กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 886
“ท่านต้องการอะไรบ้าง ไม่เช่นนั้นเขียนสิ่งที่ท่านต้องการและกระบวนการจัดทำลงไป หลังจากนี้ข้าก็จะได้ให้คน……”
ชิงเฟิงยังพูดไม่จบ เจี้ยงเสวี่ยก็ดึงแขนเสื้อของเขาอย่างแรง
ไม่รู้ว่าควรพูดถึงชิงเฟิงอย่างไร
อาวุธลับชนิดนี้มีการทำลายร้ายสูง คนทั่วไปที่ไหนจะเขียนวิธีการทำลงมาง่ายๆ
ต่อให้เขาต้องการ เขาก็ควรค่อยๆ ขอเป็นขั้นตอน หากทำเช่นนี้ ทำให้คนอื่นกลับรู้สึกรำคาญ
แม่นางมู่หน่วนสอนวิธีการทำหน้าไม้ธนูเก้าลูกให้พวกเขาก็ไม่เลวแล้ว
ชิงเฟิงเหลือบมองเจี้ยงเสวี่ยที่พยายามส่งสายตาให้เขา จากนั้นจึงรู้สึกตัวขึ้นมาได้
“ขอโทษที่ข้าพูดไป”
“ไม่เป็นไร” กู้ชูหน่วนกล่าวอย่างเรียบเฉย
สมัยโบราณไม่มีดินระเบิด แม้ว่าดินระเบิดของนางจะทำขึ้นมาอย่างรีบร้อน แต่คนทั่วไปก็ไม่สามารถต้านทานได้
ดินระเบิดไม่ได้ทำง่ายเช่นนั้น
หนึ่งคือ วัสดุในการทำนั้นหายาก
สองคือ วิธีการทำซับซ้อนหลายขั้นตอน
นางทำอยู่นาน แต่ก็ทำออกมาได้เพียงเล็กน้อย
“แม่นางมู่ ท่านหัวหน้าทั้งสอง คนของแต่ละสำนักใหญ่ต่างหนีกันไปหมดแล้ว” เหล่าทหารอารักขาต่างพากันตื่นตระหนก และเริ่มเคารพในกู้ชูหน่วนมากขึ้นเรื่อยๆ
“นักยิงธนูพร้อมซุ่มโจมตีแล้วหรือไม่?”
“นักยิงธนูซุ่มโจมตีได้เตรียมพร้อมแล้วตามคำสั่งของท่านและรอเพียงให้พวกเขาถอยหนีไป”
ประเดี๋ยวเดียว ไกลออกไปก็มีเสียงร้องดังอย่างเจ็บปวดน่าอนาถดังขึ้น
และหมอกควันเบื้องล่างของหน้าผาก็ได้จางหายไปมากแล้ว พวกเขาสามารถมองเห็นพื้นดินที่ถูกระเบิดเป็นหลุมลึกได้อย่างชัดเจน
บนพื้นเต็มไปด้วยอวัยวะร่างกายที่ฉีกขาด
แต่ละศพนั้นถูกระเบิดแยกออกเป็นชิ้นๆ และไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นใคร
ยังมีบางคนที่ยังไม่ตายและยังคร่ำครวญถึงร่างกายที่ถูกทำลาย
“รุนแรงมาก……เพียงแค่ลูกไฟขนาดเล็กเพียงเท่านั้น แต่กลับสามารถระเบิดด้วยแรงมหาศาลเช่นนี้ ” ชิงเฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ไกลออกไป ทหารอารักขาคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน สีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจและมีความสุข
“แม่นางมู่ แต่ละสำนักถูกเราซุ่มโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและล้มตายลงจำนวนมาก นอกจากไม่กี่คนที่หลบหนีไปได้ คนที่เหลือได้ถูกพวกข้าสังหารตายหมดแล้ว”
“แม่นางมู่ช่างเก่งกล้า แม่นางมู่ช่างเก่งกล้า”
บนหุบเขาหัวสุนัขล้วนดังก้องกังวานไปด้วยเสียงแห่งความสุขของทหารอารักขา
แต่กู้ชูหน่วนกลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด และบอกให้พวกเขาออกไป
ทุกคนไม่เข้าใจ
ไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะเอาชนะสำนักใหญ่ต่างๆ ได้ เหตุใดถึงต้องออกไป?
นายท่านของพวกเขาก็หายไปอย่างไร้วี่แวว หากพวกเขาแยกย้ายกันไปหมด เช่นนั้นแล้วนายท่านกลับมาควรจะทำเช่นไร?
กู้ชูหน่วนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พวกเขาโจมตีถึงสองครั้ง แต่ก็สูญเสียอย่างหนักถึงสองครั้ง คนของตระกูลใหญ่เหล่านั้นไม่มีทางนิ่งนอนใจไม่สนใจ เจ้าสำนักใหญ่ๆ เหล่านั้นก็คงไม่นิ่งเฉย รอครั้งหน้าที่พวกเขาจะบุกมาอีกครั้ง ก็คงเป็นผู้แข็งแกร่งคนสำคัญของแต่ละสำนัก……”
“กลัวอะไร เรามีดินระเบิด”
“บอกให้พวกเจ้าใช้อย่างประหยัด ใช้อย่างประหยัด เจ้าดูสิดินระเบิดยังมีอีกจำนวนเท่าไร”
“ยังมีอีกห้าลูก……”
“ห้าลูกจะไปพออะไร”
“เราทำขึ้นตอนนี้ได้หรือไม่?”
“ต้องมีองค์ประกอบครบจึงจะทำออกมาอย่างสำเร็จ ขาดไปหนึ่งสิ่ง เช่นนั้นจะทำไปเพื่ออะไร รีบเก็บของแล้วแยกย้ายกันไป จะได้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต”
“แม่นางมู่ ไม่มีวิธีต้านทานได้อีกแล้วจริงหรือ?”
“ข้าไม่ได้เป็นเทพ ต่อให้ข้าเป็นเทพ คนจำนวนมากเช่นนั้น เพียงน้ำลายของแต่ละคนก็สามารถทำให้ข้าจมน้ำตายได้”
“แต่เราถอยจนไม่รู้จะถอยอย่างไรแล้ว”
“ที่เยี่ยจิ่งหานเลือกที่นี่เป็นฐานที่มั่น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีหนทางอื่น”
ก็ไม่มีหนทางไงล่ะ……
นายท่านไม่เคยพูดไว้ว่าที่นี่ยังมีเส้นทางที่สองที่สามารถไปได้
นอกเสียจากกระโดดลงหน้าผา เพื่อออกไปจากหุบเขาแห่งนี้
แต่เส้นทางในการออกจากหุบเขานี้ได้ถูกพวกเขาปิดทางและไม่สามารถออกไปได้
“หัวหน้า เจอนายท่านแล้ว”
เยี่ยจิ่งหานกลับมาแล้ว ตอนที่กลับมานั้นได้รับบาดเจ็บไม่น้อย กู้ชูหน่วนสามารถรับรู้ได้ถึงความอ่อนล้าของลมหายใจของเขา เป็นเพียงแค่การฝืนอดทนเฮือกสุดท้ายเท่านั้น
เซี่ยวอวี่เซวียนก็ฟื้นขึ้นแล้ว อาการบาดเจ็บของเขานั้นสาหัสมาก ขาขวาของเขาถูกเหล็กขนาดใหญ่ทับ ทำให้กระดูกหักและต้องนั่งรถเข็นในขณะนี้
ร่างกายของกู้ชูหน่วนมีบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ จำนวนมาก เจ็บปวดจนนางไม่สามารถยืนขึ้นได้และทำได้เพียงนั่งลงบนรถเข็น
ผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคน ทุกคนต่างนั่งอยู่บนรถเข็นและจ้องหน้ากันไปมา
สถานการณ์เช่นนี้ บอกไม่ถูกถึงความเจ็บปวด
เกี่ยวกับการที่เยี่ยจิ่งหานและเหวินเส่าอี๋ต่อสู้กันมาแล้วกี่วันกี่คืน ผลออกมาเป็นเช่นไร ระหว่างการต่อสู้เป็นอย่างไร เยี่ยจิ่งหานไม่พูดออกมาเลยสักคำและดูเหมือนเขาไม่ต้องการพูดถึงมัน
ทุกคนก็ไม่กล้าซักไซ้
สีหน้าของเยี่ยจิ่งหานซีดเผือด แต่เขากลับพูดกับเซี่ยวอวี่เซวียนออกมาเสียงดัง “เหวินเส่าอี๋อยู่ที่นี่ ข้าจะพาเจ้ากลับรัฐเยี่ยไปก่อน”
ร่างกายของเซี่ยวอวี่เซวียนฟุบลงที่พนักแขนของรถเข็น เขาพยายามจะนั่งหลังตรงแล้วแต่ก็ไม่สามารถทำได้
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยจิ่งหาน เขาเงยหน้าขึ้นและกล่าวอย่างหนักแน่น “ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“ดวงวิญญาณของอาหน่วน ข้าจะเป็นคนรวบรวมเอง เจ้าทำลายเผ่าเพลิงฟ้า เหวินเส่าอี๋ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่”
มีหรือที่เซี่ยวอวี่เซวียนจะไม่รู้ว่าเหวินเส่าอี๋จะไม่ปล่อยเขาไปแน่
หากอยู่ที่รัฐเยี่ย เขายังสามารถคิดหาทางทำลายกองกำลังทั้งหมดของเหวินเส่าอี๋ได้อีกครั้ง
แต่ที่นี่……
ที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นกองกำลังของเหวินเส่าอี๋ทุกหนแห่ง สำหรับเขาแล้ว ถือเป็นการเสียเปรียบมากเกินไป
เมื่อก่อน……
จุดประสงค์หลักของเขาคือรวบรวมดวงวิญญาณและหาซือคงคนชั่วให้เจอเพื่อล้างแค้น แต่ตอนนี้……
เซี่ยวอวี่เซวียนมองไปยังกู้ชูหน่วน
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ผู้หญิงคนนี้ได้เดินเข้าไปในหัวใจของเขาและกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเขา
นางอยู่ที่นี่ เขาจึงไม่มีทางจากไปไหน
อีกอย่าง หากต้องกลับรัฐเยี่ยละก็ จะเดินทางไปง่ายๆ ได้อย่างไร หากเหวินเส่าอี๋ไม่ซุ่มโจมตีระหว่างทางคงแปลก
“เจ้าไม่ต้องสนใจข้า” เซี่ยวอวี่เซวียนกล่าวอย่างเย็นชา
กู้ชูหน่วนหาว ดวงตาของนางแดงก่ำ คาดว่าคงไม่ได้นอนหลับอย่างดีมาหลายวันแล้ว “พวกเจ้าปรึกษากันเสร็จหรือยัง หากยังไม่รีบตัดสินใจ แต่ละสำนักใหญ่จะบุกเข้ามาโจมตีแล้วนะ”
“แยกย้าย”
เยี่ยจิ่งหานกล่าวออกมาผ่านช่องฟัน
ทุกคนพร้อม เพียงแค่รอคำสั่งของเขา
แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ทุกคนต่างช่วยกันเข็นรถเข็นพาพวกเขาไปที่ป่าทางฝั่งตะวันตกของหุบเขาหัวสุนัข
ที่นี่ว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่สถานที่ไว้ป้องกันตัวเลยสักนิด
ทุกคนต่างรู้สึกสงสัย ไม่รู้ว่านายท่านพาพวกเขามาที่นี่ทำไม
เยี่ยจิ่งหานยกมือขึ้น จากนั้นค่ายกลโปร่งแสงก็ปรากฏขึ้น ทางเข้าของค่ายกลเหมือนกับกระแสน้ำวนและไม่มีใครสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ในกระแสน้ำวนได้
“พวกเจ้าไปก่อน ข้าจะเป็นคนรั้งท้าย” เยี่ยจิ่งหานกล่าว
“ที่นี่นำไปสู่สถานที่ใด?”
“วังหลวง”
วังหลวง?
กู้ชูหน่วนแทบจะสำลักน้ำลายของตัวเอง
เขาขุดพื้นดินไปถึงวังหลวงของรัฐปิงเลยหรือ?
เซี่ยวอวี่เซวียนก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝั่งหนึ่งของค่ายกลจะสามารถไปถึงวังหลวง
วังหลวงเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุด แต่ก็เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด
เยี่ยจิ่งหานคิดได้อย่างรอบคอบมาก
เพียงแต่ค่ายกลนี้……
กู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี่เซวียนต่างพากันจ้องมองค่ายกล
ค่ายกลนี้มีความแปลกประหลาดมาก จากความสามารถของเยี่ยจิ่งหาน เขาสามารถทำออกมาได้จริงหรือ?
ทั้งสองต่างรับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่ออกมาจากน้ำเสียงของเยี่ยจิ่งหาน
“แต่ละสำนักใหญ่ยังไม่บุกโจมตีขึ้นมา หากจะไปพวกเราก็ไปด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องรั้งท้าย หรือว่า……ค่ายกลนี้มีปัญหา?”
“ค่ายกลไม่มีปัญหา”
สายตาของเยี่ยจิ่งหานยังคงสอดส่องบริเวณโดยรอบอย่างระมัดระวัง ราวกับกำลังกลัวอะไรบางอย่าง
สามารถทำให้เขาหวาดกลัวเช่นนี้ได้ กำลังความสามารถจะต้องไม่ด้อยไปกว่าระดับหกแน่
หรือว่ากำลังหวาดกลัวเหวินเส่าอี๋?
ดูท่าทางระมัดระวังของเขา
เกรงว่าคงไม่เพียงแค่เหวินเส่าอี๋กระมัง……