บทที่ 251 ย้าย

“เจ้ายังอยากที่จะต่อต้านอีกงั้นเหรอ? เจ้าไม่มีทางเสียหรอก!”

เมื่อจางชางเห็นสีหน้าที่เย่อหยิ่งของเฉินเซี่ยงหนานแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะเย้ยหยัน หลังจากที่พูดจบจางชางก็ได้พุ่งเข้าไปหาเฉินเซี่ยงหนานเพื่อต่อยเขา

ตูม!

พลังระดับจุดสุดยอดของเทพอสูรก็ได้ระเบิดออกมารอบทิศทาง หมัดของจางชางก็ได้พุ่งไปหาเฉินเซี่ยงหนานหมายที่จะเอาชีวิตเขา และบรรยากาศในคุกนั้นก็ราวกับจะแบ่งออกเป็นสองส่วน

“เจ้า!”

เฉินเซี่ยงหนานก็ได้ตกใจ เขาไม่คาดคิดจางชางนั้นจะละเมิดกฎและฆ่าเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็ได้พลันแสดงสีหน้าตื่นตระหนกออกมา

เขารีบเข้าปะทะกับจางชางแบบซึ่งๆหน้า แต่เพราะพลังของเขานั้นยังห่างไกลกับจางชางนัก เขาจึงได้ถูกซัดโดยจางชางเข้าไปตรงๆ

เปรี้ยง!

ร่างของเฉินเซี่ยงหนานก็ได้กระเด็นลอยมาติดกำแพงคุก และตัวของเขาก็ได้แทบจะจมหายเข้าไปในกำแพง มีรอยเลือดติดอยู่ที่มุมปากของเขา แล้วเขามองไปที่จางชาง ด้วยสีหน้าที่โกรธและตกใจ

“เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ? ถ้าหากเจ้าพาพวกเขาออกไปจากอารามชิงหมิง (วิหารมรกต)โดยพลการแล้วล่ะก็ จะเป็นการละเมิดกฏของสำนักและเจ้าก็จะถูกขับไล่โดยจากคนทั้งสำนัก และถ้าหากเจ้าฆ่าข้า เจ้าก็จะตายด้วยเช่นกัน!”

เฉินเซี่ยงหนานก็ได้ขู่จางชางด้วยความโมโห และคนของเขามาคอยคุ้มกันอยู่ข้างหน้าเขาด้วย ราวกับว่าพวกเขานั้นต้องการที่จะขวางจางชางจากระยะไกลๆ

“งั้นเหรอ?  แต่น่าเสียดายนะที่เจ้าจะไม่ได้เห็นมัน!”

อย่างไรก็ดีจางชางนั้นก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร แล้วค่อยๆบุกเข้าไปหาเฉินเซี่ยงหนานด้วยใบหน้าที่เย็นยะเยือก

เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วไป๋ซี, กวนเหยา (กวนเย่า)และคนอื่นๆก็ได้พากันชักอาวุธของตัวเองออกมาแล้วพุ่งเข้าไปฆ่าเฉินเซี่ยงหนานและพรรคพวกโดยไร้ซึ่งความลังเล ในชั่วขณะนั้นเองเสียงร้องถูกฆ่าก็ได้ดังลั่นไปทั่วทั้งในคุก ทำให้คนในตระกูลไป๋และนักโทษคนอื่นๆต่างก็พากันอ้ำอึ้ง

อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ได้มองเห็นโอกาสในชั่วพริบตานี้และตะโกนเรียกไป๋ซี, กวนเหยาและคนอื่นๆทันที “ช่วยด้วย!”

“พาพวกเราออกไปที!”

“พวกเราช่วยเจ้าได้นะ!”

“ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร ช่วยพวกเราด้วย!”

แล้วในคุกนั้นก็ได้เกิดความโกลาหลไปหมด แต่สมาชิกของกองทัพอี้เหริน (กองกำลังปีกแห่งแสง)นั้นไม่ได้สนใจมากนัก ภายใต้การบังคับบัญชาของไป๋ซี พวกเขาก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถในการจัดการกับเฉินเซี่ยงหนานและพรรคพวก

แก๊งๆๆๆๆ!

เสียงของการต่อสู้ดังเข้าหูของทุกคนอย่างต่อเนื่อง และเพราะความแข็งแกร่งของเหล่ากองทัพอี้เหรินนั้นเหนือกว่าเฉินเซี่ยงหนานและพรรคพวกนัก พวกเขาทั้งหมดจึงได้ตายลงภายใต้การโจมตีของเหล่าหัวกะทิของกองทัพอี้เหริน แม้แต่ตัวเฉินเซี่ยงหนานเองก็ยังถูกฆ่าตายโดยจางชาง และไม่มีใครในคุกนี้ที่จะสามารถหยุดพวกเขาจากการช่วยตระกูลไป๋ได้เลย

“ท่านพ่อ!”

เมื่อเห็นว่าศัตรูตายหมดแล้ว ไป๋ซีก็ได้รุดไปหาไป๋จ้านอวิ๋น(ไป๋จ้านหยุน) โดยไม่ต้องพูดอะไรเขาก็ได้ปลดโซ่และพาไป๋จ้านอวิ๋นออกมา

“เจ้าไม่ควรมาที่นี่!”

เมื่อเห็นลูกของเขาที่ไม่ได้พบหน้ากันเป็นเวลานานแล้ว ไป๋จ้านอวิ๋นก็ทั้งดีใจและเป็นกังวล แล้วสุดท้ายเขาก็ได้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

ไป๋จงผู (จงหยู), ซูเหลียนหยูและสมาชิกคนอื่นๆของตระกูลไป๋ เช่นเดียวกันกับเค่อชิง ต่างก็ได้รับอิสระคืนกลับมาจากการช่วยเหลือของกองทัพอี้เหริน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต่างก็ได้รับบาดเจ็บ แต่สีหน้าของทุกคนต่างก็แสดงออกถึงความตื่นเต้นและขอบคุณกองทัพอี้เหรินที่มาช่วยเหลือพวกเขา

“จงผู ข้าผิดต่อเจ้าแล้ว!”

ไป๋ซีก็ได้แบกไป๋จ้านอวิ๋นเอาไว้บนหลัง ก่อนจะหันมามองไป๋จงผูที่เพิ่งได้รับอิสรภาพ ด้วยความรู้สึกผิดในดวงตาของเขา

“พี่ใหญ่ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น พวกเราหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน!”

ซึ่งไป๋จงผูเองก็ไม่ได้คิดที่จะโทษเขาเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่ลังเลอยู่สักพัก เขาก็ได้บอกให้ไป๋ซีพาทุกคนออกไปทันที

“ไอ้เด็กเวร! ไป๋จงผูข้าเป็นพ่อของเจ้านะ! ทำไมเจ้าถึงไม่มาช่วยข้า”

“นายน้อยทั้งสอง ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย!”

“พวกเราผิดไปแล้ว เห็นแก่พวกเราที่เป็นตระกูลไป๋เหมือนกัน ช่วยพวกเราด้วยเถอะ!”

ไป๋หลินเฟิงและคนอื่นๆที่ยังถูกขังอยู่ในคุกนั้น ต่างก็ได้รีบตะโกนเรียกไป๋จงผูและไป๋ซีเมื่อพวกเขาเห็นว่าไป๋จงผูนั้นไม่คิดที่จะพาพวกเขาออกไปด้วยแล้ว

เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ไป๋ซีก็ได้พูดกับไป๋จงผู “จงผู อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังเป็นคนของตระกูลไป๋ มันคงไม่เป็นปัญหาอะไรที่จะช่วยพวกเขาออกไปหรอก”

ถึงแม้ว่าไป๋ซีนั้นจะรู้ดีว่าไป๋หลินเฟิงนั้นทรยศตระกูลไป๋ก็ตามที แต่เขาก็ยังเห็นว่าไป๋หลินเฟิงนั้นเป็นพ่อของไป๋จงผู เขาจึงไม่อาจที่จะปล่อยพวกเขาทิ้งเอาไว้ได้

แต่ทว่าไป๋จงผูกลับส่ายหัวของเขาและตอบไป๋ซีอย่างจริงจัง “พี่ใหญ่ ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะไป๋หลินเฟิงหรอกเหรอ? ที่ทำให้ตระกูลไป๋ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ นี่เป็นการลงโทษที่พวกเขาสมควรได้รับแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อไม่ให้ตระกูลไป๋ต้องเผชิญกับหายนะเหมือนในครั้งนี้ จะต้องไม่มีตัวปัญหาใดๆในกระบวนการจุติใหม่ ดังนั้นพี่ใหญ่ก็แค่ทำเป็นว่าไม่เห็นพวกเขาก็พอ”

หลังจากที่พูดจบ ไป๋จงผูก็ได้นำทางพาตระกูลไป๋หนีออกไปจากคุก และได้คิดที่จะพาพวกเขาหนีไปให้ไกลจากอารามชิงหมิงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วไป๋ซีก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมา จากนั้นโดยที่ไม่พูดอะไรต่อ เขาก็ได้พากองทัพอี้เหรินพร้อมด้วยไป๋จ้านอวิ๋นบนหลังและมุ่งหน้าไปยังประตูอารามชิงหมิง

นำโดยจางชางและกวนเหยา ผู้คนต่างก็พากันวิ่งไปตามทาง โดยไม่มีการขัดขวางเลยตลอดทาง แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจะออกไปจากอารามชิงหมิงนั้นเอง จู่ๆก็มีแสงสว่างสาดส่องไปทั่วทั้งภูเขา

แล้วก็ได้มีม่านพลังงานรูปครึ่งวงกลมปรากฏขึ้นมาล้อมรอบอารามชิงหมิงเอาไว้ และได้ปิดทางหนีของตระกูลไป๋ และจากเดิมทีที่เป็นที่โล่งๆ ก็ได้มีคนของอารามชิงหมิงออกมาล้อมพวกเขาอย่างหนาแน่น

“หึ! พวกเจ้าคิดจริงๆเหรอว่าอารามชิงหมิงนั้นเป็นสถานที่ให้พวกเจ้าสามารถเข้ามาและกลับออกไปได้ตามใจน่ะ?”

ในขณะที่ถูกล้อมรอบโดยเหล่าศิษย์ของอารามชิงหมิงอยู่นั้นเอง ก็ได้มีชายชราในชุดสีเขียวเข้มก็ได้ปรากฏตัวออกมาท่ามกลางผู้คน

ตัวเขานั้นดูดีใจมาก ผมของเขาก็เป็นสีดำและเงางามและยังดูไม่มีสิ่งบ่งบอกถึงความมีอายุเลยอีกด้วย ชายผู้นี้คือเหยียนซ่งเจ้าสำนักอารามชิงหมิง เขามองไปที่คนของสกุลไป๋ด้วยดวงตาที่เยือกเย็นของเขา ทันทีที่เขาปรากฏตัวออกมา เขาก็ได้ปลดปล่อยพลังคุกคามระดับราชันย์เทพออกมาทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง

“มันจบแล้ว!”

จางชางที่ระวังตัวอยู่ตลอดนั้น เมื่อเห็นดวงตาของเหยียนซ่งแล้วก็ได้พลันมีสีหน้าที่แสดงถึงความหดหู่อย่างสุดๆออกมาทันที พร้อมด้วยความสิ้นหวังในดวงตาของเขา

แต่ไป๋ซีก็ไม่ได้ยอมง่าย เขาได้ใช้กระบี่แทงไปที่ม่านพลังที่อยู่ใกล้ตัวเขาที่สุดทันที

โหว่ม!

แต่ทว่าม่านพลังภูผาที่ปกคลุมอารามชิงหมิงนั้นแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้ การโจมตีของไป๋ซีนั้นได้ถูกสะท้อนกลับมาด้วยม่านพลังภูผาในทันที แต่มันก็ได้หายไปทันทีหลังจากที่มีการกระเพื่อมที่พื้นผิวของม่านพลัง

เมื่อเห็นเช่นนี้เหล่าคนของกองทัพอี้เหรินนั้นต่างก็มีสีหน้าไม่ดีอย่างสุดๆ และได้ล้มเลิกความคิดที่จะต่อต้านและสายตาก็ได้จับจ้องไปที่ไป๋ซี

“เจ้าคิดที่จะทำอะไรน่ะ? ถ้าหากเจ้ากล้าทำอะไรกับกองทัพอี้เหรินของเรา ท่านประมุขหอจะต้องเผาอารามชิงหมิงของเจ้าราบเป็นหน้ากลองอย่างแน่นอน!”

ไป๋ซีก็ได้กัดฟันและปล่อยไป๋จ้านอวิ๋นลงมาจากหลังของเขาแล้วส่งให้ไป๋จงผูช่วยประคองเขา แล้วเขาก็ได้เดินออกมาข้างหน้าและถามเหยียนซ่งด้วยสีหน้าที่จริงจัง

ถึงแม้ว่าพลังคุกคามในระดับราชันย์เทพของเหยียนซ่งนั้นจะทำให้พวกเขารู้สึกกดดันอย่างมาก และทำให้เหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผาก แต่เพราะเหยียนซ่งนั้นไม่ได้พุ่งเป้าพลังของเขาไปที่คนคนเดียว ไป๋ซีจึงยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นอิสระ

“อ้อ? เจ้าคือหัวหน้าของกองทัพอี้เหรินพวกนี้เหรอ? ดีๆ!”

เมื่อเหยียนซ่งเห็นไป๋ซีเดินออกมาข้างหน้า เขาก็ได้รู้สึกตกใจนิดหน่อยในความเยาว์วัยของเขา แต่เมื่อเขาเห็นไป๋จ้านอวิ๋นที่อยู่บนหลังของเขาเมื่อสักครู่แล้ว เหยียนซ่งก็พอจะเดาตัวตนของไป๋ซีได้

“เหตุผลที่ว่าทำไมข้าถึงได้มอบหน้าที่การสอบปากคำให้เฉินเซี่ยงหนานและยังลดการป้องกันในคุกลงก็เพื่อล่อให้เจ้าออกมาช่วยคนของตระกูลไป๋ แต่ก็ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเอาของขวัญชั้นเยี่ยมมาให้ข้านอกจากตัวเจ้าเช่นนี้ และของขวัญนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ข้ารู้ว่าใครกันที่เป็นคนทรยศในอารามชิงหมิงแล้ว แต่ยังพาคนของกองทัพอี้เหรินตั้งมากมายมาติดตาข่ายอีกด้วย ดูเหมือนว่าตระกูลไป๋ของเจ้าจะมีชะตากรรมที่ต้องกลายเป็นหินเหยียบให้อารามชิงหมิงของเรารุ่งเรืองจริงๆ!”

เหยียนซ่งก็ได้เมินคำขู่ของไป๋ซี เพราะถึงแม้ว่าประมุขหอของหอวิถีสวรรค์นั้นจะเก่งกาจ แต่เหยียนซ่งก็ไม่เชื่อว่าตัวเขานั้นจะกล้าโผล่หัวออกมาง่ายๆในขณะที่ทัณฑ์สวรรค์กำลังพิโรธอยู่เช่นนี้

แล้วเขาก็ได้สั่งให้ลูกศิษย์ของอารามชิงหมิงพากันล้อมตระกูลไป๋เอาไว้และยังไม่ได้สั่งให้ฆ่าพวกเขาทันที แต่ให้จับพวกเขาทั้งหมดเอาไว้อีกครั้ง แล้วค่อยย้ายคนพวกนี้ทั้งหมดไปยังสำนักยุทธ์หงส์เพลิงตอนเช้าตรู่เพื่อให้จี้เชียนเหยี่ยติดหนี้บุญคุณ

แล้วหลังจากที่พวกเขายอมเข้าร่วมกับสำนักยุทธ์หงส์เพลิงแล้ว อารามชิงหมิงก็จะไม่หายไปเหมือนกับสำนักวิถีสวรรค์และสำนักเมฆาคราม แต่เพราะว่าสำนักนั้นได้สูญเสียลูกศิษย์ไปมากมายในการต่อสู้ ทำให้ความแข็งแกร่งนั้นลดลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว ในเวลานี้ช่องว่างระหว่าง 4 สำนักใหญ่อย่างอารามชิงหมิงกับสำนักยุทธ์หงส์เพลิงและสำนักไร้ตัวตนนั้นต่างกันอย่างชัดเจน ถ้าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็เกรงว่าในอนาคตพวกเขาคงได้หลอมรวมไปเข้ากับสำนักยุทธ์หงส์เพลิงและสำนักไร้ตัวตนเป็นแน่

และเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ เหยียนซ่งก็ได้มองหาโอกาสที่จะตีสนิทกับสำนักยุทธ์หงส์เพลิง เพื่อหวังว่าอารามชิงหมิงนั้นจะสามารถกลับมาเข้มแข็งได้เหมือนสำนักไร้ตัวตน ในเวลานี้โอกาสที่เหยียนซ่งเฝ้ารอก็ได้มาถึง เขาจึงได้ตัดสินใจที่จะส่งไป๋ซีและพรรคพวกทั้งหมดไปให้สำนักยุทธ์หงส์เพลิงเพื่อเอาใจจี๋เชียนเหยี่ย (จี๋เฉียนเยว่)

แต่ทว่าไป๋หลินเฟิงกับพรรคพวกที่ไม่มีค่าอะไรสำหรับอารามชิงหมิงนั้นก็จะต้องโดนประหารภายใต้คำสั่งของเหยียนซ่ง แล้วเลือดสีแดงก็ได้ย้อมพื้นคุก ทำให้ตระกูลไป๋นั้นพากันท้อแท้และหมดหวัง ส่วนเด็กในตระกูลไป๋ที่จิตใจยังบอบบางนั้นก็ได้ร้องไห้ออกมาอย่างอดไม่ได้

แม้แต่ไป๋ซีที่เต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจโดยตลอดนั้นก็ยังรู้สึกเสียใจและตำหนิตัวเอง ราวกับหมดหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ

“ข้าขอโทษด้วยท่านพ่อ! มันเป็นความผิดของข้าเองที่ทำให้ตระกูลไป๋ต้องตกลงมาถึงจุดนี้!”

ไป๋ซีที่อยู่ในคุกก็ได้คุกเข่าให้กับไป๋จ้านอวิ๋นและขอโทษด้วยความรู้สึกผิดอย่างมาก

ส่วนคนอื่นๆของตระกูลไป๋นั้นต่างก็พากันเบือนหน้าหนีและมีความรู้สึกยุ่งยากใจในดวงตาที่ว่างเปล่าของพวกเขา

ถึงแม้ว่าไป๋ซีนั้นจะเป็นอัจฉริยะที่หลายทศวรรษจะมีสักคนและเป็นความหวังของการรุ่งโรจน์ของตระกูลไป๋ แต่มันก็เป็นความจริงที่ว่าหากเขาไม่พยายามที่จะเข้าร่วมกองทัพอี้เหรินแล้ว ก็คงทำให้ตระกูลไป๋ไม่ต้องตกลงมาถึงจุดนี้

แม้แต่เด็กไร้เดียงสาของตระกูลไป๋ก็ยังต้องมาเข้าร่วมกับเรื่องนี้ทำให้มีบางคนรู้สึกขุ่นเคืองเขา แต่พวกเขาก็ไม่อาจพูดออกไปเมื่อนึกถึงสิ่งที่ไป๋ซีได้ทำให้กับตระกูลไป๋ แต่ทว่าในเวลานี้ตระกูลไป๋นั้นเกือบจะต้องสูญสิ้นอยู่แล้วนั้น ทำให้คนในตระกูลไป๋ทั้งหมดไม่อาจที่จะมองเห็นแสงแห่งความหวังได้ในอนาคตแล้ว มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกที่สิ้นหวังนี้ได้

“ลุกขึ้นเถิด! พวกเราสกุลไป๋ต่อให้ต้องตาย ก็ควรที่จะยืดอกรับอย่างลูกผู้ชายอกสามศอก ไม่ใช่มาร้องห่มร้องไห้อย่างเจ้า!”

แต่ทว่าไป๋จ้านอวิ๋นนั้นก็ไม่ได้นึกโทษไป๋ซีเลย ซึ่งในชั่วขณะที่ไป๋ซีนั้นคุกเข่าลงมา เขาจึงได้ตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ดังลั่น

“ในตอนนี้ มันไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดพร่ำไปมากกว่านี้แล้ว! ถ้าหากเจ้ารู้สึกผิดจริงๆ ก็ต้องคิดหาทางพาพวกเราออกไปจากกับดักนี้ให้ได้! ข้าจะไม่อนุญาตให้เจ้ายอมแพ้จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย!”

แม้ว่าตระกูลไป๋จะเผชิญกับความยากลำบากใหญ่หลวงในครั้งนี้เพราะไป๋ซี แต่ท่าทีของไป๋จ้านอวิ๋นที่มีต่อไป๋ซีนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ไม่ใช่แค่เพียงเพราะไป๋ซีนั้นเป็นลูกชายที่เขาตั้งความหวังเอาไว้สูง แต่ยังเป็นเพราะไป๋ซีนั้นคือเสาหลักของตระกูลไป๋ทั้งหมดในเวลานี้ ถ้าหากไป๋ซีนั้นล้มลงเมื่อไรเมื่อนั้นตระกูลไป๋ถึงจะสิ้นหวังจริงๆแล้ว

………………