ส่วนที่ 3 ตอนที่ 50

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

วัฏจักรของสัตว์ป่า  

อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะเล็กๆ หยิบกล่องข้าวออกมาซึ่งก็เป็นอาหารเล็กๆ น้อยๆ จริงๆ จานเล็กๆ สี่ใบแบ่งใส่เนื้อไก่ กุนเชียง สลัดผักป่า ผัดเห็ดป่าและยังมีข้าวป่าชามเล็กๆ อีกหนึ่งชาม ดูท่าทางน่ากินแต่ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร

  เนื้อไก่ต้มหั่นชิ้น ดูก็รู้ว่าเป็นการปรุงอาหารของพ่อครัวที่บ้านตัวเอง การหั่นเนื้อไก่หน้าตัดเฉียงๆ ที่เรียนรู้จากเขา คนทั่วไปไม่สามารถเรียนรู้ได้ กุนเชียงท่าทางดูน่ากิน เมื่อนึ่งสุกแล้วมีความมันและดูโปร่งใสชวนน้ำลายไหลนัก ท่านย่ายกให้เป็นอาหารชั้นเลิศที่สุดของตระกูลอวิ๋นไปแล้ว ปกติจะไม่ให้ทาน มีเพียงช่วงเทศกาลวันปีใหม่จึงได้ทานกันเล็กน้อย ทุกครั้งอวิ๋นเยี่ยก็จะแบ่งให้กับบรรดาน้องสาวจอมตะกละ ซึ่งเรื่องนี้มักจะทำให้ท่านย่าไม่พอใจ บอกว่าไม่มีกฎ ของของใครก็เป็นของคนนั้น ห้ามแย่ง

ครั้นหยิบใบขู่ไช่ในสลัดใส่ปากเคี้ยว อวิ๋นเยี่ยก็ถอนหายใจและคายผักป่าออกมา บ้วนปากด้วยน้ำชาอยู่หลายครั้งจึงสามารถกำจัดรสขมฝาดในปากได้ ไม่รู้ว่าอวี้ซันเสพสุขกับความกตัญญูของหลานสาวอย่างไร ยังไม่พูดถึงเรื่องที่ว่าใบขู่ไช่หากต้มสุกแล้วไม่ใช้น้ำล้างรสขมออกมาก็จะกินลำบาก มันยังจะสร้างความเสียหายให้แก่ไตอย่างมากเลย เพียงแต่อาจารย์สูงวัยแล้ว ภรรยาเก่าก็เสียชีวิตเร็ว เรื่องที่ต้องใช้กำลังของไตนั้นมีไม่มาก หากจะโดนทำร้ายที่ไตบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ฉันที่มาถึงราชวงศ์ถังยังถือเป็นวัยแรกรุ่นที่เพิ่งแตกหน่อออกมาใหม่ เป็นช่วงที่เหมาะกับการใช้ไตเป็นอย่างยิ่ง อย่าโหดร้ายใส่กันเช่นนี้จะได้ไหม

เห็ดป่าคงไม่กินแล้ว เมื่อมองจากผักป่าก่อนหน้านี้ อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าฝีมือการปรุงอาหารของคุณหนูซินนั้นช่างน่าวิตกนัก เพื่อไม่ให้ถูกวางยาพิษอย่าได้กินเห็ดจะดีกว่า ถ้าหากมีเห็ดที่ดูสวยงามสักสองสามดอกแต่แท้จริงแล้วเป็นเห็ดพิษ ผลที่ตามมานั้นไม่รู้จะเป็นเช่นไร คุณหนูซินก็ช่างเป็นคนที่ใจกล้าและยังเป็นหญิงที่ชอบของสวยงามที่มีสีสันสดใส เห็ดพิษที่งอกโดดเด่นสวยงามนางก็คงต้องชอบแน่นอน สำหรับเห็ดที่ดูน่าเกลียดเหล่านั้นนางคงมองข้ามไป

เขาคีบข้าวป่าขึ้นมาหนึ่งคำอย่างระมัดระวัง ไม่เลวนี่ หอมมันและนุ่มเหนียว สามารถนำธัญพืชป่าในกอต้นอ้อเล็กมาปรุงได้รสชาติเช่นนี้ ปาฏิหาริย์จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับซินเย่ว์ด้วยแล้ว

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จและบ้วนปากแล้ว กำลังเตรียมบทเรียนเพราะพรุ่งนี้ต้องสอนวิชาฟิสิกส์สองคาบเรียน “อันตรกิริยาพื้นฐาน” หัวข้อนี้ก็แล้วกัน เขานั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือและหมกมุ่นอยู่กับเนื้อหานี้อย่างรวดเร็ว ความทรงจำในสมองเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งภาพนิสัยชอบสูดน้ำมูกของอาจารย์สอนฟิสิกส์ของเขาเมื่อสมัยก่อนก็ดูเหมือนจะปรากฏขึ้นมาอยู่ตรงหน้า อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นมนุษย์หรือเป็นกล้องถ่ายรูปวิดีโอ ถ้าหากก่อนหน้านี้มีมันสมองเช่นนี้ก็คงไม่ต้องเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ถึงสี่ปีในมหาวิทยาลัยเกรดต่ำแห่งนั้น ให้ตายสิ คงสอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาหรือไม่ก็มหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ไปนานแล้ว

ด้านหลังมีเสียงสะอึกสะอื้นอยู่ ที่แท้เป็นซินเย่ว์ มองดูอวิ๋นเยี่ยด้วยความขมขื่นใจสะอื้นเป็นระยะๆ มันเจ็บปวดมาก อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้กินอาหารที่เป็นอันตรายถึงชีวิตสองจานนั้น

 “ข้าวป่าอร่อยมาก มันเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดที่เท่าที่ข้าเคยกิน”

 “ข้าวอร่อย แล้วกับข้าวเล่า”

 “กับข้าวก็ไม่เลว เจ้าก็รู้ว่าอาจารย์ตามใจข้าจนเสียนิสัย ค่อนข้างปากสูง หากอาหารไม่ถูกปากก็ไม่กิน อย่าได้ใส่ใจเลย ขอบคุณเจ้าที่ทำอาหารให้ข้า”

 “ในนี้มีแค่สองจานที่ข้าทำ ส่วนที่เหลือมาจากบ้านของเจ้า ข้าวป่าท่านแม่ข้าเป็นคนทำ เจ้ากลับไม่ได้กินของที่ข้าทำ มันไม่อร่อยนักหรือ”

 “ไม่ใช่ไม่อร่อย เพียงแต่เป็นนิสัยเสียเล็กน้อย อย่าใส่ใจเลย คราวหน้าก็ดีขึ้นเอง”

 “ซื่อซยง วันนี้ข้าทำให้เจ้าลำบากใจใช่หรือไม่” ซินเย่ว์รู้สึกผิดเล็กน้อย ค่อนข้างอึดอัดใจจนกำผ้าเช็ดหน้า แต่ดวงตากลับจ้องมองอวิ๋นเยี่ย เป็นคนเปิดเผยมาก

“พูดอะไรอย่างนั้น จะได้ความเมตตาจากสาวงามช่างยากยิ่ง มีหญิงงามอย่างเจ้าทำอาหารให้กิน ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ”

คำพูดไร้สาระที่เรียบง่ายเหมือนน้ำเปล่า ถึงกับทำให้ซินเย่ว์หน้าแดงไปถึงใบหู อายจนม้วนต้วน หรือว่าผู้หญิงในยุคนี้ยังไม่ได้เรียนรู้ที่จะรับมือกับคำหวาน เพียงแค่คำพูดเหล่านี้ก็รับไม่ไหวเสียแล้ว ถ้าหากพูดคำโกหกยอดนิยมสักหน่อยจะไม่ถึงกับเป็นลมล้มพับไปทันทีเลยหรือ

ซินเย่ว์สองมือสั่นเท่าระหว่างเก็บอาหารที่กินเหลืออยู่บนโต๊ะ นางมีความสุขมาก อวิ๋นเยี่ยไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงมีความสุขมากเพียงนี้ เพิ่งจะรู้จักกันเพียงหนึ่งเดือนเอง ใช่แล้วหรือ

เมื่อส่งซินเย่ว์ออกไป สาวใช้ที่ชื่อเสี่ยวชิวก็รอนางอยู่ตรงหน้าประตูแล้ว จ้องมองอวิ๋นเยี่ยด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ดั่งโจร ราวกับกำลังมองหมาป่าที่แกล้งทำเป็นเซื่องๆ ระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่

เมื่อซินเย่ว์จากไป หลี่ไท่ซึ่งอยู่ห้องถัดไปก็มุดเข้ามา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าบ้านี่เงี่ยหูฟังอยู่ตลอด

“พี่เยี่ย เจ้าชอบพี่สาวของข้าไม่ใช่หรือ ทำไมจึงได้ว่ายุ่งวุ่นวายกับผู้หญิงคนนี้” ให้ตายสิ ใช้ลักษณะคำพูดเหมือนน้องเขยกำลังต่อว่าพี่เขยชัดเจนเลย

“ตาข้างไหนของเจ้าเห็นว่าพวกข้าพัวพันกัน พี่สาวเจ้าก็ไม่ชอบข้าเสียหน่อย ทำไมข้าต้องไปรนหาที่ให้โดนตอกหน้าด้วย”

“ข้าวาดภาพไว้หลายภาพเพื่อเป็นหลักฐานแล้ว เจ้าดูนี่เป็นผู้หญิงคนนั้นที่เข้าประตูอย่างลับๆ ล่อๆ นี่คือภาพเงาของพวกเจ้าที่สะท้อนอยู่บนหน้าต่าง นี่เป็นภาพที่พวกเจ้าอาลัยอาวรณ์ต่อกัน ก็เพียงแค่ผู้หญิงคนเดียวไม่ใช่หรือ ทั้งยังให้สาวใช้ยืนเฝ้าหน้าประตู ทำให้ข้าไม่สามารถเข้าไปใกล้ประตูได้” อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าหากตอนนี้มีกล้องอ ยู่หลี่ไท่จะต้องปีนขึ้นไปบนหลังคาและแอบถ่ายภาพลับของคนอื่นอย่างแน่นอน เช่นนี้เรียกว่าองค์ชายที่ไหนกัน เป็นปาปารัซซี่ที่ไร้คุณธรรมชัดๆ

อวิ๋นเยี่ยเดินไปเข้านอนพร้อมรอยยิ้ม ก่อนเข้านอนเขาได้เข้าใจทุกเรื่องอย่างปรุโปร่งแล้ว วันนี้ทุกคนกำลังเปิดทางให้กับซินเย่ว์ ที่บ้าน ในสำนักศึกษา แม้แต่ซุนซือเหมี่ยวก็ทำเช่นนี้ พวกเขากำลังหวังว่าอวิ๋นเยี่ยและซินเย่ว์จะได้เป็นสามีภรรยากัน ไม่ว่าจะมองจากผลประโยชน์ส่วนตัวหรือมองจากอนาคตของสำนักศึกษา สิ่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซินเย่ว์เป็นผู้หญิงที่น่ารักและใจกล้า พฤติกรรมต่างๆ ในวันนี้ล้วนอยู่เหนือขัดจำกัดสูงสุดของพฤติกรรมของหญิงสาวโดยทั่วไป ซึ่งต้องการความกล้าหาญอย่างมากที่จะแสดงออกอย่างใจกล้าเมื่อเจอคนที่ตัวเองชอบ ทำให้อวิ๋นเยี่ยมีความรู้สึกว่าได้กลับไปยังยุคปัจจุบันที่คุ้นเคย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เดินก้าวคิดก้าวก็แล้วกัน

 ซุนซือเหมี่ยวกำลังยุ่งอยู่กับกลุ่มผู้ประสบภัย นักเรียนสิบกว่าคนที่ติดตามมาจากสำนักศึกษา แต่ละคนแบกหาบกันคนละหาบ โดยในหาบมียาฆ่าเชื้อที่เหล่าซุนเพิ่งจะคิดค้นขึ้นใหม่ซึ่งห่อด้วยกระดาษเป็นยาสำเร็จรูป หากมีโรคก็ใช้รักษา หากไม่มีโรคก็เก็บไว้ป้องกันตัวเอง ดูไปแล้วเหมือนโฆษณายาลูกกลอน แต่สมุนไพรในส่วนผสม เช่น สะระแหน่และต้นจินอิ๋นฮวา เป็นสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยเสียเงินซื้อซื้อมาจริงๆ อย่าว่าแต่ให้ผู้ประสบภัยกิน นักเรียนที่สำนักศึกษาก็ต้องดื่มวันละชาม บรรดาอาจารย์ก็ไม่ละเว้น

นายอำเภอเมืองหลานเถียนที่มาตรวจตราพร้อมกับอวิ๋นเยี่ยปากก็พูดยกยอปอปั้นไม่มีหยุด

“ตรงไหนที่ว่าเป็นผลงานของข้า ข้าเพียงแค่ต้องการแรงงานเพื่อสร้างสำนักศึกษาเท่านั้น ฝ่าบาทและขุนนางในราชสำนักก็ได้ให้การสนับสนุนแก่ข้ามากถึงเพียงนี้ รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง นายอำเภอเหอต้องเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวันทุกคนก็เป็นประจักษ์พยานได้ ความขยันขันแข็งของเจ้าหน้าที่ก็เป็นสาเหตุของความสำเร็จของสำนักศึกษาด้วย ผู้ประสบภัยควรจะขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นพระองค์แรก ได้ยินว่าเหล่าพระสนมก็พระราชทานทรัพย์ที่ซื้อเครื่องพระสำอางด้วย นี่เป็นพระเมตตาเพียงใดกัน สามารถได้เกิดมาในแผ่นดินนี้ เราควรจะปลาบปลื้มจึงจะถูก”

อวิ๋นเยี่ยหันไปยังทิศที่ตั้งของเมืองฉางอันและทำการคารวะอย่างนอบน้อม สร้างภาพเสร็จแล้ว นายอำเภอเหอเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของอวิ๋นโหว รู้สึกชื่นชมนับถืออวิ๋นโหวที่ไม่สนใจชื่อเสียงและลาภยศสรรเสริญมากขึ้นไปอีก รู้สึกมีความสุขที่ตัวเองได้เก็บเกี่ยวผลงานที่ยิ่งใหญ่ให้ทางราชสำนักได้อย่างน่าประหลาดใจ แน่นอนว่าคำประจบสอพลอระลอกใหม่ก็เกิดขึ้น

ในเขตปกครองของตน หากมีขุนนางที่มีชื่อเสียงและตำแหน่งสูงเช่นตระกูลอวิ๋น แต่เดิมนับเป็นความทุกข์เศร้าของนายอำเภอ แต่แล้วตระกูลอวิ๋นกลับไม่สนใจชื่อเสียงและลาภยศ ทั้งยังไม่เคยแทรกแซงการปกครองเมืองหลานเถียน สนใจแต่เพียงการพัฒนาสำนักศึกษาของตนเอง คราวก่อนที่อวิ๋นเยี่ยขี่ม้าบุกหมู่บ้านตระกูลหู นั่นเป็นเพียงแค่การทะเลาะกันของบุคคลด้านบนซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับขุนนางตัวเล็กๆ อย่างตัวเขา ยังไม่ถึงขั้นที่ว่าต้องไว้หน้าหรือไม่ไว้หน้า

เดิมคิดว่าภัยพิบัติคราวนี้ตัวเองก็คงหนีไม่พ้นแล้ว คิดไม่ถึงว่าตระกูลอวิ๋นจะจับตั๊กแตนฝูงมหึมาได้จนหมดสิ้นอย่างไม่เป็นปัญหา ทุกวันนี้ได้ทำการบดเป็นผงและเก็บไว้ในโกดัง ได้ยินว่ามันเป็นสมุนไพรที่มีค่ามาก แม้ว่าทุ่งนาในอำเภอก็ประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก แต่ก็ไม่ถึงกับไร้ซึ่งผลผลิต สำนักศึกษาเริ่มโครงการสร้างบ้านขนาดใหญ่ ผู้ประสบภัยส่วนใหญ่ก็พึ่งพาตระกูลอวิ๋นในการเลี้ยงชีพ ทำให้เขาสบายขึ้นมาก เพียงแค่เอาเสบียงที่ขนมาเมื่อปีที่แล้วขายให้กับตระกูลอวิ๋นในราคาเดิมก็พอ ตระกูลใหญ่เช่นนี้นายอำเภอเหอรู้สึกว่ายิ่งมีมากเท่าไหร่ยิ่งดี

เมิ่งโหย่วถงกำลังแจกจ่ายยาฆ่าเชื้อ ทุกครั้งแจกก็จะบอกวิธีต้มเป็นยาน้ำให้แก่ผู้ประสบภัย ด้วยท่าทีที่จริงจังทำให้ยากที่จะจินตนาการได้ว่า บุคคลนี้เมื่อปีที่แล้วยังคงเป็นคุณชายเจ้าสำราญจอมซื่อบื้ออยู่เลย

เมื่อมีคนจำนวนมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการป้องกันการแพร่ระบาด ตระกูลอวิ๋นกำหนดข้อบังคับว่า ทุกคนที่ทำงานทุกอย่างให้ตระกูลอวิ๋นจะต้องขยันอาบน้ำ ห้ามดื่มน้ำดิบอย่างเด็ดขาด หากมีใครฝ่าฝืนกฎข้อนี้  จะให้เขาและครอบครัวของเขาย้ายออกจากเขาอวี้ซันและไม่มีคำว่าผ่อนปรนอย่างเด็ดขาด นี่เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ดูแลกำชับนักหนา พวกเขาเองก็ไม่ต้องการให้เกิดโรคระบาดขึ้นที่นี่ ตอนนี้วิธีจัดการกับพื้นที่ที่ติดเชื้อนั้นไม่มีใครกล้าคิด หากใครคิดคนนั้นก็คงได้ขวัญหนีดีฝ่อ

ปูนขาวปริมาณมากได้ถูกโรยไว้อยู่ทั่วทุกพื้นที่ ในตอนนี้แม้แต่เด็กเล็กก็รู้ว่าหากจะปัสสาวะหรืออุจจาระจะต้องไปที่ห้องน้ำ หากปัสสาวะหรืออุจจาระตามใจชอบจะถูกขับออกไปทั้งครอบครัวและจะไม่มีอาหารกินอีกต่อไป เด็กๆ ของราชวงศ์ถังโดยเฉพาะเด็กๆ ในครอบครัวของเกษตรกรเชื่อฟังแต่โดยดี ชวนให้เอ็นดูจริงๆ เด็กอายุห้าหกขวบแบกน้องชายและน้องสาวไปเดินเล่นที่เชิงเขา เมื่อพวกเขาเห็นไม้แห้งก็จะลากกลับมาเพื่อใช้เป็นฟืนในการทำอาหาร เมื่ออวิ๋นเยี่ยเห็นเด็กเล็กคนหนึ่งแบกน้องๆ ที่อายุน้อยกว่าตัวเองหอบกองไม้แห้งหนึ่งมัดไว้ในอ้อมแขนนั้น ในใจของเขาก็ยิ่งเกลียดชังพวกต่ำช้าที่อยู่ในเมืองฉางอันมากขึ้นเรื่อยๆ  ทุกครั้งที่เขาเห็นเด็กตัวเล็กๆ กำลังยกจอบขึ้นพยายามจะทุบหินก้อนโตนั้น ในใจก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่ได้

เขาไม่เคยเห็นฉากเช่นนี้มาก่อน ลูกชายจอมอ้วนของฉันรู้แค่ว่ากินอิ่มท้องไม่ต้องหิว ทุกวันไปโรงเรียนและเลิกเรียน รู้เพียงแค่ว่าอาหารของที่บ้านไม่อร่อยเท่าร้านอาหารฟาสฟู้ดตะวันตก รู้เพียงแค่ว่าพ่อเขาไม่อนุญาตให้เล่นเกมก็อารมณ์เสีย

ความหิวโหยเป็นครูที่ดีที่สุดและเป็นครูที่โหดเ**้ยมที่สุด ตอนนี้เขาสอนเด็กเหล่านี้ให้ขยันหมั่นเพียรแต่เนิ่นๆ และสอนให้รู้จักประหยัด

“เสี่ยวเยี่ย เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” หลี่เค่อกระโดดลงจากหลังม้า เห็นอวิ๋นเยี่ยยืนเหม่อจึงถามขึ้น

“กำลังคิดว่า จะต้องทำเช่นไรข้าจึงจะไม่ต้องเห็นเด็กที่โชคร้ายเหล่านี้”

“ก็ไล่ออกไปสิ จะมีอะไรยาก”

“เจ้าคิดเช่นนี้จริงๆ หรือ” อวิ๋นเยี่ยจ้องที่ตาของหลี่เค่อโดยไม่กระพริบตา

หลี่เค่อโดนอวิ๋นเยี่ยจ้องจนเริ่มรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาอ้าปากแต่ไม่ได้พูดอะไร อาจเป็นเพราะรู้สึกได้ว่าก่อนหน้าอาจพูดผิดไป เพียงแต่ไม่รู้ผิดที่ตรงไหน จึงไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี

“ถ้าหากเจ้าพูดประโยคนั้นซ้ำอีกครั้ง แม้ว่าจะต้องเสี่ยงกับผลที่ตามมาว่าจะต้องถูกฝ่าบาทลงอาญา ข้าก็จะขับเจ้าออกไปจากเขาอวี้ซัน ถ้าหากสำนักศึกษาของเขาอวี้ซันจะอบรมศิษย์ที่ความคิดเช่นเจ้าออกมา ข้าจะเผาสำนักศึกษาด้วยมือข้าเอง ก็จะไม่ยอมเหลือภัยร้ายมาทำลายใต้หล้านี้”

“ขออาจารย์โปรดชี้แนะ” หลี่เค่อสีหน้าจริงจังค้อมกายคารวะ

“พวกเราสามารถเป็นคนต่ำช้าและไร้ยางอายได้ ข้อนี้ไม่เป็นไร เพราะนี่คือสัญชาตญาณตามธรรมชาติของมนุษย์ เหตุผลที่เราอยู่เหนือสัตว์ป่าเหล่านั้นนั่นก็เป็นเพราะพวกเรารู้จักใช้ความคิดที่สลับซับซ้อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเองได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดไปเสียทั้งหมด ปลาใหญ่กินปลาเล็กนี่เป็นวัฏจักรของสัตว์ป่า แต่ไม่ใช่กับมนุษย์เรา ความเมตตาจะต้องคงอยู่ มันเป็นตัวชี้วัดว่าบุคคลคนนั้นได้รับการอบรมเลี้ยงดูหรือไม่และเป็นองค์ประกอบแรกว่าคู่ควรจะคงอยู่หรือไม่ ข้ารู้ว่าเจ้าได้รับการปลูกฝังอย่างราชนิกูลมาตั้งแต่เด็กว่าสรรพสิ่งในใต้หล้านี้ล้วนแล้วแต่มีไว้เพื่อข้า เป็นผู้สูงส่งอยู่เหนือผู้คน ประชาราษฎร์ต้องยำเกรง ผู้ที่แข็งแกร่งได้ครอบครองทุกสิ่ง ผู้ที่อ่อนแอจะไม่มีอะไรเลย ข้าไม่มีกำลังพอที่จะเปลี่ยนความเป็นจริงนี้ได้ เพียงหวังว่าเจ้าจะมีความเมตตาสงสารให้มากขึ้นอีกสักนิด ลดความโหดเ**้ยมให้น้อยลง การเห็นเด็กๆ เหล่านี้ไม่ใช่ทำง่ายๆ ด้วยการขับไล่ไป แต่ต้องช่วยนำทางและช่วยเหลือพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่ต้องโชคร้ายอีก เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดเรียกลมเรียกฝนได้โดยไม่ต้องกังวลว่าเรือของเจ้าจะอับปาง เพราะมีพวกเขาช่วยเจ้า อุปสรรคทั้งหมดในโลกนี้ก็จะเป็นเพียงเรื่องตลก”