บทที่ 425 กลับตาลปัตร

บัลลังก์พญาหงส์

​จิ้งหลิงอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก

นางคิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะข้อร้องให้นางช่วยเรื่องนี้…ถึงแม้เมื่อก่อนก็เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่ในตอนนั้นถึงอย่างไรก็ยังอยู่ในจวนอ๋อง อีกทั้งยังอยู่ที่เรือนเฉินเซียง อยู่ในที่ของถาวจวินหลันเอง แต่ในตอนนี้ นางกลับต้องไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน…

พูดไม่น่าฟังคือ เรื่องที่จะเกิดขึ้นข้างนอกนั้น นางจะทำอะไรก็ได้มิใช่หรือ? หากนาง ‘ไม่ระวัง’ จนซวนเอ๋อร์กับหมิงจูเป็นอะไรไป นั่นก็เป็นเรื่องง่ายดาย

ความเชื่อใจนี้ทำให้จิ้งหลิงแปลกใจ อีกทั้งสิ่งที่ต้องรับผิดชอบนั้น ทำให้นางลังเล ความรับผิดชอบนี้หนักหนาจนเกินไป ทำให้นางรู้สึกแบกรับเอาไว้ไม่ไหวจริงๆ หากเกิดเรื่องอะไรกับซวนเอ๋อร์และหมิงจู แม้แต่ให้นางชดใช้ด้วยชีวิตก็คงชดใช้ไม่ได้

แต่พอนางมองแววตาอ้อนวอนของถาวจวินหลัน จิ้งหลิงกลับรู้สึกพูดอะไรไม่ออก คำพูดที่จะปฏิเสธจุกอยู่ที่คอ แต่กลับพูดออกมาไม่ได้

สุดท้ายแล้ว หลังจากลังเลอยู่สักพัก จิ้งหลิงก็พ่ายแพ้ให้กับสายตาคาดหวังและอ้อนวอนของถาวจวินหลัน

แต่ว่า จิ้งหลิงก็ยังพูดความคิดของตัวเองออกมา “หากจะให้ข้าช่วยดูแลจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ท่านก็ยังต้องส่งคนไปช่วยสักหน่อย ไม่เช่นนั้นข้าแค่คนเดียวจะดูแลเด็กตั้งสามคนได้อย่างไร? อีกทั้งทหารอารักขาก็ต้องมีเพียงพอ ท่านอ๋องฐานะสูงส่ง ซวนเอ๋อร์ยังเป็นลูกชายคนโตของท่าน พวกเราจะต้องระวังเป็นอย่างมาก ข้อสุดท้าย ก็คือเรื่องพระชายารองเจียง…พูดตามตรง ข้าไม่อยากอยู่ร่วมกับพระชายารองเจียงนัก”

จิ้งหลิงพูดอย่างแฝงนัย แต่ถาวจวินหลันก็เข้าใจถึงความหมายของนางได้ไม่ยาก จิ้งหลิงไม่เชื่อใจเจียงอวี้เหลียน และต้องการจะป้องกันเจียงอวี้เหลียนไว้ก่อน

ถาวจวินหลันส่ายหัว “เรื่องนี้ข้าคงทำอะไรไม่ได้…จะปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกันคงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาจมีคนเอาไปนินทาได้ ถึงตอนนั้น ข้าจะให้คนแยกเรือนของพวกเจ้าให้เรียบร้อย พวกเจ้าไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกันก็พอ ส่วนคนในเรือนนั้นข้าจะเป็นคนจัดการเอง เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลมากไปนัก”

ถาวจวินหลันพูดเช่นนี้แล้ว จิ้งหลิงก็สบายใจไม่น้อย จากนั้นก็พยักหน้า “ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”

จิ้งหลิงพูดเช่นนี้ ก็ถือว่าแสดงความจริงใจออกมาอย่างที่สุดแล้ว ถาวจวินหลันจึงโล่งใจ แล้วก็ยิ้มบางๆ “ขอบใจเจ้ามาก”

จิ้งหลิงหัวเราะอย่างขมขื่น “รอจนข้าพาซวนเอ๋อร์กับหมิงจูกลับมาส่งให้ท่านอย่างปลอดภัย ท่านค่อยขอบคุณข้าก็ยังไม่สาย”

ถาวจวินหลันส่ายหัว “แค่เจ้ายินดีช่วยข้า ข้าก็ซาบซึ้งใจเป็นที่สุดแล้ว”

“แล้วคนอื่นๆ ในจวนอ๋องเล่า” จิ้งหลิงคิดแล้วก็ถามออกมา “หากไม่พาพวกนางไปด้วย เกรงว่าพวกนางรู้เข้าจะไม่สบายใจได้”

ถาวจวินหลันส่ายหัว “ถึงแม้ว่าจะส่งพวกนางออกไปก็ไม่สามารถไปพร้อมกับพวกเจ้าได้ ข้าไม่เชื่อใจถาวจือกับกู่อวี้จือเลย ที่ให้เจียงอวี้เหลียนไปด้วยก็เพราะเห็นว่ามีเซิ่นเอ๋อร์ อีกทั้งยามปกติพวกนางได้อยู่อย่างมีเกียรติและมีฐานะสูงส่ง ตอนนี้ก็ควรจะต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนบ้าง แต่ว่า ข้าเองก็ไม่ใช่คนจิตใจอำมหิต หากสถานการณ์ย่ำแย่จริงๆ ข้าก็จะส่งพวกนางออกจากเมืองหลวงเช่นกัน”

“เช่นนั้นข้าจะพูดกับพวกนางไว้ก่อน” จิ้งหลิงครุ่นคิดอยู่สักพักก็พูดออกมา น้ำเสียงเบาลงไปเล็กน้อย “เกรงว่าพวกนางจะก่อเรื่องวุ่นวายอะไรอีก”

ใบหน้าของถาวจวินหลันเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว “หากตอนนี้พวกนางกล้าสร้างเรื่องวุ่นวายขึ้น ข้าเองก็จะไม่ปล่อยพวกนางไว้เช่นกัน!” สักพักก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องนี้ข้ารู้ดีว่าควรทำเช่นไร เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป”

จิ้งหลิงพยักหน้าแล้วขอตัวกลับ บอกว่าต้องรีบกลับไปเก็บของ

หลังจากจิ้งหลิงกลับไปแล้ว ถาวจวินหลันก็อดไปดูซวนเอ๋อร์และหมิงจูไม่ได้ แต่ก่อนหน้านั้น นางยังได้เรียกโจวอี้เข้ามาสอบถาม…เนื่องจากตอนนี้อาการบาดเจ็บของโจวอี้เพิ่งดีขึ้น หลี่เย่จึงไม่ให้โจวอี้คอยติดตาม ดังนั้นเรื่องนี้จึงไปตกอยู่ที่โจวอี้

โจวอี้เป็นคนรอบคอบมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนี้มอบให้โจวอี้ ถาวจวินหลันก็รู้สึกวางใจ

ทางด้านเจียงอวี้เหลียนที่ปึงปังกลับเรือนชิวอี๋ของตัวเอง ก็นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความโกรธ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จากนั้นก็กระทืบเท้าอย่างแรง แล้วพูดอย่างโมโหว่า “พวกนางจะต้องมีอะไรปิดบังข้าอย่างแน่นอน! ถาวซื่อหญิงแพศยา จะต้องคิดเล่นงานข้าอย่างแน่นอน! มิเช่นนั้นคงไม่ทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้”

ในตอนนี้เจียงอวี้เหลียนโกรธเสียจนลืมไปแล้วว่าจริงๆ แล้ว ถาวจวินหลันนั้นไม่ได้ทำอะไรลับๆ ล่อๆ แต่กลับทำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา

ไม่อย่างนั้น หากต้องการทำอะไรลับๆ ล่อๆ แล้วจะพูดเช่นนั้นต่อหน้าเจียงอวี้เหลียนได้อย่างไรกัน? เช่นนั้นไม่เท่ากับตระโตกกระตากหรอกรึ?

ลู่ฉี่รีบยกชามาให้เจียงอวี้เหลียน แล้วปลอบนางว่า “พระชายารองอย่าโกรธมากจนทำร้ายสุขภาพเลย ได้ไม่คุ้มเสียหรอกเจ้าค่ะ คิดถึงคุณชายเซิ่นเอาไว้ดีกว่านะเจ้าคะ”

เจียงอวี้เหลียนรับชามา เปิดฝาออกยังไม่ทันยกขึ้นดื่ม ก็ปิดฝาลงไปเสียงดังอย่างโมโห ถ้วยชากับฝากระทบกันเสียงดัง จนสงสัยว่าถ้วยใบนั้นแทบจะแตกแล้ว

ลู่ฉี่ตกใจ แล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เพียงแต่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ รอให้เจียงอวี้เหลียนหายโกรธ

แต่เจียงอวี้เหลียนกลับไม่ได้หายโกรธง่ายดายเช่นนั้น นางยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง สุดท้ายก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไม่ มีอะไรบางอย่างแปลกๆ”

ขณะที่กำลังพูดกันอยู่นั้น สาวใช้เล็กๆ  อีกคนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็เข้ามารายงานว่า “พระชายารอง ถาวจืออี๋เหนียงมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ”

เจียงอวี้เหลียนรู้สึกรำคาญใจอยู่แล้ว กำลังยกมือโบกๆ เพื่อบอกให้ถาวจือกลับไป แต่พอคิดอีกทีกลับพูดว่า “ให้เข้ามา”

พอถาวจือเข้ามา เห็นท่าทีของเจียงอวี้เหลียนดูไม่พอใจนัก หลังจากย่อตัวคำนับแล้วก็หัวเราะพูดว่า “เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ? ใครทำให้พระชายารองโกรธได้? ช่างบังอาจเสียจริง”

เจียงอวี้เหลียนเหลือตาไปมองทางถาวจือ แล้วหัวเราะเสียงเยือกเย็น “ยังมีใครทำให้ข้าโกรธได้อีกล่ะ? เกรงว่าเจ้าคงรู้ดียิ่งกว่าใคร แกล้งทำท่าทางเสแสร้งอยู่ทำไม! พูดมา เจ้ามีเรื่องอะไร?”

ท่าทีของเจียงอวี้เหลียนดูไม่เกรงใจนัก…แต่สำหรับพระชายารองพูดกับอี๋เหนียงเช่นนี้ ก็ถือว่าเหมาะสม ไม่ได้ถือว่าไร้มารยาท

ถาวจือไม่สนใจ เม้มปากยิ้มบางๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “พูดไปแล้วฐานะก็เท่าเทียมกัน พระชายารองทำไมท่านต้องทนเก็บอารมณ์โกรธเอาไว้เล่า นางก็เพียงแค่มีความโปรดปรานของท่านอ๋องหนุนหลังอยู่จึงกล้าทำเรื่องเช่นนี้ก็เท่านั้น”

เจียงอวี้เหลียนหัวเราะเสียงเย็น “แต่ข้าก็เพียงขาดความโปรดปรานจากท่านอ๋องมิใช่หรือ? ฐานะก็เท่าเทียมกัน ทำไมนางถึงได้สูงส่งกว่าข้า?” ฉับพลันก็คิดขึ้นมาได้ว่าถาวจือตั้งใจจะมายั่วอารมณ์ของนาง จึงเขม็งมองถาวจือด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าเองก็ไม่ต้องมายั่วโมโหข้า คิดว่าข้าโง่อย่างนั้นรึ? รีบพูดมา เจ้ามีเรื่องอะไร!”

“วันนี้พระชายารองถาวเชิญท่านกับจิ้งหลิงไป ข้าก็ต้องสงสัยมิใช่หรือเจ้าคะ?” ถาวจือยิ้มแล้วพูดออกมา “หากว่าแค่เชิญท่านไปก็ช่างเถิด แต่นี่เชิญจิ้งหลิงไปด้วย หมายความว่าอะไรกัน? เป็นอี๋เหนียงเหมือนกันแท้ๆ หรือว่าข้ากับกู่อวี้จือจะด้อยกว่าจิ้งหลิงอย่างนั้นหรือ? การกระทำที่ลำเอียงเช่นนี้ ทำให้ข้าไม่สบายใจเลยจริงๆ”

ถาวจือถือว่าแสดงจุดประสงค์ของตัวเองอย่างชัดเจน

เจียงอวี้เหลียนยิ้มเย็น มองไปทางถาวจืออย่างเย้ยหยัน “จิ้งหลิงเป็นคนเลี้ยงดูกั่วเจี่ยเอ๋อร์ แน่นอนว่าไม่เหมือนกับพวกเจ้า ตอนนี้ท่านอ๋องมีลูกทั้งหมดแค่สี่คน ทุกคนต่างสำคัญเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าจึงไม่เหมือนกัน”

พอพูดไปแล้ว สีหน้าของถาวจือก็เปลี่ยนไปทันที รอยยิ้มบนใบหน้าพลันหายไปไม่เหลือแล้ว มือที่ถือแก้วชาอยู่ก็บีบแน่นจนมือซีดขาว

เจียงอวี้เหลียนเห็นเช่นนั้น ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก นางไม่สบายใจ นางก็ต้องทำให้คนอื่นไม่สบายใจไปด้วย เช่นนี้ถึงจะทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้

จากนั้น เจียงอวี้เหลียนก็ค่อยๆ เล่าเรื่องที่ถาวจวินหลันพูดออกมา สุดท้ายยังยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก็ได้ยินแล้ว เกรงว่าเรื่องหลบภัยในครั้งนี้ คงไม่มีรายชื่อของอี๋เหนียงไร้ลูกและไม่รับความโปรดปรานอย่างพวกเจ้า เจ้าก็อย่าโกรธไปเลย ใครใช้ให้เจ้าไม่ได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋อง ใครใช้ให้เจ้าไม่มีวาสนาตั้งครรภ์กันเล่า?”

คำพูดของเจียงอวี้เหลียนช่างร้ายกาจและทิ่มแทงจิตใจ บวกกับรอยยิ้มที่ยินดีในความพินาศของคนอื่น ในตอนนี้ยังมีท่าทีอ่อนโยนและอ่อนหวานเหมือนปกติที่ไหนกัน? ท่าทีเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแม้แต่น้อย หากจะพูดว่าดูเปลี่ยนไปราวกับคนละคนก็ไม่เกินไปเลย

ถาวจือถูกคำพูดของเจียงอวี้เหลียนทำให้กรุ่นโกรธ นางกำแก้วน้ำในมือแน่นแล้วเม้มปาก สักพักถึงค่อยๆ เผยแววขบขันออกมาทางใบหน้าเคร่งขรึมนั้น แต่เป็นเพราะท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจึงดูอำมหิตอยู่หลายส่วน ถาวจือหัวเราะและพูดว่า “เป็นเพราะข้าไร้วาสนา แต่ข้าเห็นว่า ที่พระชายารองถาวยอมให้ท่านเดินทางไปด้วยครั้งนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่เพราะจริงใจให้ท่านเดินทางไปหลบภัยเพียงเท่านั้น”

เจียงอวี้เหลียนเริ่มหวั่นใจ “หมายความว่าอย่างไรกัน?”

“โดยปกติแล้วท่านอ๋องก็จะเสด็จมาหาแค่ท่านกับจิ้งหลิง ตอนนี้พวกท่านต่างออกจากจวนอ๋องไปแล้ว ก็จะทำให้นางได้ครอบครองท่านอ๋องเอาไว้เพียงผู้เดียว” รอยยิ้มของถาวจือยิ่งมาก็ยิ่งกว้างขึ้น ความเศร้าของนางค่อยๆ จางหายไป “ท่านไปแล้ว อย่างไรก็ต้องไปอย่างน้อยหลายเดือน รอจนกระทั่งกลับมาแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋องกับเซิ่นเอ๋อร์ ก็จะต้องห่างเหินไปอย่างแน่นอน อีกทั้ง เมื่อวานท่านอ๋องเพิ่งตรัสว่าจะมาหาท่านบ่อยๆ พอวันนี้ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น…หากให้ข้าพูด ข้าคิดว่าต้องไม่ใช่ความคิดของท่านอ๋องแน่นอน ไม่แน่ว่านางอาจคิดหาข้ออ้างเช่นนี้ก็เป็นได้”

เจียงอวี้เหลียนฟังอย่างตั้งใจ แล้วก็อดกัดฟันแน่นไม่ได้ จนเนื้อตรงกรามตึงแน่น

ถาวจือเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งพูดต่อไปอีกว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ นางทั้งได้ประจบประแจงเสแสร้งทำดีเอาหน้ากับท่านอ๋อง อีกทั้งยังได้กำจัดพวกท่านไปได้อย่างง่ายดาย เช่นนี้ไม่เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวหรือเจ้าคะ? พูดตรงๆ ก็คือ พระชายาเอกไม่มีบทบาทอะไรในจวนอ๋องแห่งนี้ ก็มีแต่ท่านกับนางที่มีฐานะเท่าเทียมกัน ตอนนี้พอท่านไปแล้ว นางก็ครอบครองจวนอ๋องแห่งนี้แต่เพียงผู้เดียว”

เจียงอวี้เหลียนฟังแล้วก็โกรธอย่างมาก โกรธจนกัดฟันกรอดๆ “ข้าก็คิดแล้วว่ามีบางอย่างแปลกๆ! เป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง! ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมนางถึงไม่กลัวตาย แล้วยังไม่ยอมเดินทางไปด้วยกัน! ที่แท้นางมีความคิดเช่นนี้นี่เอง!”

ถาวจือยิ้มบางๆ แล้วค่อยๆ ปล่อยมือที่กำแก้วชาเอาไว้แน่น นางมองไปที่มือซีดขาวของตัวเอง เตรียมนั่งดูละครสนุกๆ อย่างสบายใจ

เจียงอวี้เหลียนโกรธจนกัดฟันกรอดๆ อยู่สักพัก สุดท้ายแล้วถึงได้สงบ ก่อนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะเดินทางไปด้วยไม่ได้แล้ว ข้าจะต้องคิดทบทวนให้ดี”

ถาวจือเห็นว่าไฟกำลังครุกกรุ่นได้ที่ จึงค่อยๆ พูดเสริมไปอีกว่า “พระชายารอง หากให้ข้าพูด ข้าคิดว่าหากไม่ยอมเสียเหยื่อล่อก็จะจับเสือไม่ได้ ท่านว่าจริงหรือไม่เจ้าคะ?”

เจียงอวี้เหลียนครุ่นคิดอยู่ในใจเป็นเวลานาน อีกทั้งยังคิดถึงเรื่องที่ถาวจือพูดออกมาเมื่อครู่ สุดท้ายแล้วก็เห็นด้วย “ใช่สิ หากไม่ยอมเสียเหยื่อล่อก็จะจับเสือไม่ได้!”

ครั้งนี้ นางไม่เพียงแต่จะต้องทำลายความตั้งใจของถาวจวินหลัน แต่นางจะต้องหาผลประโยชน์จากเรื่องนี้ให้ได้! มิเช่นนั้น นางจะคุ้มแค่แก่ความเสี่ยงครั้งนี้ได้อย่างไร?!