บทที่ 471: ถ้ารู้สึกเปล่าเปลี่ยว เจ้ารู้ว่าจะหาข้าได้ที่ไหน

Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน

Dual Cultivation บทที่ 471: ถ้ารู้สึกเปล่าเปลี่ยว เจ้ารู้ว่าจะหาข้าได้ที่ไหน

 

“ข้าคือเตียวซื่อตู ศิษย์หลัก และเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของนิกายดอกบัวเพลิง” ชายหนุ่มรูปหล่อแนะนำตัวเอง

 

ซูหยางยังคงเรียบเฉยหลังจากที่อีกฝ่ายแนะนำตัว

 

“เจ้าเป็นศิษย์อันดับหนึ่งรึ เช่นนั้นทำไมข้าจึงมิเห็นเจ้าที่การแข่งขันระดับภูมิภาค” ซูหยางถามเขาด้วยเสียงสงบนิ่ง

 

“นั่นเป็นเพราะว่าข้าเคราะห์ร้ายเกิดอุบัติเหตุจนล้มหมอนนอนเสื่อมาจนไม่นานมานี้”

 

ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ซูหยางก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ และนั่นยิ่งทำให้เตียวซื่อตูยิ่งโกรธกว่าเดิม

 

“มีอะไรน่าหัวเราะ”

 

แต่ทว่าซูหยางเพียงแค่เลิกสนใจเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นแมลงและหันไปมองยังหลินเชาชางและกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ข้าเพียงแค่พูดเล่น นางฟ้าน้อย ถึงแม้ว่าข้าจะสามารถ แต่ข้าก็มิต้องการหญิงคนไหนไปที่เตียงของข้าเพียงเพราะว่าถูกบังคับ ถ้าเจ้าจะมาร่วมฝึกกับข้า ข้าต้องการให้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความต้องการของตัวเจ้าเอง”

 

จากนั้นเขาก็หันไปมองดูยังโหวเยินเจียที่ยังคงตะลึงงันและกล่าวต่อว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อพบกับหวังชูเหริน เธอไปอยู่ที่ไหนแล้วในตอนนี้”

 

“เจ้าเลวนี่…” เตียวซื่อตูสั่นสะท้านจากความโกรธขึ้นมาจริงๆในเวลานั้น

 

ถ้าหากว่าเขามิได้อยู่เพียงแค่เขตปฐพีวิญญาณในขณะที่ซูหยางอยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ เขาคงจะชักกระบี่ข้างตัวของเขาขึ้นมาเชือดซูหยางเป็นร้อยชิ้นไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาประสบกับการถูกเหยียดหยามถึงเช่นนั้น และต่อหน้าหลินเชาชางที่เขาสนใจไม่น้อยไปกว่านั้น

 

“ผู้อาวุโสหวัง เจ้าพลาดเธอไปเพียงสามวัน เธอมีนัดหมายกับบางตระกูลดังนั้นเธอจึงออกไปจากนิกายเพื่อจัดการกับพวกเขา ข้ามิรู้ว่าเธออยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้ แต่เธอควรจะกลับมาภายในเวลาวันหรือสองวัน”

 

“ข้าสามารถทิ้งข่าวไว้ให้เธอตอนที่เธอกลับมาให้กับเจ้าได้ ถ้าต้องการ”

 

ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “มิมีความจำเป็นเรื่องนั้น ข้าก็แค่รอในห้องเธอจนกว่าเธอกลับมา”

 

“อะไรนะ เจ้าจะไปรอในห้องเธอรึ ข้ามิคิดว่านั่นเป็นเรื่องเหมาะสม…” โหวเยินเจียขมวดคิ้ว

 

ในใจของเขา หวังชูเหรินเป็นผู้หญิง  หญิงสาวบริสุทธิ์คนหนึ่ง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งหยาบคายเกือบเรียกได้ว่าเป็นอาชญากรรมสำหรับการที่จะมีผู้ชายเข้าไปในห้องเธอโดยไม่ได้รับอนุญาต อย่าว่าแต่จะอยู่ภายในนั้น

 

และถึงแม้ว่าซูหยางจะเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่ง แต่ก็ควรมีขีดจำกัดในความหน้าด้านของเขา

 

“ท่านมิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ข้ามีความรู้สึกว่าเธอจักยิ่งโกรธกว่านี้หากเจ้าให้ข้าจากไปแทนที่จะอยู่ในห้องของเธอ” ซูหยางกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม

 

“เจ้ามีความรู้สึกรึ… นั่นมิได้หมายความว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นไปได้ เจ้ารู้ไหม” โหวเยินเจียขมวดคิ้ว

 

เมื่อเห็นความดื้อดึงและค่อนข้างโกรธในดวงตาของอีกฝ่าย ซูหยางถอนใจ “ในเมื่อท่านลังเลมากเช่นนี้ ข้าก็ยินดีที่จะพำนักในห้องรับแขก”

 

หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ โหวเยินเจียก็พยักหน้า “ได้ ข้าจักจัดสองห้องให้กับเจ้าเดี๋ยวนี้”

 

จากนั้นเขาก็หันไปดูผู้อาวุโสนิกายที่อยู่ด้านหลังและกล่าวกับเขาว่า “จัดห้องรับรองแขกอย่างดีของเราให้กับแขกผู้ทรงเกียรติเหล่านี้สองห้อง”

 

แต่ทว่าซูหยางพลันยับยั้งเขาไว้ กล่าวว่า “ห้องเดียวก็พอ”

 

“ห้อง…เดียวรึ” 

 

โหวเยินเจียมองดูเขาจากนั้นก็มองไปยังสาวสวยสะท้านฟ้าข้างกายเขาด้วยใบหน้างงงัน พวกเขามีความสัมพันธ์แบบไหนกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนนั่นก็ทำให้เขาและคนอื่นๆที่นั่นต่างพากันอิจฉาอย่างมาก

 

“อย่างไรก็ตาม ท่านคงมิถือหากว่าข้าจะเดินไปรอบๆนิกายในขณะที่ข้าอยู่ที่นี่ คงจะน่าเบื่อเป็นอย่างมากหากต้องอยู่แต่ในห้องตลอดเวลา” ซูหยางพลันถามเขา

 

“ตราบเท่าที่มันมิทำให้เกิดผลลัพธ์เหมือนกับครั้งที่แล้ว ทำอะไรก็ได้ตามใจเจ้า” โหวเยินเจียถอนหายใจ นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่ต้องจัดการกับคนที่ยุ่งยากอย่างเช่นซูหยาง

 

ซูหยางพยักหน้า แต่ก่อนที่เขาจะออกไปจากที่แห่งนั้น เขาก็หันไปมองดูหลินเชาชางด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์และกล่าวกับเธอว่า “เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกเปล่าเปลี่ยว เจ้ารู้ว่าจะหาข้าได้ที่ไหน”

 

“ป-ไปให้พ้นจากที่นี่ ใครจักต้องการที่ทำเรื่องนั้นกับเจ้ากัน” หลินเชาชางระเบิดเสียงตอบกลับไปซึ่งเต็มไปด้วยความอับอาย

 

ในเวลานั้นเองหญิงสาวสองสามคนที่เหลือต่างพากันแสดงสีหน้าอิจฉาหลังจากที่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา พวกเธอก็ต้องการที่จะได้รับการเหลือบมองจากซูหยางเช่นกัน

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” เมื่อซูหยางสังเกตเห็นเช่นนั้น เขาก็หัวเราะและกล่าวออกมาเสียงดังว่า “แน่นอนว่าถ้าพวกเจ้าคนไหนรู้สึกเปล่าเปลี่ยวหรือแค่เพียงต้องการคำแนะนำในด้านการฝึกฝน เจ้าสามารถที่จะไปเยี่ยมเยือนข้าได้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็มีเวลาว่างมากมาย”

 

หลังจากที่กล่าวคำพูดเหล่านั้นแล้วซูหยางก็ออกไปจากที่แห่งนั้น ปล่อยให้โหวเยินเจียและเหล่าศิษย์ภายในนั้นงงงัน

 

ครั้นเมื่อเขาออกไปจากที่แห่งนั้นแล้ว เขาก็ตามผู้อาวุโสนิกายไปยังสถานที่ซึ่งห่างออกไปภายในนิกาย ที่ซึ่งอยู่ใกล้กับเขตที่พักของศิษย์หลัก

 

เปรียบกับที่พักของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พลังวิญญาณในที่นั้นเข้มข้นและมากมาย และบรรยากาศก็ค่อนข้างดีเช่นกัน

 

เมื่อศิษย์คนอื่นที่นั่นสังเกตเห็นการปรากฏกายขึ้นของซูหยาง พวกเขาต่างพากันหยุดสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่เพื่อจ้องดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง

 

เหล่าศิษย์หญิงต่างพากันจ้องมองดูซูหยางด้วยกรามที่ตกห้อยในขณะที่ศิษย์ชายจ้องมองไปที่เซียวหรงน้ำลายหก ในสายตาของพวกเขาแม้ว่าจะอยู่ห่างไปเพียงสองสามเมตรจากพวกเขาเป็นอย่างมาก แต่ก็เหมือนกับว่าพวกเขาอาศัยอยู่กันคนละโลกอย่างแท้จริง

 

กลิ่นอายที่หยั่งคาดไม่ได้มาจากซูหยางและความรู้สึกพ้นโลกจากเซียวหรงทำให้เหล่าศิษย์ที่นั่นต่างรู้สึกด้อยค่าเหมือนกับมด เหมือนกับว่าพวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่อยู่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตระดับสูงสองคน

 

ที่ใดก็ตามที่ทั้งสองคนเดินไป พื้นที่รอบข้างก็จะเปลี่ยนไปเป็นเงียบงันและหยุดนิ่งราวกับว่าเวลาได้หยุดทุกคนที่นั่นไว้นอกจากซูหยางและเซียวหรง

 

ส่วนสำหรับผู้อาวุโสนิกายที่นำพวกเขานั้น เขาก็ยากที่จะเดินเป็นเส้นตรงเพราะว่าแรงกดดันจากด้านหลัง แต่เขายังโชคดีที่ไม่ต้องมองดูพวกเขาซึ่งทำให้เขาหายใจได้ง่ายขึ้น

 

“กระทั่งการร่วมทางไปกับราชวงศ์ที่แท้จริงก็ยังมิกดดันเท่านี้” ผู้อาวุโสนิกายร่ำร้องในใจขณะที่พวกเขาตรงไปยังที่พักของพวกเขา