บทที่ 222 ความอัศจรรย์ในประวัติศาสตร์การแพทย์(2)
ในตอนนั้นเอง เซียวฉางควนก็สัมผัสได้ว่าร่างกายตนเองเปลี่ยนแปลงไปจนน่าตกใจ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความแปลกใจ
เขายังจำได้รางๆ ว่า ตนเองถูกรถชนไม่ใช่หรือ ถูกชนจนขยับตัวไม่ได้ไม่ใช่หรือ?
แต่ตอนนี้ ทำไมถึงรู้สึกดี ราวกับเรื่องนั้นมันไม่เคยเกิดขึ้นอย่างนั้นแหละ? ของร่างกายตนเอง รู้สึกดีอย่างมาก ดีกว่าก่อนได้รับอุบัติเหตุเสียอีก!
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
พอคิดถึงจุดนี้ เซียวฉางควนก็ฉงนใจขึ้นบัดดล
เขาอดที่จะถามไปยังเซียวชูหรันไม่ได้ว่า “หรันหรัน พ่อ….พ่อเป็นอะไรไปลูก?”
เซียวชูหรันก็ตั้งสติขึ้นมาได้ แล้วก็พูดทั้งร้องไห้ว่า “พ่อคะ พ่อถูกรถชน แล้วเกือบจะเป็นอัมพาต โชคดีที่หมอเทพซือช่วยไว้”
พูดจบ เธอก็เดินไปตรงหน้าของซือเทียนฉี แล้วพูดอย่างซาบซึ้งว่า “หมอเทพซือ ขอบคุณคุณมากจริงๆ ค่ะ ถ้าไม่ได้คุณ พ่อของฉันก็คงแย่แน่ๆ”
พูดจบ ใบหน้าเธอก็จริงจัง จะทำท่าก้มหัวคำนับให้กับซือเทียนฉี
ซือเทียนฉีก็รีบพยุงเธอไว้ จริงๆ แล้วเขาอยากจะบอกว่า ควรไปขอบคุณอาจารย์เย่มากกว่า ถ้าไม่ได้ยาของอาจารย์เย่ ตนเองก็ไม่อาจจะรักษาพ่อของเธอได้ ถึงขั้นหายเป็นปกติ ทั้งหมดเป็นเพราะฤทธิ์ยาของอาจารย์เย่
แต่ว่า พอนึกถึงที่เย่เฉินไม่อยากเปิดเผยความสามารถของตนเอง ซือเทียนฉีก็เลยได้แต่ยอมทนพูดออกไปว่า “นายหญิงเย่ แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น คุณไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้”
ถ้าไม่ได้ยาเม็ดนี้ของอาจารย์เย่ ต่อให้เขาเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนจีน ก็ไม่อาจจะรักษาอาการอัมพาตเช่นนี้ได้
หมอเจ้าของไข้ก็ตกใจนิ่งไป เขามองซือเทียนฉี แล้วพูดอย่างตัวสั่นว่า “หมอเทพซือ คุณได้สร้างปาฏิหาริย์ ให้กับวงการ การแพทย์ระดับโลกเลยนะครับ!เพียงแค่ยาของคุณเมื่อครู่นี้ คุณก็สามารถรับรางวัลโนเบลได้เลยนะครับ!นี่มันเป็นเรื่องที่สามารถ เหลือมนุษยชาติได้เลยนะครับ!”
ซือเทียนฉียิ้มแหยๆ พูดว่า “คุณพูดชมเกินไปแล้วครับ ผมก็แค่ได้รับยาวิเศษณ์นี้มาโดยบังเอิญ ไม่เช่นนั้น ต่อให้ผมมีความสามารถ มากเพียงใด ก็ไม่สามารถรักษาให้คนเป็นอัมพาต จนหายดีเป็นปกติได้เช่นนี้หรอก”
หมอเจ้าของไข้ก็ชื่นชมว่า “เดิมที ยาของคุณก็เป็นปาฏิหาริย์ของวงการการแพทย์แล้ว ถ้าเกิดว่าสามารถผลิตออกมาได้ละก็ ไม่รู้ว่าสามารถช่วยผู้คนได้มากแค่ไหน!”
ซือเทียนฉีส่ายหัว แล้วพูดว่า “ยาวิเศษณ์ของผมนี้ คนทำคือคนที่มีพลังวิเศษณ์ มีน้อยมากในโลกนี้ ผมก็เหลือเพียงแค่ครึ่งเม็ดนี้เท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจะผลิตเพิ่มเลย”
หมอเจ้าของไข้ก็พูดถอนหายใจว่า “เช่นนั้นก็น่าเสียดายมากเลยครับ…….”
ทันใดนั้น เซียวชูหรันก็รีบขึ้นหน้าไป แล้วถามกับหมอเจ้าของไข้ ว่า “คุณหมอคะ อาการของพ่อฉันตอนนี้สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้วใช่ไหมคะ?”
หมอเจ้าของไข้ตอบว่า “เอ่อ เมื่อครู่ผมตรวจอาการของคุณเซียวไปแล้ว อาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังเป็นปกติแล้ว ส่วนอาการบาดเจ็บส่วนอื่นๆ ก็ฟื้นตัวได้ดีมากแล้ว แต่ว่าผมก็ยังแนะนำให้พวกคุณรอดูอาการที่โรงพยาบาลสักระยะ ให้คุณเซียวได้ พักฟื้นเสียหน่อย”
ซือเทียนฉีทางด้านข้างก็พูดขึ้นบ้าง “ใช่แล้ว นายหญิงเย่ อาการบาดเจ็บ การรักษาเป็นเพียงเบื้องต้น จุดสำคัญคือการพักฟื้น ดังนั้นก็อยากแนะนำให้อย่าเพิ่งรีบออกโรงพยาบาล อยู่พักฟื้นที่โรงพยาบาลสักระยะแล้วค่อยว่ากัน”
เซียวชูหรันก็รีบพยักหน้า พูดว่า “เช่นนั้นก็อยู่พักฟื้นที่โรงพยาบาลสักระยะแล้วกัน!”
เย่เฉินได้ยินดังนั้น ก็พูดกับซือเทียนฉีและพวกของซ่งหวั่นถิง ว่า “ขอบคุณทุกคนมากที่มาเยี่ยมพ่อตาของผม ขอบคุณครับ แต่ว่า ตอนนี้พ่อตาผมอาการเป็นปกติแล้ว ก็เลยอยากให้ท่านได้พักผ่อนเงียบสักหน่อยนะครับ”
ทุกคนก็รีบพยักหน้า
ในเมื่ออาจารย์เย่ก็เอ่ยขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นก็ต้องรีบกลับได้แล้ว อยู่ไปก็จะรับกวนเปล่าๆ
ดังนั้น ซ่งหวั่นถิง ซือเทียนฉี ฉินกาง หวังเจิ้งกางและพวกท่านหงห้า ก็พากันกล่าวลากับเย่เฉิน
ตอนที่เย่เฉินไปส่งพวกเขาที่ประตู หม่าหลันผู้เป็นแม่ยายก็พูดกับเซียวชูหรันอย่างกังวลว่า “ชูหรันลูก ไอ้เย่เฉินไม่เอาไหนคนนี้ มันชักจะหลอกลวงคนเก่งขึ้นทุกวันแล้วนะ คนใหญ่คนโตก็ถูกมันหลอกกันหมดแล้วเนี่ย มันจะรนหาที่ตายเอานะลูก!”