเล็กทั้งนั้น ถ้าแม้แต่ก้าวแรกก็ก้าวผ่านไปไม่ได้ งั้นตอนหลังก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว ไม่มีโอกาสให้พวกเรามากขนาดนั้นด้วย!”
ปัญหานี้เป็นเหมือนเงื่อนตาย คือจุดที่ทุกคนกังวลที่สุด กลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว!
กลับเป็นมู่ฝานจวินกับอวิ๋นอ้าวเทียนที่ไม่ค่อยกังวลเรื่องนี้สักเท่าไร
อวิ๋นอ้าวเทียนรู้ชัดอยู่แก่ใจ ถ้ามีอวิ๋นจือชิวอยู่ ไม่ว่าจะอย่างไร อวิ๋นจือชิวก็ไม่น่าจะทำให้ท่านปู่อย่างตนตายไป
มู่ฝานจวินมีไพ่อย่างเยว่เหยาไว้ในมือก็พอแล้ว แต่ความกังวลโดยจิตใต้สำนึกที่มีต่อโลกที่ไม่รู้จัก ก็ยากจะลงออกจากใจได้ มันวนเวียนอยู่ในใจตลอด แน่นอน นางกลัวอำนาจอิทธิพลของเหมียวอี้ที่พิภพใหญ่อยู่บ้าง ถ้าบอกว่าไม่กลัวเหมียวอี้เลยสักนิดก็เป็นเรื่องโกหกแล้ว
ปรึกษากันไปปรึกษากันมาก็เป็นอย่างนั้น สุดท้ายก็แยกย้ายกันแล้ว
เมื่อกลับมาถึงเรือนพักของตัวเอง ขณะที่มู่ฝานจวินกำลังครุ่นคิดเดินไปเดินมาอยู่ใต้ชายคา จู่ๆ เสียงของหงเฉินที่อยู่ไม่ไกลก็ดังขึ้น “ท่านอาจารย์ เหมียวอี้กับฮูหยินมาค่ะ”
มู่ฝานจวินที่พลันได้สติกลับมาเอียงหน้ามองไป เห็นเพียงเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวปรากฏตัวพร้อมกัน เดินเลี้ยวเข้ามาเดินบนทางเดินยาวแล้ว
ฉีกหน้ากันจนถึงที่สุดแล้ว หลังจากทั้งสองฝ่ายพบหน้ากัน สองสามีภรรยาก็ไม่เคยเรียกนางว่าท่านปราชญ์อีกเลย เพียงกุมหมัดคารวะ ไม่เรียกชื่อนางตรงๆ ก็ถือว่าเกรงใจแล้ว ก่อนหน้านี้เหมียวอี้ ใช้คำว่า ‘กู’ ต่อหน้านางด้วยซ้ำ
ทั้งสามไม่ได้ยินและไม่ได้นั่ง เพียงยืนอยู่ตรงข้ามกัน มู่ฝานจวินเอามือไขว้หลังถามว่า “มีธุระอะไร?”
ในตอนนี้ไม่มีใครมองออกว่าเหมียวอี้เพิ่งจะโดนซ้อมมายกหนึ่ง อวิ๋นจือชิวทำท่าเหมือนภรรยาที่คล้อยตามและชเอฟังสามี ส่วนเหมียวอี้ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ “สู่ขอแต่งงาน!”
“สู่ขอแต่งงาน?” มู่ฝานจวินชะงักงัน ถามอย่างงๆ ว่า “สู่ขอแต่งงานอะไร?”
เหมียวอี้เอียงหน้าเล็กน้อย มองไปยังเทพธิดาหงเฉินที่ยืนสะโอดสะองเงียบๆ อยู่ไม่ไกลจากข้างหลังนาง พยักหน้าบอกใบ้ว่าเป็นท่านนั้น
เทพธิดาหงเฉินที่สวมชุดกระโปรงสีแดงกำลังยืนพิงระเบียงอยู่ใต้ชายคา หน้างดงามตาดุจภาพวาด ยืนหันข้างเงียบๆ อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดเฉียงลงมา ดอกไม้แดงและใบไม้เขียวที่อยู่นอกระเบียงกำลังสั่นไวตามแรงลม นางไม่สะทกสะท้านกับบทสนทนาที่อยู่ทางนี้ เสมือนคนที่อยู่ในภาพวาดจริงๆ เงียบจนเหมือนถอดวิญญาณออกมา
ถ้าเปรียบความงามของฉินซีเป็นความเยือกเย็น เช่นนั้นความงามของเทพธิดาหงเฉินก็เป็นความเงียบสงบ
ความเยือกเย็นของฉินซีแทบจะเย็นชาต่อทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
แต่เทพธิดาหงเฉินกลับเป็นความเงียบที่ฝังลึกอยู่ในกระดูก เงียบสงบอ่อนโยน แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสตรีที่ทั้งภายนอกและภายในไม่แก่งแย่งแข่งขันอะไรกับใคร ถ้าไม่ใช่เพราะประสบกับเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นางก็จะอยู่ให้ห่างจากความสับสนวุ่นวายต่อไป ปล่อยให้ความเงียบวิเวกเบ่งบานอยู่ในมุมสงบส่วนตัว งดงามก็ดี อัปลักษณ์ก็ดี จะมีคนชื่นชมหรือไม่ นางไม่ได้แยแสเลยสักนิด
มู่ฝานจวินที่หันกลับมามองแวบหนึ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ลูกศิษย์คนนี้ทำให้นางวางใจที่สุด วางใจที่ลูกศิษย์คนนี้ไม่ได้มีหัวใจทะเยอทะยาน แต่ก็เป็นนิสัยที่นางรำคาญที่สุดเช่นกัน เพราะตัวนางเองเป็นคนแกร่ง ชอบแข่งขัน แต่ลูกศิษย์คนนี้กลับไม่ได้เรื่อง
ก่อหน้านี้ถึงแม้จะเงียบ แต่ก็ไม่ได้เงียบถึงขนาดนี้ มู่ฝานจวินรู้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ประสบเคราะห์ภัยจนคนทั้งครอบครัวตายหมด หงเฉินก็เปลี่ยนเป็นคนละคน ต้องเร่งถึงจะขยับ เป็นนิสัยที่ทำให้นางไม่ชอบเป็นอย่างมาก!
แต่ไม่นานมู่ฝานจวินก็ตกตะลึงมาก หันกลับมาถามเหมียวอี้ว่า “นางเหรอ?”
เหมียวอี้เอียงหน้ามองไปยังหงเฉินที่อยู่ข้างหลังนางไกลๆ อีกครั้ง “สวยมากไม่ใช่เหรอ? ข้าชอบนางตั้งนานแล้ว หวังว่าจะช่วยให้สมปรารถนา!”
สำหรับเรื่องนี้มู่ฝานจวินทำความเข้าใจได้ไม่ยาก รูปโฉมที่งดงามของลูกศิษย์ตัวเองเป็นสิ่งที่คนในใต้หล้าเห็นประจักษ์ชัดแจ้ง ผู้ชายเห็นแล้วใจสั่นก็เป็นเรื่องปกติมาก แต่ก็ยังถามอย่างแปลกใจนิดหน่อยว่า “แบบนี้ไม่เหมาะมั้ง? ลูกสาวสองคนของศิษย์พี่นางเป็นอนุภรรยาของเจ้าแล้ว ถ้าเจ้ารับนางเป็นอนุภรรยาอีก แบบนี้มันใช่เรื่องซะที่ไหน?”
“ตอนที่เจ้าให้ข้าแต่งงานกับลูกสาวของอันหรูอวี้ เคยพิจารณาบ้างรึเปล่าว่าเยว่เหยาเป็นน้องสาวข้า?” เหมียวอี้ถามกลับ
“…” มู่ฝานจวินเงียบไปชั่วขณะ แล้วเอียงหน้าช้าๆ มองไปยังอวิ๋นจือชิวที่กำลังก้มหน้าก้มตา “นางหนู เขาจะรับอนุภรรยาอีกแล้ว เขาไม่มีความเห็นอะไรเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวยิ้มบางๆ “ก่อนหน้านี้เขาขอความเห็นจากข้าแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้คัดค้าน ถึงอย่างไรถ้าในบ้านมีเพิ่มมาสักคนก็ไม่ได้เยอะขึ้น จะลดลงสักคนก็ไม่ได้น้อยลง!”
มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “เจ้านี่ใจกว้างจริงๆ เรื่องแบบนี้จะฝืนตัวเองไม่ได้เด็ดขาด ผู้ชายน่ะไม่กลัวผู้หญิงเยอะหรอก มีสามเมียสี่อนุแล้ว ก็ยังอยากจะได้สามตำหนักหกเรือนอีก เจ้าต้องพิจารณาให้ดีนะ!”
“ถ้าไม่ได้พิจารณาให้ดี ข้าก็คงไม่มาด้วยกันกับเขา ตอนนี้ก็ดูว่าเจ้าจะตอบตกลงหรือเปล่า ” อวิ๋นจือชิวตอบ
มู่ฝานจวินย้ายสายตาจากใบหน้านางไปยังเหมียวอี้ที่จ้องหงเฉินอยู่ตลอดเวลา ในใจรู้สึกสะอิดสะเอียน แต่กลับไม่ได้แสดงออกมา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็กล่าวช้าๆ ว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบ ให้ข้าไตร่ตรองสักหน่อยแล้วค่อยให้คำตอบ” คำพูดนี้นับว่าไม่ปฏิเสธแล้ว
ดังนั้นอวิ๋นจือชิวจึงมองไปที่เหมียวอี้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมเล็กน้อย “หนิวเอ้อร์ เจ้าไม่รีบหรอกใช่มั้ย?”
“เอ่อ…” เหมียวอี้รีบโบกมือ “ไม่รีบหรอกไม่รีบ ทุกอย่างตามใจฮูหยิน!” ต่อให้รีบ แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอยู่ดี ไม่อย่างนั้นกลับไปจะต้องหน้าปูดตาเขียวอีก นี่เพิ่งจะร่ายอิทธิฤทธิ์ลดบวมไปได้ไม่นานเท่าไรเอง
…………………………