ส่วนที่ 4 ตอนที่ 6.2

ความลับแห่งจินเหลียน

โหดเหี้ยมอำมหิต

 

 

 

“เธอไปนู่นแล้ว ยังจะมองอะไรอยู่อีกคะ หรือว่ากำลังภาวนาให้เธอออกมาจากลิฟท์?” เสียงหัวเราะประชดประชันของลู่เฟยอวี๋ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง

 

 

“เฟยอวี๋…” หลินเสวียนหลานปรับอารมณ์ความรู้สึกให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้งแล้วหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับลู่เฟยอวี๋ “คุณพูดอะไรน่ะ”

 

 

“ฉันบอกว่าจินเหลียนคนสวยของคุณไปแล้ว” ลู่เฟยอวี๋เชิดหน้ายักคิ้วยิ้มเย้ย

 

 

หลินเสวียนหลานหมุนตัวเดินกลับไปทางห้องพักของตนเอง เขาเตือนตัวเองว่าเขามีหน้าที่มาซื้อหินหหยกไม่ได้มาหาเรื่องทะเลาะกับใคร แต่ลู่เฟยอวี๋กลับเดินตามเขามาไม่ยอมลดละ

 

 

“เฟยอวี๋ คุณยังมีธุระอะไรอีกหรือเปล่า” หลินเสวียนหลานถาม

 

 

“นี่คุณจะไม่เชิญฉันเข้าไปนั่งข้างในหน่อยเหรอคะ” ลู่เฟยอวี๋ถามกลับ

 

 

“เฟยอวี๋ เราสองคนเลิกกันแล้วนะครับ” หลินเสวียนหลานส่ายศีรษะอิดหนาระอาใจ นี่มันเรื่องอะไรอีก?

 

 

“ยังมีเรื่องที่คุณอาจจะยังไม่รู้ ฉันว่าเราเข้าไปนั่งข้างในแล้วค่อยๆ คุยกันน่าจะดีกว่า หรือว่าคุณจะให้ฉันยืนคุยตรงหน้าประตูคะ?” ลู่เฟยอวี๋เอ่ยอย่างเป็นต่อ

 

 

“อืม…ก็ได้ครับ!” หลินเสวียนหลานลังเลชั่วครู่ สุดท้ายก็ตกปากรับคำจนได้ เขาเปิดประตูห้องแล้วเชิญลู่เฟยอวี๋เข้าไปข้างใน

 

 

ลู่เฟยอวี๋เดินเข้าไปในห้องพักของหลินเสวียนหลานแล้วนั่งลงบนโซฟาโดยไม่รอให้เขาเชิญ หลินเสวียนหลานปิดประตูห้องแล้วเดินมานั่งลงบนโซฟาพร้อมเอ่ยถาม “มีเรื่องอะไรที่ผมยังไม่รู้เหรอครับ”

 

 

“คุณน่าจะยังไม่รู้ว่าคุณปู่หลินยืมเงินกับพ่อฉันห้าสิบล้าน” ลู่เฟยอวี๋ยกยิ้มมุมปากอย่างเยาะๆ

 

 

“ผมรู้!” หลินเสวียนหลานพยักหน้ายอมรับ “คุณปู่ก็แค่ยืมเงินจากครอบครัวคุณห้าสิบล้านหยวน คนทำธุรกิจก็ต้องมีช่วงที่หมุนเงินไม่ทันกันบ้าง อีกอย่างตระกูลหลินทำธุรกิจมาหลายสิบปี พวกเราหาเงินห้าสิบล้านมาคืนได้แน่นอน” เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ความนัยที่แอบแฝงในคำพูดเปิดเผยของลู่เฟยอวี๋

 

 

ตอนนี้ลู่เฟยอวี๋เป็นเจ้าหนี้ของเขา เขาจึงไม่มีสิทธิ์ทำกิริยาไม่พอใจใส่เธอ

 

 

“ที่คุณปู่หลินไปหาพ่อฉันมันไม่ใช่แค่เรื่องยืมเงินน่ะสิคะ” ลู่เฟยอวี๋แสร้งถอนหายใจพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะ “คุณอย่าเพิ่งกังวลไปเลย ไม่มีใครคิดว่าตระกูลหลินไม่มีปัญญาคืนเงินหรอกค่ะ แต่ปัญหาคือฉันได้ยินพ่อบอกว่าปู่หลินมาคุยเรื่องสู่ขออย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว และที่สำคัญ พ่อฉันตกลงรับหมั้นแล้วด้วย”

 

 

หลินเสวียนหลานได้ยินดังนั้นถึงกับหน้าถอดสี สู่ขออย่างเป็นทางการ? แถมพ่อเธอยังตกลงรับหมั้นแล้วด้วย?

 

 

“มันเป็นเรื่องจริงค่ะ คุณปู่หลินส่งของหมั้นมาให้แล้วด้วยนะคะ” ลู่เฟยอวี๋เอ่ยต่อ “พอฉันรู้เรื่องก็รีบไปบอกคุณแม่เรื่องของเราทันที แต่คุณแม่บอกว่าเราสองคนโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ทั้งสองครอบครัวหมายมั่นปั้นมือเรื่องของเรามานานแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเราสองคนก็สนิทสนมกันมากจนทำให้คุณพ่อต้องปฏิเสธผู้ชายทุกคนที่มาสู่ขอลูกสาวท่าน เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลที่เราต้องเลิกกัน ที่สำคัญ ในเมื่อรับของหมั้นแล้วก็ต้องห้ามคืนคำเด็ดขาด ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป นอกจากตระกูลหลินจะเสียหน้าแล้ว ตระกูลลู่ก็ต้องเสียหน้าไปด้วยซึ่งทางเราไม่มีวันยอมแน่…”

 

 

หลินเสวียนหลานนั่งหมดแรงอยู่บนโซฟา นี่เขา…อยู่ดีๆ ก็ได้คู่หมั้นเพิ่มมาหนึ่งคนอย่างนั้นเหรอ? ทำไมคุณปู่ถึงทำกับเขาแบบนี้!

 

 

“ฉันคิดว่าคุณคงยังไม่ได้บอกเรื่องที่เราเลิกกันแล้วให้คนอื่นรู้ใช่ไหมคะ?” ลู่เฟยอวี๋มองหน้าซีดเผือดของหลินเสวียนหลานแล้วรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก เธอรู้ดีว่าเขาต้องทำใจยอมรับความจริงเรื่องนี้ไม่ได้เฉกเช่นเดียวกับที่เธอยอมรับความจริงเรื่องที่เขาบอกเลิกเธอไม่ได้เหมือนกัน

 

 

หลินเสวียนหลานส่ายศีรษะอย่างยอมรับ ความจริงตัวเขาเองไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นถึงมีความกล้าบอกเลิกลู่เฟยอวี๋ แต่พอกลับถึงบ้านกลับไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใครเลย

 

 

อาจเป็นเพราะช่วงหลังมานี้คุณปู่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงนัก อีกทั้งต้องคอยยุ่งเรื่องดูแลจัดการเรื่องน้อยใหญ่ในบริษัทอีก เขาจึงคิดไปเองว่าคุณปู่ต้องยุ่งมากจนไม่มีเวลามาสนใจเรื่องการแต่งงานของหลานชายอย่างเขาแน่นอน แต่ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าการแต่งงานของหลานชายอย่างเขาสำคัญต่อตระกูลหลินจนกลายเป็นเรื่องการแต่งงานทางการเมืองไปแล้ว…

 

 

ตั้งแต่คุณปู่ผ่าหยกก้อนใหญ่มหึมาแพ้คราวนั้นก็ส่งผลกระทบทำให้หุ้นของตระกูลหลินร่วงระนาว หนำซ้ำตระกูลหลินก็กำลังเผชิญปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก ตั้งแต่อารองเข้ามาบริหารงานฝ่ายขายของบริษัทหลินซื่อจิวเวลรี่ ผลประกอบการของบริษัทก็ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน…

 

 

แต่คุณปู่รักอารองมาก รักมากกว่าหลายชายคนนี้หลายเท่านัก ไม่อย่างนั้นคุณปู่คงไม่มีวันยอมให้ผู้หญิงอย่างหวังเซียงฉินแต่งเข้าตระกูลหลินหรอก

 

 

ในภารกิจซื้อหินหยกคราวนี้คุณปู่ยังยินยอมให้อารองมาร่วมงานประมูลหยกที่เจียหยางอีกด้วย ส่วนอารองยังคงหอบหิ้วหวังเซียงฉินมาด้วยกันเหมือนเคย

 

 

อารองไม่รู้เรื่องหวยหยกเลยสักนิดแล้วจะเข้ามาวุ่นวายด้วยทำไม? พูดให้น่าเกลียดสักหน่อยก็คืออารองสั่งงานมั่วซั่วจนวุ่นวายไปหมด แล้วนี่ยังไปหาเรื่องซีเหมินจินเหลียน จนทำให้แผนที่เขาวางเอาไว้พังไม่เป็นท่า ตลอดเวลาที่ผ่านมางานซื้อหินหยกและเจียระไนหยกเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของเขามาโดยตลอด แล้วทำไมอารองต้องเข้ามาก้าวก่ายงานของเขาในตอนนี้ด้วย

 

 

ใครก็ได้ช่วยบอกทีว่าเขาควรทำอย่างไรต่อไป?

 

 

“ถ้าคุณยังดึงดันที่จะไม่ทำตามเจตนารมณ์ของผู้ใหญ่จนทุกคนต้องลำบากก็ตามใจนะคะ เพราะฉันไม่เป็นไรอยู่แล้ว!” ลู่เฟยอวี๋เอ่ยพลางลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปยังประตูห้อง เธอชะงักเท้าหยุดยืนตรงประตู ก่อนจะหมุนตัวกลับมามองหลินเสวียนหลาน “ฉันไม่เคยรู้สึกเกลียดผู้หญิงคนไหนเท่านี้มาก่อน ฉันไม่ดีตรงไหนหรือคะ? ถ้าคุณบอกเลิกฉันเพราะผู้หญิงคนอื่นฉันคงยอมรับได้ แต่นี่…คุณกล้าบอกเลิกฉันเพื่อผู้หญิงบ้านนอกคนเดียวอย่างนั้นเหรอ?”

 

 

ลู่เฟยอวี๋ไม่รอคำตอบจากหลินเสวียนหลาน พอเอ่ยจบเธอก็เปิดประตู้ห้องแล้วก้าวฉับๆ เดินจากไปอย่างรวดเร็ว หลินเสวียนหลานได้ยินเพียงเสียงสะท้อนของรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังห่างไกลออกไปทุกที…

 

 

“ผู้หญิงบ้านนอกอย่างนั้นเหรอ?” หลินเสวียนหลานรู้สึกหมดเรี่ยวแรง ถึงเขาอยากจะแต่งงานกับซีเหมินจินเหลียน แต่ครอบครัวของเขาจะยินยอมหรือ?

 

 

ขนาดครอบครัวธรรมดาอย่างหวังหมิงหยางยังรังเกียจชาติกำเนิดต่ำต้อยของซีเหมินจินเหลียนเสียขนาดนั้น แล้วพ่อแม่ของเขาจะขนาดไหน? ขนาดหวังเซียงฉินเป็นถึงดาราที่พอจะมีหน้ามีตาทางสังคมอยู่บ้างคุณปู่ยังเคยคัดค้านไม่เห็นด้วย เรื่องการแต่งงานระหว่างเขากับซีเหมินจินเหลียนคงเป็นเรื่องเหลวไหลที่ไม่มีวันเป็นไปได้… โอ้ พระเจ้า… นี่เขาคิดเพ้อเจ้อไปไกลถึงไหนแล้ว เขาถึงขั้นเริ่มคิดเรื่องการแต่งงานกับซีเหมินจินเหลียนอย่างจริงจังแล้วหรือ?

 

 

ประเมินจากรูปการณ์ปัจจุบันแล้วดูเหมือนว่าเขาจะตกหลุมรักซีเหมินจินเหลียนเพียงข้างเดียว เพราะซีเหมินจินเหลียนเห็นเขาเป็นแค่เพื่อนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น และเขากำลังตกอยู่ในห้วงรักนี้เพียงฝ่ายเดียวจนยากจะถอนตัวเสียแล้ว

 

 

บ้าเอ๊ย! เป็นเพราะคำพูดของพระรูปนั้นที่วัดหลิงอิ่งแท้ๆ เชียว ถ้าพระรูปนั้นไม่พูดว่า “ยามเมื่อดอกบัวทองเบ่งบาน” เขาคงไม่สนใจในตัวเธอจนตกหลุมรักเธอย่างถอนตัวไม่ขึ้น…

 

 

ซีเหมินจินเหลียนปล่อยให้จ่านป๋ายเดินจูงแขนเธอโดยไม่ได้ว่าอะไร ไหนๆ เธอก็เคยเห็นทุกสัดส่วนบนร่างกายของจ่านป๋ายแล้วเมื่อตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเลือดท่วมตัว และเธอเองไม่ได้รู้สึกรังเกียจเขา หนำซ้ำส่วนลึกในจิตใจเธอยังคงจำสัมผัสครั้งแรกที่เธอแตะต้องตัวเขาได้ไม่มีวันลืม ราวกับว่าเธอกำลังลูบคลำหยกเนื้อแก้วชั้นเยี่ยมที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนและนุ่มนวล…

 

 

แต่หลังจากนั้นเธอเองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้เธอจะอยู่กับจ่านป๋ายตลอด แต่ความรู้สึกแรกสัมผัสนั้นกลับหายไปหมดสิ้น และเธอเองสัญญากับตัวเองแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอจะไม่มีวันใช้พลังพิเศษมองทะลุร่างกายของจ่านป๋ายอีกเด็ดขาด…

 

 

“เราไปกินอาหารพื้นเมืองของเจียหยางกันดีกว่า จากนั้นค่อยไปเดินตลาดนัดกันดีไหมครับ?” จ่านป๋ายขอความเห็นจากซีเหมินจินเหลียน

 

 

ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าเห็นด้วย ความจริงแล้วเธอแค่ไม่อยากกินอาหารโรงแรมหน้าตาดีแต่รสชาติแย่เหมือนอาหารฝีมือเธอไม่มีผิดก็เท่านั้น

 

 

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของซีเหมินจินเหลียนก็ดังขัดจังหวะขึ้น เธอรีบหยิบขึ้นมาดูเห็นว่าประธานเฉินเป็นคนโทรมาจึงกดปุ่มรับสาย เสียงหัวเราะอารมณ์ดีของประธานเฉินดังลอดมาจากปลายสาย “นั่นเจ้าหญิงแห่งวงการหยกใช่ไหมครับ?” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินคำทักทายแล้วเดาได้ทันทีว่าเรื่องที่เกิดในตลาดหยกเมื่อเย็นนี้คงแพร่สะพัดออกไปไกลแล้ว

 

 

“ประธานเฉินชอบพูดเล่นจริงๆ เลยนะคะ!” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยยิ้มๆ

 

 

“คืนนี้คุณว่างไหมครับ พอดีผมมีเพื่อนคนหนึ่งเขาจะผ่าหยกคืนนี้ ถ้าคุณว่างสนใจไปชมการผ่าหยกด้วยกันไหมครับ” ประธานเฉินเอ่ยชักชวนพร้อมรอยยิ้ม

 

 

“ไปค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนรีบสอบถามที่อยู่ทันที เรื่องดีๆ แบบนี้เธอจะพลาดได้อย่างไรกัน เพราะถือเป็นโอกาสดีที่เธอจะได้รู้จักนักธุรกิจจิวเวลรี่เพิ่ม และยังสามารถศึกษาเรื่องการผ่าหยกเพิ่มเติมอีกด้วย

 

 

แม้เธอจะมีโอกาสชมการผ่าหยกอย่างมืออาชีพของปู่จู้ที่คฤหาสน์ตระกูลหลิน แต่ปกติแล้วไม่ค่อยมีการผ่าหยกให้เห็นสักเท่าไหร่ เธอจึงต้องรีบฉวยโอกาสนี้เรียนรู้และสะสมประสบการณ์ให้มากที่สุด

 

 

ซีเหมินจินเหลียนนัดหมายกับประธานเฉินเสร็จสรรพเรียบร้อย พอวางสายแล้วอารมณ์ของเธอก็ดูจะดีขึ้นทันที จ่านป๋ายเห็นเธอมีความสุขเขาเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย ทั้งสองหาร้านอาหารพื้นเมืองแล้วรับประทานอาหารค่ำกันอย่างเอร็ดอร่อย จากนั้นนั่งรถแท็กซี่ตรงไปยังโรงงานเจียระไนหินหยกตามที่อยู่ที่ประธานเฉินให้ไว้

 

 

ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายเพิ่งมาถึงหน้าประตูก็เห็นประธานเฉินยิ้มกว้างเดินเข้ามาต้อนรับทั้งสอง “เจ้าหญิงแห่งวงการหยกของเรามาถึงแล้ว!”

 

 

พอเดินเข้าไปภายในก็ได้ยินเสียงร่าเริงสดใสของชายร่างอ้วนแซ่เหอดังลอยมาแต่ไกล “เชิญเจ้าหญิงทางนี้พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนได้ยินดังนั้นก็หน้าแดงเพราะความเขิน เธอแอบบ่นในใจ เป็นเพราะเหล่าเหยาแท้ๆ เชียวที่ตั้งฉายาให้เธอตามใจชอบแบบนั้น!

 

 

นอกจากชายร่างอ้วนแซ่เหอแล้วยังมีประธานหม่าที่เธอเคยเจอที่ร้านเถ้าแก่เหยาก็อยู่ด้วย เขารีบผงกศีรษะพร้อมส่งรอยยิ้มให้ซีเหมินจินเหลียนเป็นการทักทายทันทีที่เขาเห็นเธอเดินเข้ามา

 

 

โรงงานเจียระไนหยกที่นี่ไม่ใหญ่มาก หากแต่มีเครื่องตัดหินหยกรุ่นใหม่ถึงห้าเครื่องวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่ทางด้านหนึ่ง หินหยกถูกวางกองรวมกันอยู่ตรงมุมกำแพงห้อง ส่วนตรงกลางห้องมีคนแปลกหน้ามากหน้าหลายตาที่เธอไม่เคยพบมาก่อน ตอนนี้ทุกคนกำลังยืนล้อมรอบหินหยกก้อนใหญ่ยักษ์น้ำหนักเป็นตัน เมื่อสังเกตดูดีๆ แล้วมันคงเป็นหินหยกที่กำลังจะถูกผ่าคืนนี้อย่างแน่นอน