DND.704 – พลังอสูรเนรมิตร
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงแทรกเข้ามา
“พี่ซือหยู!ข้าคิดถึงพี่จังเลย!”
หญิงสาวร่างเล็กวิ่งมาจากสวนด้วยความยินดีในแววตานางกระโดดเข้าไปยังอ้อมแขนของซือหยู
สำหรับซือหยูทุกอย่างที่เป็นนางคือความคุ้นเคย กลิ่น พลัง ร่างกาย และความอบอุ่นที่เหมือนการได้กลับบ้าน ซือหยูยิ้มอย่างอ่อนโยนและโอบแขนก้มลงมองหน้านางชัดๆ
พวกเขาทำเหมือนกับตอนอายุสิบสี่และตอนนี้ทั้งคู่ก็อายุสิบแปดแล้ว ดูเหมือนว่าเวลาจะไม่ได้สร้างริ้วรอยให้กับสาวน้อยผู้นี้เลย
นอกจากการเติบโตขึ้นเล็กน้อยนางไม่มีท่าทีว่าจะแก่ตัวลงเลย นางยังคงเป็นดังเดิมเหมือนตอนที่พบกันครั้งแรกในเขารัตติกาล
ใบหน้าของนางเรียบเนียนนางมีดวงตาสดใสดั่งแก้วที่ประดับด้วยขนตายาว ริมฝีปากอวบอิ่มของนางมีสีลูกท้อและจมูกที่ชี้ออกมาอย่างสง่างาม รูปลักษณ์ของนางไม่ต่างจากตุ๊กตาที่สลักมาอย่างดี
ตอนนี้ดวงตากลมโตของนางประดับไปด้วยน้ำตาแห่งความยินดี นางกอดซือหยูต่อหน้าทุกคนโดยไร้ความเขินอาย มันให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติราวกับการกอดคนในครอบครัว
“เซี่ยนเอ๋อ”
ซือหยูลูบหัวนางด้วยความรัก
“ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง?”
เซี่ยนเอ๋อพยักหน้าในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขา
“ท่านพ่อสบายดีท่านพ่อคิดถึงพี่มากเลยนะ”
ซือหยูยิ้มอย่างอบอุ่น
“ผ่านมาเจ็ดปีแล้วข้าจะได้ทำสิ่งที่ท่านพ่อต้องการเสียที เซี่ยนเอ๋อ เจ้าพร้อมหรือยัง?”
เซี่ยนเอ๋อแก้มแดงอย่างน่าหลงใหลนางในตอนนี้งดงามยิ่งกว่าสตรีคนใด
“ข้าพร้อม…”
เซี่ยนเอ๋อกอดซือหยูแน่นกว่าเดิมด้วยความเขินอายนางขยับปากเบาๆ
“ข้าคือผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลกใบนี้ข้าจะเป็นเจ้าสาวของพี่ซือหยูตลอดไป!”
เหตุการณ์อบอุ่นหัวใจทำให้เหล่าผู้คนยิ้มแย้มเหล่าคนที่รับรู้ถึงความท้าทายระหว่างทั้งสองที่ต้องเจอต่างถอนหายใจด้วยความสุข ในที่สุดทั้งคู่ก็จะได้แต่งงานกันหลังจากผ่านเรื่องราวมานับไม่ถ้วน!
ไม่นานซือหยูเลิกคิ้วและถาม
“เซี่ยนเอ๋อเจ้ายังไม่เป็นภูติอีกรึ? โอสถภูติไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าเลยรึ?”
เซี่ยนเอ๋อเป็นกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงก่อนที่ซือหยูจะออกมาจากก้นบึ้งมังกรตอนที่เขาออกมาสู้ เขาได้ทิ้งม้าเมฆาที่จะช่วยให้ทุกคนเพิ่มพลังงไปอีกระดับ แต่มันกลับไร้ค่าต่อเซี่ยนเอ๋อ
ราวกับว่าการทะลวงพลังของเซี่ยนเอ๋อนั้นเกิดขึ้นได้ยากจนโอสถธรรมดามิอาจส่งผลหลังจากที่คิดอ่านดูก็เป็นไปได้สูงว่าเกิดจากำร่างกายของนางที่ไม่เหมือนผู้ใด
ร่างกายของเซี่ยนเอ๋อนั้นมีคุณสมบัติของวิหคเพลิงแห่งความตายที่มาจากวิหคเพลิงเก้าหางร่างกายของนางมีคุณสมบัติที่จะบัญชาความเป็นความตายของสรรพสิ่ง ซึ่งมันเป็นพลังที่ลึกลับและน่ากลัวอย่างมาก!
แม้แต่หยุนย่าสีที่อยากได้คนเช่นนี้เป็นศิษย์ก็มิอาจได้สิ่งที่ต้องการนี่จึงเป็นเหตุให้เขาเดาว่าเซี่ยนเอ๋อทะลวงพลังได้ยากเพราะคุณสมบัติของตัวนางเอง
ซือหยูอยากจะถามหยุนย่าสีถึงเรื่องนี้แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องในกระโจมเทพสวรรค์ หยุนย่าสีได้จมอยู่ในความหลับใหลมาจนถึงวันนี้
สุดท้ายซือหยูจึงให้โอสถภูติกับเซี่ยนเอ๋อก่อนที่เขาจะปิดประตูฝึกตน เขาได้โอสถนี้มาจากแหล่งเก็บสมบัติโอสถของเทียนจี่จื้อที่กระโจมเทพสวรรค์
เทียนจี่จื้อได้ปรุงโอสถนี้ขึ้นมาเองและพูดว่ามันจะทำให้คนกลายเป็นภูติได้แน่นอนตามพลังที่เทียนจี่จื้อมี คำกล่าวของเขานั้นน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก
และเขาก็ต้องนับคนที่มีคุณสมบัติพิเศษอย่างเซี่ยนเอ๋อด้วยดังนั้นซือหยูจึงตัดสินใจให้โอสถภูติกับเซี่ยนเอ๋อ แต่ซือหยูก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่านางยังไม่ก้าวมาเป็นภูติ
“ไม่หรอกข้าคิดว่าโอสถจะต้องทำให้ข้าเป็นภูติได้แน่ ร่างกายของข้าต้องการมันด้วยซ้ำ!”
เซี่ยนเอ๋อส่ายหน้า
ซือหยูยินดีที่ได้ยินดังนั้นแต่เขาก็หยุดนิ่งไปครู่หนึ่งและถามนาง
“แล้วทำไมเจ้ายังไม่กินล่ะ?เจ้าไม่อยากจะเป็นภูติหรอกรึ?”
เซี่ยนเอ๋อเงยหน้านางยื่นมือเล็กๆลูบใบหน้าของเขา
“ข้าอยากเป็นภูติข้าฝันหาแม้ยามนอน แต่ข้าอยากให้พี่เป็นภูติมากกว่าสิ่งใด เพราะข้าเห็นแต่ความผิดหวังในดวงตาพี่”
ซือหยูกอดเซี่ยนเอ๋อแน่นยิ่งขึ้นเซี่ยนเอ๋อที่คิดถึงเขาทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมาก
หลังจากที่ใจเย็นซือหยูก็รับรู้ถึงอะไรบางอย่าง เซี่ยนเอ๋อรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ราวกับว่านางอ่านใจเขาได้!
เขามองดวงตาสดใสตรงหน้าและพบว่าเด็กสาวในอดีตได้เติบโตแล้ว
“ขอบคุณนะเซี่ยนเอ๋อ….”
ความอบอุ่นในใจซือหยูชะล้างความผิดหวังในอดีตไปสิ้น
แม้เขาจะไล่ตามหนทางแห่งการบ่มเพาะพลังไม่ได้อีกเขาก็มีภรรยาผู้งดงามที่จะติดตามเขาไปตลอดชีวิต เขาไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
“เซี่ยนเอ๋อกินโอสถเถอะ ข้าถึงสุดทางของการบ่มเพาะพลังในโลกนี้แล้ว ข้าจะกินมันเองหรือไม่ก็ไม่มีผลกับข้าแล้ว…”
ซือหยูพูดด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยนเอ๋อส่ายหน้า
“ไม่ข้าจะเหลือมันให้พี่ พี่ซือหยูต้องใช้มันตอนที่หายแล้ว”
ซือหยูอยากจะเกลี้ยกล่อมนางแต่เขาเห็นถึงความตั้งใจอันไม่ยอมแพ้จากนาง และเหนือสิ่งอื่นใด ทวีปเฉินหลงในตอนนี้ได้กลับมาสงบสุขอีกครั้งแล้ว
และทุกหนแห่งยังอยู่ในการปกครองของเขาไม่มีใครจะทำร้ายเซี่ยนเอ๋อได้ และในอนาคตยังมีโอกาสมากมายนักที่เขาจะชักจูงนางให้กินโอสถภูติ
“เอาเถอะแล้วจิงหยูกับผู้เฒ่าฉิวล่ะ? พวกนางตื่นหรือยัง?”
ซือหยูถาม
เซี่ยนเอ๋อเงยหน้าด้วยความยินดี
“พี่จิงหยูตื่นแล้ว!”
เมื่อได้ยินข่าวซือหยูรู้สึกราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก เซี่ยจิงหยูหมดสติมานานแล้ว นางควรจะตื่นขึ้นมาตั้งแต่หลายเดือนก่อน แต่นางกลับไม่ตื่นขึ้นมา ซือหยูกังวลว่าอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ทำร้ายนางอยู่
“แต่ผู้เฒ่าฉิวยังคงไม่ได้สติข้าไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่มีหลายครั้งที่ท่านอาจารย์เกือบจะตื่นขึ้นมาแต่ก็กลับไปหลับใหลในทันทีหลังจากนั้น”
เซี่ยนเอ๋อค่อนข้างโศกเศร้า
เพราะผู้เฒ่าฉิวคืออาจารย์ของนางความเจ็บป่วยของอาจารย์ทำให้นางเศร้าหมอง ซือหยูเป็นห่วงเรื่องนี้เช่นกัน
“ไปหาพวกนางกันเถอะพวกเจ้ากลับไปทำงานต่อได้แล้ว”
ซือหยูสั่งคนรอบๆอย่างเรียบง่ายและพาเซี่ยนเอ๋อไปในเขตหวงห้ามในเขตการรักษามันคือที่ที่เซี่ยจิงหยูกับผู้เฒ่าฉิวพักรักษาตัว ที่นี่มีภูติสิบคนลาดตระเวนตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแมลงแม้แต่ตัวเดียวที่ผ่านไปได้
ที่นี่มีหมอที่ดีที่สุดในทวีปรวมตัวกันเพื่อดูแลสตรีสองคนเมื่อซือหยูกับเซี่ยนเอ๋อเดินเข้าไปก็มีสตรีผอมบางที่ผิวซีดในสายตา
นางคือผู้เฒ่าฉิวนางยังคงขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดขณะที่หลับใหล
ซือหยูแตะข้อมือของนางด้วยดัชนีและส่งพลังวิญญาณเข้าไปจู่ๆเขาก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“พลังนี้…มันคุ้นๆไม่ใช่เรอะ?นี่มันพลังของอสูรเนรมิตร!”
จู่ๆเสียงของผู้เฒ่าจิวก็ดังมาจากด้านหลังซือหยูเสียงของเขาเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
ผู้เฒ่าจิวอยู่ในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เพราะไม่มีที่อื่นให้ไปอีกเขามามองดูอาการของผู้เฒ่าฉิวโดยตรง
ซือหยูชักสีหน้าเขาถาม
“ทำไมยังมีพลังของอสูรเนรมิตรอยู่ในตัวนางอีกล่ะ?”
“มันจะต้องไม่เกิดขึ้นเองแน่มันควรจะอยู่ภายในนางมาโดยตลอด เราแค่ไม่ได้สังเกตมันเร็วๆนี้…”
ผู้เฒ่าจิวขมวดคิ้วแน่นเขาดูสับสนเป็นอย่างมาก
เพราะตอนนี้ก็ไม่มีอสูรเนรมิตรอยู่ในทวีปเฉินหลงอีกแล้วไม่ควรจะมีพลังของคนระดับนี้อยู่ในร่างกายของนางอีก
“หรือว่านางจะถูกอสูรเนรมิตรจู่โจมอีกครั้ง?”
ซือหยูถามขณะที่ครุ่นคิด
ในตอนนั้นเองเขาก็หันไปมองตาผู้เฒ่าจิว ทั้งสองตกใจขึ้นมาพร้อมกัน
“หรือว่าจะเป็นจ้าวศักดิ์สิทธิ์?!”
ทั้งสองพูดขึ้นมาพร้อมกัน
ตั้งแต่การต่อสู้ในก้นบึ้งมังกรพวกเขาได้พบว่าสามศักดิ์สิทธิ์กับจ้าวศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่ในทวีปเฉินหลงมาโดยตลอด เขายังคงซ่อนตัวอยู่และไม่ปรากฏตัวออกมา
จ้าวศักดิ์สิทธิ์คือคนที่ซือหยูกังวลมากที่สุดแต่หลังจากที่คิดอีกครั้ง ซือหยูก็คิดว่ามันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะถ้าจ้าวศักดิ์สิทธิ์มีฐานพลังระดับนั้นจริงเขาก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องซ่อนตัว! และราชาเขตกลางเองก็คงไม่ต้องให้จักรพรรดิโลหิตเข้ามาที่นี่โดยต้องสละสมบัติภูติไป
“ถ้าอย่างนั้น…แล้วใครทำร้ายนางกันเล่า?”
ซือหยูเงียบไปนาน