บทที่ 253 แรงกดดัน
“ดี! ท่านเจ้าสำนักเหยียนซ่งช่างสมกับเป็นตัวอย่างของรุ่นพวกเราจริงๆ! พวกเรา 6 สำนักจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและจะไม่ยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆ ขอท่านเจ้าสำนักเหยียนซ่งจงสนใจแค่เรื่องของการต่อสู้ส่วนเรื่องอื่นๆของให้ข้าจี้เชียนเหยี่ยนเป็นคนจัดการเอง! ข้าหวังให้ท่านเจ้าสำนักเหยียนซ่งจงแสดงถึงความน่าเกรงขามของพวกเรา 6 สำนักใหญ่ผ่านการต่อสู้ในครั้งนี้ เพื่อให้พวกขุมกำลังต่างๆในแผ่นดินชางหลางไม่กล้ามาลูบคมพวกเราง่ายๆเช่นนี้อีก!”
จี้เชียนเหยียนที่เห็นว่าเหยียนซ่งนั้นไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังนั้น ใบหน้าของเขาก็ได้พลันมีสีหน้ายินดีขึ้นมา ในขณะเดียวกันเขาก็ได้บอกให้เหยียนซ่งนั้นปิดบังเรื่องที่จะโอนย้ายนักโทษไว้ชั่วคราว แล้วเขาก็ได้ปลุกใจให้เหยียนซ่งนั้นสร้างชื่อเสียงของทั้ง 6 สำนักใหญ่ผ่านศึกในครั้งนี้
เจ้าสำนักคนอื่นๆต่างก็แสดงความสนับสนุนเหยียนซ่ง และต่างก็ไม่สนใจในคำขู่ของเย่เย่เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่า คนที่กล้ามาท้าเหยียนซ่งได้เช่นนี้จะต้องไม่ใช้คนที่ไร้ไพ่ในมือก็ตาม แต่ด้วยความมั่นใจในตัวเองที่มีมานานในฐานะราชันย์เทพนั้นทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับพวกที่จะเห็นเย่เย่นั้นเป็นภัย
ถ้าหากไม่ถึงขั้นราชันย์เทพแล้วล่ะก็ เป็นได้แค่เพียงมดเท่านนั้น!
นี่คือความมั่นใจของเจ้าสำนักทั้ง 6 และก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมสำนักใหญ่ทั้ง 6 นั้นถึงยังรักษาชื่อเสียงเอาไว้ได้ถึงทุกวันนี้
หลังจากข่าวเรื่องที่เหยียนซ่งนั้นตัดสินใจที่จะรับคำท้าได้แพร่สะพัดออกมา บรรยากาศของทั่วทั้งยุทธภพก็ได้ร้อนระอุขึ้นมาทันที ทำให้เหล่าผู้ฝึกวิชาต่างๆทยอยพากันไปที่หน้าอารามชิงหมิงเพื่อที่จะไปรอดูรอชม และเป็นพยานตัดสินการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอีก 10 วันข้างหน้า
ผู้คนที่ไม่รู้จักชื่อของเย่เย่มาก่อนนั้นต่างก็ทึ่งกับชื่อของประมุขหอใบหยก แต่ทว่าผู้คนส่วนใหญ่นั้นต่างก็ไม่คิดว่าเย่เย่นั้นจะเป็นคู่ต่อสู้ของเหยียนซ่งได้ และคิดว่าเขาคงจะถูกฆ่าโดยเหยียนซ่งเป็นแน่ อย่างมากก็หลังจากที่รับมือได้แค่ไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น
อย่างไรก็ดีช่องว่างระหว่างผู้ที่อยู่ในระดับราชันย์เทพกับระดับจอมเทพนั้นมันต่างกันมากเกินไป ต่อให้เย่เย่รักษาชีวิตเอาไว้ได้จากการปะทะกันกับเมื่อคราวก่อน แต่คนอื่นๆก็ไม่คิดว่าเย่เย่นั้นจะสามารถต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่งระดับราชันย์เทพได้อยู่ดี
แต่ไม่ว่าอย่างไรศึกนี้ก็เป็นศึกของผู้ที่มีพลังสูงส่งที่หาดูได้ยากในแผ่นดินชางหลางอยู่ดี เหล่าขุมกำลังใหญ่ๆในอาณาจักรต่างก็มากันที่หน้าอารามชิงหมิงด้วยจุดประสงค์ต่างๆกัน แต่ก็เพื่อมาชมศึกในครั้งนี้และพวกเขาต่างก็อยากที่จะรู้ผลในท้ายที่สุดของเรื่องนี้ก่อนใคร
ทางตะวันตกเฉียงใต้ของหลิงเฉิง; หอการค้าใบหยก
สวี่ซือเจี๋ยกับเจิ้งซวี่ที่เพิ่งได้ทราบข่าวว่าเย่เย่กับเหยียนซ่งจะสู้กันนั้น แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาเองก็รู้เหตุผลที่ว่าทำไมเย่เย่ถึงได้ท้าสู้กับเหยียนซ่ง และพวกเขาต่างก็มีใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
เพราะตอนที่เย่เย่ออกไปจากเมิงหลิงเฉิงนั้น วรยุทธ์ของเขาเพิ่งจะบรรลุขั้นจอมเทพเท่านั้นและพวกเขาต่างก็ไม่ทราบถึงการพัฒนาของเย่เย่ในช่วงที่ผ่านมานี้เลย ทำให้พวกเขากลัวว่าเย่เย่นั้นจะพ่ายให้กับเหยียนซ่งในศึกนี้
เฉินเซียนลูกศิษย์เพียงคนเดียวของเย่เย่นั้นเต็มไปด้วยความกระวนกระวายอย่างสุดๆ จึงได้อาศัยโอกาสนี้ไปขอให้ช่วยซูเหลียนหยูจากในอารามชิงหมิงต่อหน้าสวี่ซื่อเจี๋ยแหละเจิ้งซวี่
“ท่านซวี่ ในฐานะที่เฉินเซียนผู้นี้เป็นศิษย์เพียงคนเดียวของท่านอาจารย์ จึงไม่อาจทนอยู่เฉยยามที่อาจารย์แม่มีภัยได้ ข้าจึงขอให้ท่านซวี่ช่วยเหลือและอนุญาตให้ผู้น้อยได้ไปที่อารามชิงหมิงเพื่อช่วยเหลืออาจารย์แม่ด้วย!”
ในเวลานี้เฉินเซียนนั้นได้บรรลุวิชาลำนำดอกบัวสีเลือดแล้ว และในเวลาอันสั้นนี้วรยุทธ์ของเขาก็ได้มาถึงจุดสูงสุดของระดับเทพอสูรห่างกับระดับจอมเทพแค่ขั้นเดียวเท่านั้น ความสามารถของเขานั้นทำให้ทุกคนในหอการค้าใบหยกต่างต้องตกใจและได้กลายมาเป็นอันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์ในหอการค้าใบหยกแห่งนี้
ถ้าหากเป็นเวลาปกติสวี่ซื่อเจี๋ยกับเจิ้งสวี่นั้นก็คงจะไว้หน้าเฉินเซียนและไตร่ตรองถึงคำขอของเขาอย่างจริงจัง แต่ในเวลานี้ยามที่เฉินเซียนนั้นได้ขอที่จะไปที่อารามชิงหมิงเพื่อช่วยเหลือซูเหลียนหยู สวี่ซื่อเจี๋ยกับเจิ้งสวี่ต่างก็คัดค้านเขา
“ตัวเจ้าในเวลานี้เป็นศิษย์อัจฉริยะที่มีแววมากที่สุดในหอการค้าใบหยกนี้ ถ้าหากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าแล้ว ข้าจะมีหน้าไปอธิบายกับท่านประมุขหอได้เช่นไร? เจ้าอย่าได้พูดเรื่องนี้อีกพวกข้าไม่อนุญาตให้เจ้าไปที่อารามชิงหมิงโดยเด็ดขาด!”
สวี่ซื่อเจี๋ยได้ปฏิเสธคำขอของเฉินเซียนอย่างเด็ดขาดและพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะมีวรยุทธ์ที่ใกล้เคียงกับเขา แต่สวี่ซื่อเจี๋ยนั้นก็ยังเป็นผู้อาวุโสกว่าเฉินเซียนมาก และเป็นคนกลุ่มแรกๆที่ติดตามเย่เย่ ดังนั้นเฉินเซียนจะไม่ฟังคำพูดของพวกเขาก็ไม่ได้ แต่ปล่อยให้เขาอยู่เฉยๆในหลินเฉิงในเวลาเช่นนี้ ทำให้เฉินเซียนนั้นรู้สึกทรมานอย่างสุดๆ
“ข้ารู้ว่าพวกท่านเป็นห่วงข้า แต่ในเวลานี้หอการค้าใบหยกนั้นกำลังถึงภาวะคับขัน ซึ่งไม่ว่าผลของการต่อสู้นี้จะออกมาอย่างไร? หอการค้าใบหยกของพวกเรานั้นก็จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ซึ่งถ้าหากพวกเราไม่ทำอะไรเลยเมื่อถึงเวลานั้นมันอาจจะสายเกินไปที่จะแก้ไขแล้วก็ได้!”
เฉินเซียนนั้นได้กลายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่เข้าร่วมกับหอการค้าใบหยกมาและรับรู้ถึงวิกฤติได้ และตัวเขานั้นก็รู้ดีถึงความสำคัญของการต่อสู้ของเย่เย่กับเหยียนซ่งนี้ดี เขาจึงได้ไม่แนะนำให้สวี่ซื่อเจี๋ยกับคนอื่นๆนั้นทำตัวอยู่เฉยๆกับเรื่องนี้ต่อไปได้
สวี่ซื่อเจี๋ยกับเจิ้งซวี่นั้นต่างก็คิ้วขมวดหลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้ และต่างก็รู้สึกถึงความยากลำบากถึงเรื่องนี้
ในช่วงที่ผ่านมานี้หอการค้าใบหยกนั้นได้พัฒนาขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นขุมอำนาจที่ทรงพลังที่ไม่ด้อยไปกว่า 1 ใน 7 บุรุษแห่งชางหลาง และการที่สวี่ซื่อเจี๋ยกับคนอื่นๆนั้นได้จงใจทำตัวเงียบๆกัน ทำให้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหอการค้าใบหยกนั้นไม่อาจเป็นที่ล่วงรู้ได้ในโลกภายนอก ทำให้พวกเขาสามารถที่จะโจมตีศัตรูที่ได้เผลอในภาวะคับขันเช่นนี้
แต่ทว่าอารามชิงหมิงนั้นก็เป็นถึงหนึ่งใน 6 สำนักใหญ่ แม้ว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่อะไรที่หอการค้าใบหยกจะเข้าไปปะทะด้วยอยู่ดี แค่ลำพังจำนวนผู้ที่มีวรยุทธ์ในระดับจอมเทพแล้ว อารามชิงหมิงก็สามารถทิ้งหอการค้าใบหยกได้หลายช่วงตึกแล้ว
หอการค้าใบหยกนั้นมีคนที่แข็งแกร่งอยู่ในระดับจอมเทพเพียงแค่เย่เย่คนเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของเย่เย่นั้นจะเรียกได้ว่าไม่น่าเชื่อและไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ในระดับจอมเทพด้วยกัน แต่ทว่าอารามชิงหมิงนอกจากเหยียนซ่งที่แข็งแกร่งระดับราชันย์เทพแล้ว ยังมี คนที่มีวรยุทธ์อยู่ในระดับจอมเทพมากกว่า 10 คนอยู่ด้วย ถ้าหากไร้ซึ่งเย่เย่แล้ว ต่อให้เหยียนซ่งไม่ลงมือ ลำพังอารามชิงหมิงก็สามารถทำลายหอการค้าใบหยกได้หลายหนแล้ว
ดังนั้นในเวลานี้ยามที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าอารามชิงหมิงนั้น ทำให้สวี่ซื่อเจี๋ยกับเจิ้งซวี่นั้นรู้สึกกดดันอย่างสุดๆ
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เจิ้งซวี่ก็ได้เปิดปากพูดกับเฉินเซียนอย่างช้าๆ “นี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับหอการค้าใบหยกของเราแล้ว! สิ่งที่พวกเราทำได้ในเวลานี้คือเชื่อมั่นในตัวของท่านประมุขหอ ดังนั้นเจ้าจงเลิกคิดที่จะช่วยแม่นางซูเถิด!”
สวี่ซื่อเจี๋ยก็ผงกหัวเห็นด้วย พวกเขาทั้งคู่นั้นต่างก็แลเห็นถึงความปลอดภัยของเฉินเซียนนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด พวกเขาจึงย่อมไม่เห็นด้วยที่จะปล่อยให้เฉินเซียนนั้นต้องไปเสี่ยงที่อารามชิงหมิง
ถึงแม้ว่าจะไม่มีคนที่ทรงพลังในระดับจอมเทพอยู่เลยในหอการค้าใบหยก แต่ก็มีผู้ที่อยู่ในระดับสูงสุดของเทพอสูรอยู่หลายคน นอกจากทั้ง 3 คนที่อยู่ตรงนี้แล้ว ก็ยังมีตู๋กู่เหยียนกับจางอี้ตันที่ฝึกจนถึงระดับสูงสุดของเทพอสูรแล้วเช่นกันโดยอาศัยทรัพยากรที่มีของหอการค้าใบหยก แต่ในบรรดาคนเหล่านี้แล้ว มีเพียงเฉินเซียนที่เข้าใกล้การบรรลุขึ้นเป็นจอมเทพมากที่สุด ทำให้สวี่ซื่อเจี๋ยกับเจิ้งซวี่นั้นจะไม่ปล่อยให้เฉินเซียนนั้นต้องทำอะไรที่เป็นการเสี่ยงเด็ดขาด
เฉินเซียนที่เห็นว่าตัวเขานั้นคงไม่อาจที่จะเกลี้ยกล่อมให้พวกเขายอมตกลงได้ จึงได้ยอมกลับไปยังที่พักของตนด้วยใบหน้าที่ช่วยไม่ได้ แต่พอเขานึกถึงสถานการณ์ที่หอการค้าใบหยกต้องเผชิญแล้ว เฉินเซียนก็ไม่อาจที่จะสงบใจและฝึกวิชาได้
จนกระทั่งยามดึกที่เงียบสงัด เฉินเซียนก็ได้มาเปิดประตูที่ปิดเอาไว้อยู่ออกแล้วออกมาจากที่พักของเขาอย่างเงียบๆ เขาตั้งใจที่จะหนีออกไปจากหอการค้าใบหยกอย่างเงียบๆคนเดียว
“เจ้าคิดที่จะไปถล่มอารามชิงหมิงด้วยตัวคนเดียวรึยังไง? เจ้าคิดว่าตัวเจ้าเก่งเหมือนท่านประมุขแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
ในขณะที่เขากำลังจะเดินออกมาจากหอการค้าใบหยกนั้น จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างหลังเขา
เฉินเซียนก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันทีแล้วก็หันไปมองผู้ที่มาอย่างช้า แต่แล้วดวงตาของเขาก็แสดงถึงความผ่อนคลายลงมา
“เกาหลิง เจ้าคิดที่จะห้ามข้าอย่างนั้นเหรอ?”
ผู้ที่มายืนอยู่ตรงหน้าเฉินเซียนในเวลานี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเกาหลิง ลูกศิษย์ของสวี่ซื่อเจี๋ยผู้ที่เคยเป็นคู่แข่งของเขาในการฝึกวิชามาก่อน
ตั้งแต่ที่เขาพ่ายแพ้ให้กับเฉินเซียนในการต่อสู้ เกาหลิงก็ได้เห็นเฉินเซียนเป็นเหมือนเป้าหมายที่ตัวเขาจะต้องเหนือกว่าให้ได้ และเร่งฝึกวิชาเพื่อไล่ตามเฉินเซียน แต่พอเขาที่ฝึกจนบรรลุได้แล้วและมาอยู่ต่อหน้าของเฉินเซียนอีกครั้ง เขาก็พบว่าเฉินเซียนนั้นได้ทิ้งห่างจากเขาไปไกลอีกหน และได้กลายมาเป็นอันดับหนึ่งของหน้าใหม่ของหอการค้าใบหยก
หลังจากที่ได้พยายามฝึกเพื่อไล่ตามเฉินเซียนอยู่หลายหน ในที่สุดเกาหลิงก็ได้ยอมแพ้และยอมรับว่าศักยภาพของเขานั้นมีไม่เท่าเฉินเซียน และยอมรับเขาในฐานะรุ่นเยาว์ของหอการค้าใบหยก แต่ตัวเขานั้นยังคงปฏิบัติกับเฉินเซียนอย่างเหินห่างและไม่ทำตัวประจบสอพลอเฉินเซียนเฉกเช่นคนอื่นๆ
ในเวลานี้เรื่องของการต่อสู้กันระหว่างเย่เย่กับเหยียนซ่งนั้นได้ทำให้ทั่วทั้งหอการค้าใบหยกนั้นต้องวุ่นวายขึ้นมา แม้แต่เกาหลิงเองก็ยังกระวนกระวายขึ้นมา หลังจากที่เขาได้รู้มาว่าคำขอของเฉินเซียนนั้นได้ถูกปัดตกไปโดยสวี่ซื่อเจี๋ยกับเจิ้งซวี่นั้น เกาหลิงก็พอที่จะเดาได้ว่าเฉินเซียนนั้นคงไม่ยอมล้มเลิกความคิดง่ายๆแน่ เขาจึงได้คอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของเฉินเซียนเอาไว้
“เจ้าคิดที่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับอาจารย์ของเจ้างั้นเหรอ? ในฐานะที่เป็นสมาชิกของหอการค้าใบหยกเหมือนกันแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะยอมอยู่นิ่งเฉยได้!”
เฉินเซียนที่เห็นว่าถูกพบตัวเข้าให้แล้วก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบังอะไรอีกต่อไป และพูดกับเกาหลิงอย่างจริงจังแทน
ทั้งสองคนนั้นเคยเป็นคู่แข่งกันมาก่อน เฉินเซียนจึงรู้ถึงนิสัยของเกาหลิงดี ถ้าหากเกาหลิงนั้นคิดที่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับสวี่ซื่อเจี๋ยเพื่อห้ามไม่ให้เฉินเซียนหนีไปจริง เขาคงไม่มายืนเงียบๆพูดกับเขาอยู่ตรงนี้แน่ๆ
“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำยังไง? ถ้าหากข้าไม่เอาเรื่องนี้ไปแจ้งแล้วยืนดูเจ้าไปอารามชิงหมิงแล้วตาย ข้าคงได้กลายเป็นคนบาปของหอการค้าใบหยกเป็นแน่!”
หลังจากที่เกาหลิงได้ยินที่เฉินเซียนพูดแล้ว ก็ได้มีแววตาที่ขัดขืนขึ้นมาในดวงตาของเขา อย่างไรเสียในความคิดของเขานั้นก็เหมือนกับอาจารย์ของเขาซึ่งไม่เห็นด้วยกับเฉินเซียนที่คิดจะไปที่อารามชิงหมิงตามลำพังเพื่อช่วยคน จึงได้เดินออกมาตรงหน้าของเฉินเซียนและขวางทางเขาเอาไว้
เฉินเซียนที่เห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้โกรธอะไร แต่ก็ได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ “เจ้าคิดว่าข้าโง่ขนาดนั้นจริงๆเหรอ? ถึงแม้ว่าตัวข้าอยากที่จะไปที่อารามชิงหมิงเพื่อที่จะช่วยท่านอาจารย์แม่จริงๆ แต่ทว่าท่านอาจารย์สวี่กับท่านอาจารย์เจิ้งนั้นไม่เห็นด้วย แน่นอนว่าตัวข้านั้นไม่อาจที่จะขัดคำสั่งของพวกเขาอย่างเปิดเผยได้ ในครานี้ข้าจึงได้แอบออกจากหอการค้าใบหยกอย่างเงียบๆและคิดจะไปที่สำนักดาราเที่ยงธรรม”
“สำนักดาราเที่ยงธรรม?”
เกาหลิงที่เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่นั้น ก็ได้ปรากฏแววตาแปลกๆขึ้นมาในดวงตาของเขา
นับตั้งแต่ที่หอการค้าใบหยกนั้นได้รวบรวมแผ่นดินตะวันตกเฉียงใต้เอาไว้เป็นหนึ่งเดียวนั้น ความแข็งแกร่งของหอใบหยกก็ได้ทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ในเวลานี้สามารถเทียบได้กับ 1 ใน 7 สุภาพบุรุษแห่งชางหลาง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหอใบหยกนั้นจะไม่มีศัตรูที่ไหน โดยเฉพาะหลังจากที่เย่เย่นั้นได้ออกจากหลิงเฉิงเพื่อไปที่เมืองหลวงนั้น ก็ได้มีขุมอำนาจอื่นๆที่ค่อยๆคืบคลานอยู่รอบๆหอการค้าใบหยกมากขึ้นเรื่อยๆ
และเพราะการออกไปของเย่เย่ ทำให้หอการค้าใบหยกนั้นไร้ซึ่งคนที่แข็งแกร่งระดับจอมเทพไป ทำให้สำนักดาราเที่ยงธรรมที่อยู่ที่ภูเขาซิงอี้ที่ติดกับภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้นั้นได้หมายปองหอการค้าใบหยกเอาไว้ จั่วซิ่วเจ้าสำนักของสำนักดาราเที่ยงธรรมนั้นเป็นปรมาจารย์อยู่ในระดับจอมเทพ ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งโดยรวมของสำนักดาราเที่ยงธรรมนั้นจะไม่อาจเทียบได้กับหอการค้าใบหยกก็ตามที แต่เพราะเย่เย่นั้นไม่ได้อยู่ในหลินเฉิงแล้ว จั่วซิ่วก็ไม่ได้เห็นหอการค้าใบหยกอยู่ในสายตาอีกต่อไป
แม้ว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดจะไม่ได้อยู่แล้ว แต่ข้าวของต่างๆก็ยังมีมากกว่าสำนักดาราเที่ยงธรรมตั้งหลายเท่าอยู่ดี ทำให้ระดับของลูกศิษย์ลูกหาในสำนักนั้นเหนือกว่าสำนักดาราเที่ยงธรรมไปไกลนัก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จั่วซิ่วนั้นรู้สึกหมายปองหอการค้าขึ้นมา
จนกระทั่งข่าวเรื่องของการท้าสู้ของเย่เย่กับเหยียนซ่งได้แพร่สะพัดออกมา จั่วซิ่วก็ได้คิดว่าในที่สุดเวลาก็มาถึงแล้ว เขาจึงได้ส่งยอดฝีมือออกมาทดสอบการป้องกันของหอการค้าใบหยกอย่างต่อเนื่องและปั่นป่วนเมืองต่างๆที่อยู่ภายใต้การดูแลของหอการค้าใบหยก ซึ่งสวี่ซื่อเจี๋ยกับเจิ้งซวี่นั้นก็ได้อดกลั้นอยู่ตลอดเพราะการต่อสู้ระหว่างเย่เย่กับเหยียนซ่งนั้นไม่อาจคาดเดาได้ ทำให้พวกเขาไม่ต้องการสูญเสียทรัพยากรบุคคลของหอการค้าใบหยกไปง่ายๆได้
และเหตุผลที่ว่าทำไมสำนักสำนักดาราเที่ยงธรรมนั้นถึงได้ออกมาโจมตีตรงๆก็เพราะกำลังรอดูผลการต่อสู้ของทั้งสองคนนี้อยู่เหมือนกัน ถ้าหากเย่เย่ชนะสำนักดาราเที่ยงธรรมก็จะไม่กล้าที่จะมายุ่งกับหอการค้าอีก แต่ถ้าหากเย่เย่แพ้ จั่วซิ่วก็จะป็นคนแรกที่จะไปถล่มหลินเฉิงและบุกเข้ายึดหอการค้าใบหยก
เฉินเซียนนั้นถึงแม้ว่าเขาจะล้มเลิกความคิดที่จะไปยังอารามชิงหมิงไปเพื่อช่วยซูเหลียนหยู แต่ก็ทนไม่ไหวกับการที่มาหาเรื่องกับหอการค้าใบหยกซ้ำแล้วซ้ำอีกของสำนักดาราเที่ยงธรรมได้ นอกจากนั้นในเวลานี้หอการค้าใบหยกก็ต้องการข่าวดีอย่างเร่งด่วนเพื่อรักษาเสถียรภาพเอาไว้ เฉินเซียนจึงได้คิดที่จะบุกไปถล่มสำนักดาราเที่ยงธรรมตามลำพังเพื่อไปท้าสู้กับจั่วซิ่ว