บทที่ 435 วีรบุรุษเปลือยกายผู้สูงส่ง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 435 วีรบุรุษเปลือยกายผู้สูงส่ง

 

 

แล้วข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหยุนเมิ่งอย่างรวดเร็ว

 

 

ในข่าวลือระบุว่า ณ มุมหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเมือง มันเป็นที่ตั้งของกระท่อมไม้ซึ่งเคยเป็นสมาคมผู้ค้าอาหารทะเล วีรบุรุษหน้ากากแดงผู้หนึ่งได้ปรากฏตัวออกมา เขามีพลังเปลวไฟเป็นสีเงินสว่างไสว สามารถจัดการบัณฑิตมัจจุราชได้ในพริบตาเดียว

 

 

แต่สิ่งที่พิเศษสุดคือบุรุษผู้นี้เปลือยกายล่อนจ้อน

 

 

นอกจากหน้ากากรูปทรงสามเหลี่ยมคว่ำอันแปลกประหลาดบนใบหน้า ก็ไม่มีสิ่งใดปกปิดร่างกายขาวเนียนของเขาอีกเลย

 

 

แม้แต่ของสงวนที่อยู่ตรงกลางหว่างขา ก็ห้อยโตงเตงท้าทายสายตาผู้คน

 

 

นับเป็นภาพลักษณ์ที่พิสดารไม่เหมือนใคร

 

 

แต่เขากลับมีระดับพลังมากมายมหาศาล

 

 

บุรุษหนุ่มหน้ากากแดงมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์

 

 

และน่าจะเป็นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธ์อาวุโสที่มีประสบการณ์การต่อสู้โชกโชน

 

 

มิฉะนั้นแล้ว เขาคงไม่สามารถจัดการบัณฑิตมัจจุราชได้ง่ายดายถึงเพียงนี้

 

 

เวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยาม ข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปถึงหูของผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนในเมืองหยุนเมิ่งเป็นที่เรียบร้อย

 

 

หลายคนรีบรุดมายังกระท่อมไม้เพื่อดูสถานที่เกิดเหตุด้วยตาของตนเอง

 

 

แน่นอนว่ายังคงมีร่องรอยการต่อสู้หลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง และสิ่งที่ทุกคนได้พบเจอก็คือหลักฐานการต่อสู้ระหว่างผู้ที่มีพลังในขั้นยอดปรมาจารย์จริงๆ

 

 

ส่วนสาเหตุของการต่อสู้นั้น เป็นเพราะมีกลุ่มคนปริศนาลักพาตัวครอบครัวของกงกงมากักขังเอาไว้ที่นี่

 

 

และกลุ่มคนที่ลักพาตัวนั้น ก็มีบัณฑิตมัจจุราชเป็นหัวหน้า

 

 

บัณฑิตมัจจุราชลักพาตัวกงเมิ่ง รวมถึงสมาชิกคนอื่นๆ ในตระกูลกงมาทรมาน

 

 

แล้วบุรุษทำหน้ากากแดงก็มาช่วยเหลือพวกเขา เพื่อพิทักษ์ความยุติธรรม

 

 

เห็นได้ชัดว่าเขาย่อมเป็นคนดี

 

 

ถึงแม้จะมีภาพลักษณ์ที่ผิดปกติไปเสียหน่อย แต่พฤติกรรมก็ควรค่าต่อการยกย่องสรรเสริญ

 

 

แต่ยิ่งข่าวนี้แพร่สะพัดไปมากเท่าไหร่

 

 

ปริศนาก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

 

 

บางคนถึงกับตั้งฉายาให้แก่บุรุษหนุ่มหน้ากากแดงผู้นี้

 

 

เรียกเขาว่าวีรบุรุษร่างเปลือยผู้สูงส่ง

 

 

เป็นชื่อที่เรียบง่าย

 

 

แต่สามารถสรุปความหมายได้อย่างชัดเจน

 

 

ทันใดนั้น ทุกคนในเมืองหยุนเมิ่งต่างก็ได้รับทราบถึงข่าวนี้กันอย่างถ้วนหน้า

 

 

และในเวลาหนึ่งชั่วยามต่อมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่หรือเด็กทารก ต่างก็ไม่มีใครที่จะไม่เคยได้ยินชื่อของวีรบุรุษร่างเปลือย รวมถึงพฤติการณ์ของเขาอีกแล้ว

 

 

แต่วีรบุรุษท่านนี้กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ไม่มีหลักฐาน

 

 

ไม่มีเบาะแสว่าเขาเป็นผู้ใด

 

 

หลายคนได้แต่คาดเดาไปต่างๆ นานาด้วยความปวดหัว

 

 

 

 

“วีรบุรุษร่างเปลือยเป็นใครมาจากไหน? บัดนี้อยู่ที่ใด? แล้วทำไมเขามาปรากฏตัวเอาตอนนี้?” ในสำนักงานของหน่วยมือปราบประจำเมือง หยิงอู๋จียกมือนวดขมับสีหน้าเคร่งเครียด

 

 

เขากำลังปวดหัว

 

 

คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าบัณฑิตมัจจุราชซึ่งมีนามว่าโมเว่ยเหมียน และจอมยุทธ์หญิงนางพรายหมอกเขียวหลินเม่ยอิงมาปรากฏตัวขึ้นในเมืองหยุนเมิ่งได้อย่างไร

 

 

แต่หยิงอู๋จีรู้

 

 

แล้วเขาก็รู้ด้วยว่ากลุ่มคนเหล่านั้นลักพาตัวพวกของกงกงไปเพื่ออะไร

 

 

แผนการของพวกเขาเพิ่งดำเนินมาได้เพียง 10 ส่วนเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่ากลับต้องมาพังทลายลงไปด้วยน้ำมือของโมเว่ยเหมียนและหลินเม่ยอิง มิหนำซ้ำ ทั้งสองคนนั้นกลับทำให้ยอดฝีมือปริศนาปรากฏตัวขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ หยิงอู๋จีก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจมากเท่านั้น

 

 

อะไรมันจะช่างบังเอิญถึงขนาดนี้?

 

 

หรือว่ามีคนคอยตลบหลังแผนการของพวกเขาอยู่?

 

 

หยิงอู๋จีไม่สามารถแน่ใจได้เลย

 

 

“เกิดเรื่องขึ้นแล้วขอรับ ใต้เท้า พวกกงกงที่ทางเราพยายามจะจับกุมตัวไว้ มีคนจากวิหารเทพกระบี่นำไปรักษาตัวแล้วขอรับ”

 

 

เจ้าหน้าที่มือปราบนายหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานหน้าตาตื่น

 

 

“ว่าไงนะ?”

 

 

หยิงอู๋จีลุกขึ้นยืนสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที “วิหารเทพกระบี่มีอำนาจอันใดมานำคนไปจากสำนักมือปราบ? สมาชิกตระกูลกงเหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมที่กำลังทำการสืบสวน…พวกเรา ตามข้าไปที่วิหารเทพกระบี่และนำตัวคนกลับมาให้ได้”

 

 

 

 

“ยอดฝีมือระดับนี้ปรากฏตัวออกมาทั้งที ช่างน่าเสียดายนักที่ข้าไปที่นั่นไม่ทันเวลา”

 

 

เจียงจี้หลิวพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าใจ

 

 

“หากพี่เจียงไปที่นั่น เขาจะต้องเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของตนเองแน่นอน”

 

 

หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่ไม่อยากเอ่ยนามกล่าว

 

 

“ใช่แล้วขอรับ มันจะต้องเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงแน่นอน… และบุคคลประเภทนี้ย่อมไม่ใช่ตัวดี ข้าน้อยเกรงว่ามันก็คงไม่ได้ดีไปกว่าหลินเป่ยเฉินสักเท่าไหร่หรอก” ผู้เข้าแข่งขันคนที่สองซึ่งไม่อยากเอ่ยนามเช่นกันกล่าวสนับสนุน

 

 

“หึ” เด็กสาวผมสีทองนามว่าเฉินปี้จุนหัวเราะในลำคอ “หลินเป่ยเฉินจะมีอะไร ระดับพลังของเขายังไม่ถึงขั้นบุรุษหน้ากากแดงเลยด้วยซ้ำ”

 

 

เจียงจี้หลิวพลันนึกถึงเหตุการณ์ที่ตนเองไปเยือนตำหนักไม้ไผ่ เพื่อทำข้อตกลงเรื่องสัญญามอบความตาย เขายิ้มออกมาเล็กน้อยตอนที่พูดว่า “ศิษย์พี่ปี้จุนใยต้องขุ่นเคืองใจ หลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลที่มักทำอะไรโดยไม่คาดคิด แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง เหตุการณ์ที่เขาเผากระโปรงของท่านนั้นเป็นเพียงอุบัติเหตุ เนื่องจากหลินเป่ยเฉินยังไม่มีความชำนาญในการควบคุมพลังปราณธาตุไฟของตนเอง และเขาก็รีบดับไฟให้ท่านอย่างเร่งด่วน ซ้ำยังนำเสื้อคลุมมาสวมใส่ให้ท่านอีก หากเขามีเจตนากลั่นแกล้งท่านตั้งแต่แรก เขาก็คงไม่ทำเช่นนั้นหรอก”

 

 

เฉินปี้จุนใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที

 

 

 

 

กลางทะเลอันกว้างใหญ่

 

 

เรือน้อยลําหนึ่งกำลังลอยละล่องไปบนผิวน้ำ

 

 

จูปี้ฉีสวมใส่หมวกปีกกว้าง นั่งตกปลาอยู่ที่หัวเรือ

 

 

“ก็แค่บุคคลปริศนาผู้หนึ่ง ย่อมไม่ส่งผลต่อแผนการของเราอยู่แล้ว…แจ้งเตือนทุกคนให้ดำเนินการตามแผนเดิมต่อไป”

 

 

ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

 

“ขอรับ”

 

 

บุคคลผู้หนึ่งกำลังยืนรอรับคำสั่งอยู่ที่ท้ายเรือ

 

 

“แต่ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับบุคคลผู้นั้นเด็ดขาด”

 

 

จูปี้ฉีกล่าวเสริม

 

 

“รับทราบขอรับ” เมื่อรับคำสั่งเสร็จสิ้น มือกระบี่ผู้นั้นก็พลิ้วกายลอยตัวขึ้นไปในอากาศข้ามท้องทะเลหายวับไปจากสายตา

 

 

นับเป็นผู้ที่มีพลังสูงส่งไม่ใช่น้อย

 

 

 

 

วิหารเทพกระบี่

 

 

“เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าบุรุษหน้ากากแดงเป็นใครกันแน่?” หยิงอู๋จีกำลังซักถามกงกงด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

 

 

ชายหนุ่มผู้บาดเจ็บพยักหน้าและตอบอย่างหมดแรง “ใต้เท้าขอรับ ข้าเป็นเพียงอันธพาลข้างถนนธรรมดา บุคคลที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดเท่าที่ข้าน้อยเคยรู้จัก ก็มีเพียงหวังจงที่ทำงานให้แก่หลินเป่ยเฉินเท่านั้นเอง ส่วนท่านวีรบุรุษหน้ากากแดง ข้าน้อยไม่เคยพบเห็นมาก่อน…”

 

 

หยิงอู๋จีพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบ

 

 

กงกงไม่ได้โกหก

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้ที่ลักพาตัวครอบครัวของเจ้าไปที่นั่น แล้วพวกมันมีจุดประสงค์อันใดกันแน่?”

 

 

หัวหน้าหน่วยมือปราบถามออกมาอีกครั้ง

 

 

พูดมาถึงตรงนี้ กงกงก็กัดฟันกรอดและกล่าวว่า “ข้าน้อยไม่ทราบเลยว่าพวกมันเป็นผู้ใด แล้วมีเจตนาจับตัวครอบครัวของข้าน้อยไปเพื่ออะไร ใต้เท้าขอรับ… ใต้เท้าต้องจับตัวพวกมันให้ได้นะขอรับ ท่านต้องมอบความยุติธรรมให้แก่ลูกน้องของข้าน้อยที่เสียชีวิตเหล่านั้นด้วย…”

 

 

พูดจบ กงกงก็ร้องไห้ออกมาด้วยความคร่ำครวญ

 

 

หยิงอู๋จีทนรำคาญไม่ไหวจึงหมุนตัวเดินออกมา

 

 

เขาจัดการสอบถามกงเมิ่งและสมาชิกครอบครัวตระกูลกงคนอื่นๆ ด้วยคำถามเดียวกัน

 

 

และคำตอบก็ไม่ได้แตกต่างไปจากคำตอบของกงกงสักเท่าไหร่

 

 

หยิงอู๋จีอยากจะนำตัวครอบครัวตระกูลกงไปสอบปากคำเพิ่มเติม แต่นักพรตหญิงชินก็ปฏิเสธและยืนกรานให้ผู้บาดเจ็บพักรักษาตัวอยู่ในวิหารเทพกระบี่ต่อไป

 

 

นักพรตหญิงชินมีสถานะไม่ต่ำต้อย หยิงอู๋จีเพียงมาทำงานประจำตำแหน่งอยู่ในเมืองหยุนเมิ่งชั่วคราว จึงไม่มีปากเสียงตอบโต้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่รอให้พวกตระกูลกงรักษาอาการจนหายดี ถึงจะสามารถกลับมารับตัวไปสอบปากคำเพิ่มเติมได้อีกครั้ง

 

 

 

 

ตำหนักไม้ไผ่

 

 

ในห้องนั่งเล่น

 

 

“นายน้อยขอรับ นายน้อยไม่รู้จริงๆ หรือว่าวีรบุรุษร่างเปลือยคนนั้นเป็นใครกันแน่?”

 

 

หวังจงถามด้วยความสงสัย

 

 

“อุ๊วะ เดี๋ยวนี้เจ้าไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าบอกแล้วหรือไง?”

 

 

หลินเป่ยเฉินยกเท้าขึ้นถีบยอดหน้าพ่อบ้านชราไปหนึ่งที

 

 

“อย่ามัวพูดไร้สาระอยู่เลย เอาสัญญาส่งมอบความตายฉบับนี้ ไปมอบให้แก่เจียงจี้หลิวซะ”

 

 

เขากล่าว

 

 

หวังจงรับกระดาษแผ่นหนึ่งไปดูและพูดว่า “นายน้อยคงไม่ได้…”

 

 

นี่มันอะไรกัน!

 

 

หลินเป่ยเฉินลงนามในสัญญามอบความตายเรียบร้อยแล้ว “สิ่งที่เจ้าคิดนั้นถูกต้อง… รีบเอาสัญญาไปมอบให้แก่เจียงจี้หลิวซะ อย่าได้ล่าช้าแม้แต่นิดเดียว บอกมันด้วยว่าให้รอการล้างแค้นจากข้าบนเวทีประลองได้เลย”

 

 

หวังจงอยากจะห้ามปราม แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว

 

 

“นายน้อยคิดดีแล้วหรือขอรับ?”

 

 

พ่อบ้านชราย่ำเท้าอยู่กับที่ด้วยความร้อนใจ

 

 

“เจ้าก็รู้จักข้าดีอยู่แล้วนี่นา”

 

 

หลินเป่ยเฉินตวาดกลับไป “ข้ามีแผนการของข้าเสมอ”

 

 

ถึงเขาจะเลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ได้สำเร็จ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดสามารถรับประกันเลยว่าเขาจะเอาชนะเจียงจี้หลิวบนเวทีประลองได้จริงๆ ถึงอย่างนั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้ตัวดีว่าเขาไม่มีทางหลีกเลี่ยงการลงนามในสัญญามอบความตายนี้ได้อีกแล้ว

 

 

ถ้าเขาไม่ทำ ก็จะต้องมีผู้คนอีกมากมายพบเจอชะตากรรมเช่นเดียวกับพวกของกงกง

 

 

เพราะฉะนั้น ยุติความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็น และตั้งสมาธิพุ่งเป้าไปที่การประลองเพียงอย่างเดียวจะดีกว่า