บทที่ 189
การสอบของหลงอี้
หลงอี้มองไปที่ดราก้อนมาสเตอร์ที่ยังนั่งอ่านข้อมูลอยู่และหัวใจของเขาก็เอาแต่เต้นรัว มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะรอดจากช่วงเวลานี้ไปได้ยังไง ดราก้อนมาสเตอร์เพิ่งเข้าสู่ช่วง “วัยทอง” อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาอารมณ์ไม่ดีเกือบจะเหมือนหัวใจได้สูญหายไป เขาเพียงแค่ยังหายใจอยู่แต่สีหน้ากลับไร้อารมณ์ราวกับเมื่อก่อน
เขาควรที่จะบอกดราก้อนมาสเตอร์เรื่องที่มู่หรงเสวี่ยมาร่วมสอบด้วยดีหรือเปล่า?! เขายังคงคิดเรื่องนี้อยู่
หลังจากเวลาผ่านไปนาน หลงอี้ก็ตัดสินใจที่จะไม่บอกเรื่องนี้ พูดไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เขาหวังให้ดราก้อนมาสเตอร์ได้เจอมู่หรงเสวี่ยและยกโทษให้เขาเรื่องที่ละเมิดกฎ พวกพนักงานก็อยากที่จะสนุกเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?!!
การประเมินของหลงอี้ไม่ใช่ชุดข้อสอบแต่เป็นการตรวจเพียงครั้งเดียวในห้อง เธอไม่รู้ว่าการประเมินคืออะไร คนที่เข้าไปต่างก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ หลังจากที่พวกเขาเดินออกมาพวกเขาก็ถูกปฏิเสธ นอกจากนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะถูกพาไปที่อื่นโดยคนจากที่ฐานด้วย เธอนึกถึงการลงโทษที่พี่ใหญ่พูดถึงแล้วเธอก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร
อีกอย่างมันดูเหมือนว่าการประเมินจะไม่ใช่การประเมินทั่วไป เดาว่ามันต้องยากมากแน่ๆ มือของมู่หรงเสวี่ยที่กำลังถือกล่องเข็มทองก็อดไม่ได้ที่จะกำแน่นขึ้น ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร เธอก็จะไม่ถอยหลังกลับ
หลายชั่วโมงต่อมา และเท้าของมู่หรงเสวี่ยก็เริ่มที่จะชา อย่างไรก็ตามไม่มีใครกล้าที่จะบ่นอะไรและแม้ว่าทางเดินจากว่างเปล่า มีเพียงหมอมังกรไม่กี่คนที่กำลังพูดคุยและเขียนอะไรที่กระดาษ มันเงียบอย่างมากจริงๆ
“มู่หรงเสวี่ย!”
ในที่สุดก้ถึงตาเธอ มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นพร้อมกับกล่องที่อยู่ในมือและเดินเข้าไปข้างใน ในห้องมีหมอมังกรในชุดเสื้อโค้ตขาวอยู่หลายคน พวกเขาต่างมองมาที่เธออย่างเย็นชา ดูเหมือนพวกเขาจะมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า พวกเขาเห็นสีหน้าซีดเผือดของเธอได้อย่างชัดเจนและหนึ่งหรือสองคนในพวกเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าเธอยังเด็กจนดึงดูดความสนใจของคนอื่นได้ง่ายๆ แต่เธอก็ยังยืดหน้าอกและพูดออกไปพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ฉันชื่อมู่หรงเสวี่ย มาเพื่อการสอบค่ะ!”
“ในมือนั่นกล่องอะไร?” หมอมังกรหนึ่งในพวกเขาที่ดูจะเด็กที่สุด น่าจะอายุประมาณ 30 ถามออกมา เธอมองไปที่เขาและเห็นว่าเขามีป้ายคลาส-เอติดอยู่ที่หน้าอกซึ่งดูเหมือนจะเป็นหมอมังกรสูงสุดในทีมแพทย์มังกร
“นี่เป็นเข็มทองคำสำหรับการฝังเข็มค่ะ!” มู่หรงเสวี่ยตอบออกไปอย่างสบายๆ
“เปิดออกให้ดูที!” หมอมังกรมองไปที่กล่องของเธอและพูดออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่หรงเสวี่ยก็วางกล่องลงที่โต๊ะแล้วกดไปที่ปุ่มเพื่อเปิดกล่อง ในกล่องมีเข็มหลายขนาด ทั้งใหญ่และเล็ก สั้นและยาวซึ่งถูกจัดเรียงไว้อย่างเรียบร้อยตามลำดับอยู่ในกล่อง ดูแล้วสวยงามอย่างมาก
หมอมังกรสองสามคนเดินเข้ามา มือที่สวมถุงมือของพวกเขาค่อยๆหยิบเข็มทองคำขึ้นมามองดูอย่างระวัง ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็ต่างก็แสดงสายตาพึงพอใจ หมอมังกรพูดออกมา “เธอทำเข็มทองคำได้ดีมาก! แต่การประเมินวันนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เข็มทองคำ”
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้คิดว่าจะต้องใช้ เธอแค่เอามาเผื่อไว้เฉยๆ “การประเมินคืออะไรคะ?”
หลังจากที่ได้เห็นเข็มทองคำ หมอมังกรหลายคนก็ดูเหมือนจะมีท่าทีที่ดีขึ้น หนึ่งในพวกเขาซึ่งแก่อยู่สักหน่อยพูดออกมา “การประเมินคือการล้างพิษ”
“การล้างพิษเหรอคะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม เธอคิดว่าการทดสอบจะเป็นเคสต่างๆ ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้
“งั้นมานี่ ในนี้มีหนูที่เพิ่งกินยาพิษเข้าไป เธอต้องบอกวิธีการล้างพิษให้ฉันฟังภายในครึ่งชั่วโมง รวมทั้งสูตรยาที่เหมาะสมแต่ละตัวด้วย…”
มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไปและเห็นว่าพวกหนูในกรงมีตาสีแดงและต่างก็วิ่งกระแทกกรงกันอย่างสนุกสนาน อาการแบบนี้
ไม่ต้องฉลาดมากก็รู้ เธอรู้สึกเหมือนกำลังโกง หนูพวกนี้มีอาการคล้ายๆกับอาการของรุ่นพี่หยางก่อนหน้านี้อยู่หน่อยๆ แต่เธอก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเพราะคนกับหนูแตกต่างกันสิ้นเชิง เธอคาดเดาทั่วไปเอาไว้แล้ว “ฉันทำให้มันสงบได้ไหมคะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“ได้ แค่อย่าฆ่ามัน” หมอมังกรหลายคนดูเหมือนจะอดทนอย่างมาก พวกเขาแตกต่างจากที่มู่หรงเสวี่ยคิดไว้ก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เธอคิดว่าหมอมังกรพวกนี้จะต้องเย็นชาและห่างเหินแต่ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะคุยด้วยดีขนาดนี้
อันที่จริงสิ่งที่เธอไม่รู้คือหลงอี้ได้เข้ามาทักทายพวกเขาแล้ว เขาสั่งให้ทำตัวดีๆกับเด็กสาวที่ชื่อมู่หรงเสวี่ย ถ้าเธอไม่ผ่าน “การทดสอบ” เขาจะลงโทษพวกเขา หลังจากนี้ถ้าพวกเขาทำให้ ดราก้อนมาสเตอร์โกรธ หลงอี้จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่
มู่หรงเสวี่ยหยิบเข็มทองคำออกมา เล็งไปที่จุดฝังเข็มของหนูและปักลงไป ในวินาทีต่อมาหนูก็หยุด มู่หรงเสวี่ยหยิบถุงมือแพทย์แบบพิเศษออกมาและสวมไว้ก่อนที่จะเปิดกรง แล้วค่อยๆเช็กอาการของหนูขาว
ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีกว่าที่มู่หรงเสวี่ยจะตรวจสอบหนูเสร็จ แล้วเธอก็วางหนูกลับเข้าไปในกรง ปิดประตูกรงแล้วก้ถอดถุงมือออกพร้อมทั้งโยนมันเข้าไปในถังขยะ แล้วเธอก็มองมาที่หมอมังกร
“ฉันแก้ได้แล้ว” มู่หรงเสวี่ยพูด
“อะไรนะ?!! เธอพูดว่าไงนะ? เธอรู้ว่าจะล้างพิษมันยังไงแล้วงั้นเหรอ?”
“ไม่ต้องทำเป็นพูดอวดเก่งเพื่อที่จะให้ผ่านการทดสอบหรอก นี่ไม่ใช่ยาพิษธรรมดาๆ…” ในการประเมินนี้ พวกเขาไม่ได้อยากให้พวกเขาถอนพิษ แต่อยากน้อยพวกเขาต้องมีความเห็นและแผนการเพื่อให้พวกเขาเห็นความเป็นไปได้ ถึงแม้พวกเขาจะผ่านการทดสอบ แต่มันก็น่าเสียดายที่หลายคนตรงหน้าต้องให้พวกเขาตก พวกเขาคิดแผนการอะไรไม่ได้เลย พวกเขาเสียเวลาไปหลายชั่วโมงโดยไม่ได้อะไรเลยหรือไม่เห็นอะไรเลย อย่างไรก็ตาม มู่หรงเสวี่ยบอกว่าเธอสามารถแก้ปัญหานี้ได้หลังจากเวลาแค่ 10 นาที แล้วทำไมถึงจะไม่ทำให้พวกเขาแปลกใจล่ะ? ขนาดพวกเขาก็ยังแก้ไม่ได้เลย พวกเขาทำได้เพียงควบคุมมันเท่านั้น
มู่หรงเสวี่ยคิดถึงเรื่องนี้และตัดสินใจที่จะบอกความจริง เธอรู้สึกว่าการประเมินครั้งนี้เหมือนกำลังหลอกเธออยู่ “อันที่จริง ฉันรู้ว่ายาพิษนี่คืออะไร และฉันก็รู้วิธีถอนยาพิษนี้ด้วย งั้นการประเมินครั้งนี้อาจจะไม่ยุติธรรมกับคนอื่น…” เธออยากที่จะใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อที่จะเข้ามาที่ดราก้อนพาวิลเลี่ยน มากกว่าการฉวยโอกาสแบบนี้
“เธอรู้จักยาพิษงั้นเหรอ?” ในตอนนี้ หลายคนที่อยู่ในห้องต่างก็มายืนล้อมรอบมู่หรงเสวี่ยและพูดออกมาพร้อมสายตาที่คาดหวัง
มู่หรงเสวี่ยเห็นความกระตือรือร้นเล็กๆที่เธอสังเกตได้ แล้วเธอก็ค่อยตอบออกไป “นี่พิษนี้เรียกว่ายากลืนวิญญาณ เป็นหนึ่งในยาต้องห้าม มันอันตรายอย่างมาก สมุนไพรที่จำเป็นในการล้างพิษก็พิเศษมากเช่นกัน…”
หมอมังกรหลายคนมองหน้ากันด้วยสายตาจริงจัง “พูดถึงวิธีแก้และสมุนไพรที่จำเป็นมา…”
มู่หรงเสวี่ยเริ่มอธิบายถึงการถอนพิษยากลืนวิญญาณและวิธีแก้อย่างช้าๆ หลายคนที่อยู่ในห้องคุยถึงเรื่องนี้กันหลายชั่วโมงโดยไม่หยุด หมอมังกรหลายคนค่อยๆปฏิบัติกับมู่หรงเสวี่ยเหมือนกับเป็นเพื่อนของพวกเขาและถึงขนาดขอคำแนะนำจาก มู่หรงเสวี่ยถึงเรื่องที่พวกเขายังสงสัยอีกด้วย
จนกระทั่งคนด้านนอกต่างก็ประหลาดใจและพวกคนที่ไม่อยากรอการประเมินต่างก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เพราะคนก่อนหน้านี้ที่เข้าไปและประมาณครึ่งชั่วโมงก็ออกกันมาแล้วแต่หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยเข้าไป นี่ก็เกือบสองชั่วโมงแล้วแต่พวกเขาก็ยังไม่ออกมา หมอมังกรหลายคนที่นั่งอยู่ข้างนอกก็เลือกที่จะเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เหลือเพียงทหารยามไม่กี่คนที่เฝ้าอยู่ข้างนอก เป็นผลให้หมอมังกรทั้งหมดต่างก็เข้าไปมีส่วนร่วมในการสนทนาด้วย ในบางครั้งก็จะมีเสียงอุทานออกมาจากในห้องซึ่งทำให้คนภายนอกรู้สึกทะแม่งๆ พวกหมอที่นั่งรออยู่ก็เริ่มที่จะพูดคุยกันด้วยเสียงเบาแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปนี่ก็สี่ชั่วโมงแล้วหลังจากที่ มู่หรงเสวี่ยเข้าไป แม้แต่ทหารยามที่อยู่ด้านนอกก็ยังมองอย่างประหลาดใจ อย่างไรก็ตามไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปรบกวนหมอมังกร พวกเขาต่างก็ยังรออยู่ด้านนอกอย่างสงบ แต่พวกคนที่กำลังรอเพื่อการประเมินต่างก็นั่งกันไม่ติด ยังไงซะพวกเขาก็ยังต้องประเมินและท้องฟ้าก็เริ่มที่จะมืดแล้วด้วย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเริ่มที่จะกังวลกันบ้างแล้ว และถึงขนาดที่บางคนเริ่มที่จะลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมา พร้อมทั้งมองไปที่ห้องที่ปิดอยู่เรื่อยๆด้วย
สุดท้ายก็เป็นมู่หรงเสวี่ยเองที่เตือนหมอมังกรว่าเธอยังคงอยู่ในการประเมิน นั่นทำให้หมอมังกรรู้ตัว มีเพียงตอนที่เขาได้ มู่หรงเสวี่ยมาเท่านั้นที่จะทำให้เขายิ้มได้ ไม่สงสัยเลยว่า มู่หรงเสวี่ยผ่านการประเมินแล้วและได้กลายเป็นสมาชิกของหมอมังกรแล้ว แม้แต่หมอมังกรเองก็มีภารกิจที่จะต้องทำให้สำเร็จแต่ไม่อันตรายเหมือนกับแผนกอื่นๆ ถ้าพูดส่วนมากมันจะเป็นการช่วยคนซะมากกว่า
มู่หรงเสวี่ยถูกแต่งตั้งพร้อมติดป้ายหมอมังกรในทันที เมื่อเธอเดินออกมา หมอมังกรหลายคนก็เดินมากับเธอด้วยเพื่อพาเธอเดินออกไปด้วยกันซึ่งสร้างความประหลาดใจให้เหล่าคนที่กำลังรออยู่ด้านนอกเป็นอย่างมาก
ตอนนี้มู่หรงเสวี่ยมีคุณสมบัติที่จะเข้าและออกจากฐานได้อย่างอิสระแล้ว เมื่อมีป้ายหมอมังกรของเธอ เธอก็สามารถที่เข้าหรือออกฐานได้แล้ว แน่นอนว่าตอนที่เข้าหรือออกเธอจะต้องถูกตรวจด้วย
เมื่อพี่ใหญ่เห็นมู่หรงเสวี่ย เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า “เธอโอเคไหม?” เขาเกือบจะทนไม่ได้จนอยากที่จะเข้าไปดูเพราะมู่หรงเสวี่ยเข้าไปนานเกินไปแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นเธอออกมางั้นเธอน่าจะปลอดภัย
“ฉันไม่เป็นไร เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าฉันต้องสอบผ่าน” มู่หรงเสวี่ยชี้ไปที่ป้ายที่ปกเสื้อของเธอ
“ยินดีด้วยนะน้องหก!” พี่ใหญ่เองก็ยิ้มกว้างและสุดท้ายเขาก็สบายใจได้แล้วซะที
มู่หรงเสวี่ยเดินออกมาข้างนอกและพูดว่า “พวกนั้นจะกลับมากันเมื่อไร ฉันอยากจะชวนพวกนายออกไปเลี้ยงมื้อใหญ่…”
“ไม่ต้องหรอก เธอทำอาหารให้พวกเรากินดีกว่า…” พี่ใหญ่พูดพร้อมรอยยิ้ม เขาชอบฝีมือการทำอาหารของน้องหก เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่ผักในบ้านของน้องหกก็ยังอร่อยกว่าพวกร้านข้างนอกอีก ถ้าพวกเขาไม่อายที่ต้องไปรบกวนบ่อยๆ พวกเขาก็คงอยากที่จะไปบ้านน้องหกทุกวันแน่ๆ อาหารข้างนอกไม่ค่อยอร่อยเท่าไร
“งั้นจะมากินบ่อยแค่ไหนก็ได้เลยนะ…”
“…”