บทที่ 491 คนบ้า The Lunatic
“อย่างไรล่ะ” นาตาชาถาม แม้ว่านางจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการกลบร่องรอย แต่นางก็รู้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างแตกต่างออกไปในมิติที่พลังจิตและอำนาจจิตของทุกคนต่างถูกกำจัด ดังนั้นนางจึงขอคำแนะนำจากเขา

เป็นที่รู้กันดีว่านักเวททั้งหลายมีเวทมนตร์คาถามากมายที่ใช้ในต่างโอกาสต่างวาระพิเศษ นี่คืออีกข้อได้เปรียบหนึ่งที่ทำให้นักเวทเหนือกว่าอัศวินและนักบวช

ลูเซียนหยิบแว่นตาข้างเดียวออกมาสวมบนดวงตาซ้าย พลันภาพและภูมิทัศน์ต่างๆ ก็แล่นวูบผ่านลูกนัยน์ตาซ้ายของเขา ในขณะเดียวกันนั้น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็แผ่ออกไปจากดวงตาและร่างกายเขาเป็นรัศมีกว้าง จากนั้นจึงส่งคลื่นสะท้อนกลับมาหาเขาเป็นระยะๆ

เมื่อใช้เวทมนตร์ระดับห้า ‘เนตรฟ้าคำรณ’ ลูเซียนจึงเปรียบเสมือนเครื่องตรวจจับเรดาร์ในรูปลักษณ์ของมนุษย์

“ผลสะท้อนกลับจากระยะมากกว่าสามร้อยเมตรค่อนข้างอ่อนและสับสนวุ่นวายไม่น้อย… นี่คือการกดข่มพลังแบบพิเศษของดินแดนนี้งั้นหรือ มันให้ความรู้สึกเหมือนมลพิษทางแม่เหล็กเลย” ลูเซียนบอกกับนาตาชาผ่านทางกระแสจิตระหว่างทั้งสอง “แต่ไม่ต้องห่วง เราเดินหน้าไปเรื่อยๆ กันเถอะ เจ้าคอยทำเป็นว่ายังมองไปรอบกายเพื่อเฝ้าระวัง แต่ก็ไม่พบอะไรเลย เพื่อที่เราจะล่อลวงให้มันเข้ามาใกล้เรามากขึ้น เราต้องรีบแล้วล่ะ เหลือเวลาไม่มากแล้ว”

“ก็ได้” นาตาชาตกลง

นางกระชับมือที่จับดาบยุติธรรมจืดจางขึ้น แล้วเดินลึกเข้าไปในป่าพร้อมกับลูเซียน

ลูเซียนร่าย ‘เวทรู้แจ้งเห็นจริง’ ให้กับนาตาชาและตัวเขา แสร้งทำเป็นว่าทั้งสองยังคงตื่นเต้นระแวดระวังแต่ก็ไม่พบอะไรเลย

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ลูเซียนกับนาตาชาก็มองสบตากันก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้นในฉับพลัน ทั้งสองดูราวกับเงาที่วูบผ่านขณะโผทะยานตรงไปยังสุดปลายเส้นทาง พร้อมจะเลี้ยวซ้าย

ในตอนนั้นเอง ลูเซียนก็หยุดอย่างไม่บอกกล่าวแล้วร่ายคาถา ‘ธรณีเคลื่อน’ เวทมนตร์ระดับหก!

ผืนดินในระยะหนึ่งร้อยเมตรเริ่มสั่นไหวโยกคลอนรุนแรง คลื่นที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่กระจายออกไป ส่งผลให้ต้นไม้ล้มลงไปทีละต้นๆ

บนกิ่งก้านสาขาของต้นไม้เก่าแก่ที่รวมตัวหนา โครงร่างสีดำพลันสียสมดุลและร่วงลงมายังพื้น

ความดำมืดของร่างนั้นสามารถดูดซับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้แทบทุกประเภท รวมถึงแสงสว่าง มันจึงก่อให้เกิดความรู้สึกอีกรูปแบบที่คล้ายการล่องหน หากไร้ซึ่ง ‘เวทรู้แจ้งเห็นจริง’ ลูเซียนกับนาตาชาย่อมไม่มีทางมองเห็นหรือสัมผัสถึงมันได้เลย

นาตาชาพุ่งตัวไปข้างหน้าพร้อมกับเงื้อง่าดาบยุติธรรมจืดจางขึ้นแล้วฟาดลงอย่างแรง

แท้จริงแล้วร่างสีดำนั้นคือสัตว์ประหลาดในร่างมนุษย์ที่มีศีรษะเป็นเสือ รังสีแห่งความตายที่รายล้อมตัวมันนั้นหนาแน่นถึงขีดสุด พลังของมันคงจะควบคุมปีศาจระดับกลางและล่างได้โดยตรง

มันเบี่ยงตัวกลางอากาศและหลบคมดาบของนาตาชาอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว จากนั้นกรงเล็บสีดำก็พุ่งตรงมาหานาตาชาราวกับใบดาบอันคมกริบ ในระหว่างนั้น คลื่นพลังของมันก็แผ่ออกมา… มันกำลังจะใช้ความสามารถในการร่ายคาถาที่เหมือนกับเวทมนตร์!

ทว่า จู่ๆ สัตว์ประหลาดหัวเสือก็สูญเสียพละกำลังและร่วงลงใส่ใบดาบของนาตาชาพอดิบพอดี

ดาบยุติธรรมจืดจางจะกลายเป็นดาบระดับตำนานเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตชั่วร้าย ใบดาบตัดผ่านร่างสัตว์ประหลาดตนนั้นอย่างไม่ยากเย็น กลุ่มควันดำพวยพุ่งออกมา แล้วร่างของมันก็เริ่มเปื่อยเน่าลงอย่างรวดเร็ว

“มันคือสัตว์อสูรระดับสูง เชี่ยวชาญทางด้านการแกะรอยและลอบฆ่า” นาตาชาบอกกับลูเซียนผ่านทางกระแสจิต “เจ้าสร้างเวทบทนี้เองหรือ ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเวทมนตร์ระดับสูงแสนทรงพลังที่สามารถเข้าไปยุ่งกับแรงโน้มถ่วงได้ถึงเพียงนี้เลย”

“ใช่แล้วล่ะ มันเรียกว่า ‘เวทแรงโน้มถ่วงปั่นป่วน’ เวทมนตร์ทางด้านโหราศาสตร์” ลูเซียนกล่าว เขาบังเอิญสร้างเวทมนตร์บทนี้ขึ้นมาได้ในระหว่างหาที่มาของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ

นาตาชาเพียงถามเพราะอยากรู้ นางจึงไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ “เราต้องรีบไปจาก… ระวัง!”

ก่อนที่นางจะพูดจบประโยค หินก้อนใหญ่กว่าก้อนเดิมที่ทำลายกระท่อมดินถึงสองเท่าก็พุ่งออกมาจากป่าตรงมาที่พวกเขาอย่างแรง ก่อให้เกิดเสียงดังน่ากลัว

นาตาชาก้าวมาข้างหน้าและเหวี่ยงดาบยุติธรรมจืดจางใส่หินก้อนนั้น การโจมตีเพียงครั้งเดียวนี้ทำให้หินชะลอความเร็วลงเล็กน้อยและเบี่ยงทิศทางไปนิดหน่อย ลูเซียนฉวยโอกาสนั้นยิงลำแสงสีเขียวใส่ก้อนหิน

ลำแสงดูเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับขนาดของก้อนหิน ราวกับไม้จิ้มฟันบนโต๊ะ แต่หินก้อนใหญ่นั้นกลับแตกออกเป็นจุดแสงสีเขียวเล็กจิ๋วและร่วงกราวลงกับพื้นในทันที

อะไรบางอย่างภายในป่ากรีดร้องเห่าหอนอย่างโหยหวน เสียงกรีดร้องนั้นฟังเสียดหูและทุกข์ทรมานเสียจนสามารถรบกวนจิตใจคนผู้หนึ่งได้อย่างง่ายดาย

นาตาชาชูดาบยุติธรรมจืดจางไว้ตรงหน้าลูเซียนและตัวเอง ทันทีที่เสียงกรีดร้องของสัตว์อสูรแตะโดนใบดาบ มันก็แยกออกเป็นสองส่วน เหมือนดั่งสายน้ำไหลบ่าที่แหวกทางเพราะเกาะกลางเล็กๆ ดังนั้นนาตาชากับลูเซียนจึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทว่า สัตว์อสูรในป่าใกล้ๆ กันกลับแตกตื่นเพราะรังสีแห่งความชั่วร้ายน่าหวาดหวั่น

ยักษ์ตัวสูงกว่าห้าเมตรย่ำท่อนไม้แหวกทางฝ่าป่าออกมา

ผิวของมันแทบจะกลายเป็นสีดำ บนใบหน้ามันมีดวงตาสีส้มน่าขนลุกอยู่คู่หนึ่ง ใบหูแหลมสองข้าง แต่มิมีเส้นผมสักเส้น เล็บอันโสโครกของมันเองก็เป็นสีส้ม ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือดวงวิญญาณมากมายที่รวมกลุ่มกันเป็นเมฆหมอกรอบตัวมัน เสียงกรีดร้องบาดหูที่เพิ่งได้ยินนั้นแท้จริงก็มาจากดวงวิญญาณเหล่านี้

“ยักษ์ผีดิบ! อยู่ที่ระดับเจ็ดเป็นอย่างต่ำ!” ลูเซียนรู้ได้ในทันที “มีวิญญาณสองประเภทที่รายล้อมรอบตัวมัน ประเภทหนึ่งมาจากศัตรูที่มันสังหารไปก่อนหน้า และดาบยุติธรรมจืดจางก็จัดการพวกมันได้ง่ายๆ แต่อีกประเภทหนึ่งมาจากตัวยักษ์ผีดิบเองและมันจะส่งต่อรุ่นสู่รุ่นในฐานะผู้พิทักษ์ ดวงวิญญาณประเภทนี้มิใช่วิญญาณร้าย ดังนั้นดาบยุติธรรมจืดจางจึงใช้ไม่ได้ผล เราต้องสังหารยักษ์เพื่อทำลายดวงวิญญาณทั้งหมด!”

“ระวัง ‘พลังทำลายล้าง’ และ ‘เวทเพลิงพิฆาต’ ของมันให้ดีล่ะ”

ลูเซียนบอกข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับศัตรูให้นาตาชาทราบผ่านทางกระแสจิต

นาตาชากระชับด้ามดาบในมือพลางเอ่ยว่า “ช่วยข้าที ข้าจะได้เข้าไปใกล้เจ้ายักษ์นั่นได้ มาจัดการให้เสร็จโดยเร็วที่สุดกันเถอะ

ด้วยการฝึกฝนอย่างหนักนับหลายปีและเพราะมีอาวุธแสนทรงพลัง นาตาชาจึงไม่เกรงกลัวยักษ์ตนนี้เลยสักนิด ทั้งหมดที่นางต้องการคือการรักษาเวลา

“ข้าจะใช้ ‘เวทรัศมีปราบวิญญาณ’ เพื่อสะกดวิญญาณเอาไว้” ลูเซียนบอก แม้ว่าเขาจะมีหลายตัวเลือก แต่เขาก็เชื่อว่ามงกุฎสุริยันจะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้

นาตาชาพร้อมแล้ว นางย่อเข่าลงและเตรียมตัวโจมตี

ทว่า ในตอนนั้นเอง แสงสีเทา ขาว ดำหนาหนักก็เข้าปกคลุมลูเซียนเอาไว้ชั้นหนึ่ง เขาสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวไปโดยสิ้นเชิง

“บ้าจริง!” นาตาชาไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้สบถออกมาได้ นางรู้ดีว่านางจำต้องหยุดยักษ์ผีดิบเสียก่อน

แต่ยักษ์ผีดิบได้เคลื่อนตัวมาอยู่ตรงหน้านาตาชาแล้วเมื่อสีเทา ขาว ดำปรากฏขึ้น

เหล่าดวงวิญญาณกรีดเสียงร้อง นาตาชาที่ยังไม่ทันเตรียมพร้อมจึงถูกเจ้ายักษ์กระแทกตัวลอย ขณะเดียวกันนั้น แม้ว่าเงาน่าขนลุกรอบกายมันจะสลัวลางลง แต่เจ้ายักษ์ก็ยังโจมตีระลอกที่สอง

ดาบยุติธรรมจืดจางคอยปะทะกับวิญญาณชั่วร้าย แต่พลังส่วนใหญ่กลับถูกจำกัดเพราะวิญญาณพิทักษ์

ในขณะที่นาตาชาป้องกันตนเองอยู่นั้น ยักษ์ผีดิบก็สบช่องกระโจนเข้าใส่ลูเซียนที่ยังไม่สามารถต่อสู้ได้ในตอนนี้

ดวงตาสีม่วงเงินของนาตาชาพลันเย็นเยียบ นางตีลังกากลับมาหาลูเซียน จากนั้นจึงใช้พละกำลังทั้งหมดกระโดดขึ้นเหวี่ยงดาบใส่อกเจ้ายักษ์ผีดิบ

ยักษ์ผีดิบจำต้องหยุดโจมตีเพื่อมาป้องกันตนเองจากการฟาดฟันหมายชีวิต เหล่าดวงวิญญาณก่อรูปร่างเป็นเงาดำและปัดป้องดาบยุติธรรมจืดจางไว้ได้ แล้วเล็บอันแหลมคมสีส้มของมันก็พุ่งตรงมาหานาตาชา

แต่นาตาชาได้ละทิ้งการป้องกันกายไปแล้ว นางปล่อยให้กรงเล็บกระซวกแทงผ่านเกราะบนหัวไหล่ ในขณะที่นางเงื้อดาบขึ้นแล้วฟันช่วงลำคอของยักษ์ผีดิบ

เจ้ายักษ์ผละมือไปกุมลำคอตนเอง พยายามจะหยุดโลหิตสีดำที่ไหลทะลักออกมา

นาตาชาย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้ไป หลังจากยืนตั้งมั่นบนพื้นได้ นางก็เตรียมจะกระโจนขึ้นไปและโจมตีระลอกที่สอง

ในตอนนั้นเอง แสงเจิดจ้าสว่างไสวก็พุ่งลงมาจากฟ้าและกักขังยักษ์ผีดิบไว้ภายในนั้น

เจ้ายักษ์สูญเสียพลังชีวิตทั้งหมด ดวงวิญญาณที่รายล้อมในที่สุดก็ถูกปลดปล่อยและค่อยๆ กลืนหายไปกับลำแสงเจิดจ้า

“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” ลูเซียนบินมาหานาตาชาพลางถามด้วยความเป็นกังวล

นาตาชาไอโขลกแล้วชี้ไปที่ไหล่ด้านซ้ายของตน “เจ้าคงต้องซ่อมเจ้านี่ให้ข้าในภายหลัง”

บนเกราะหัวไหล่สีม่วงของนางปรากฏรอยร้าวลึก แขนช่วงบนของนางได้รับบาดเจ็บ และหยาดโลหิตสีดำก็หลั่งไหลออกมาจากปากแผล

ลูเซียนรีบหยุดเลือดพร้อมกับบอกนาตาชาด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น “เล็บของยักษ์ผีดิบแฝงไว้ด้วยคำสาปแห่งความตาย และยังเป็นพิษอีกด้วย แต่เจ้าเป็นอัศวินอาภาที่มีพลังโลหิตชั้นสูง เจ้าย่อมไม่ตายเหมือนอย่างคนอื่นๆ แต่พลังของเจ้าจะลดลงต่ำกว่าระดับสูง ทางแก้ที่ดีที่สุดคือเวทมนตร์ระดับเจ็ด ‘เวทพรพิสุทธิ์’ แต่ก็ต้องมีน้ำยาบางชนิดเข้าช่วยด้วย”

นาตาชาแย้มยิ้ม “แล้ว… เจ้าก็ไม่มีวัตถุดิบในการปรุงน้ำยาพวกนั้นขึ้นมาในตอนนี้ใช่หรือไม่ เดี๋ยวนะ เจ้าเองก็ได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ”

ท่าทางของลูเซียนดูไม่ค่อยดีนัก บัดนี้ใบหน้าเขาดูคล้ำอย่างผิดปกติ เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ได้รับผลกระทบจาก ‘พลังทำลายล้าง’ เพราะในช่วงเวลาที่สีดำ เทา ขาวปรากฏขึ้น เขามิอาจป้องกันตนเองได้เลยสักนิด

ลูเซียนไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งนาตาชาเอ่ยทัก เขารีบร่ายคาถาบทหนึ่งให้กับตนเองเพื่อสกัดมิให้สถานการณ์ย่ำแย่ไปกว่านี้ “ข้าไม่ทันสังเกตเห็น อาการนี้ก็จะหายไปทั้งหมดได้ด้วยการใช้บทเวทที่สอดคล้องกับน้ำยาที่ชื่อว่า ‘ดวงใจสุริยันต์’ เช่นกัน”

นาตาชายิ้มกริ่ม “เจ้าไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นอาการบาดเจ็บของตนเอง เจ้าเป็นห่วงข้ามากล่ะสิท่า”

นางยังคงซื่อตรงเหมือนทุกครั้ง ไม่แม้แต่จะรู้สึกเขินอายเลยสักนิด

ในทางกลับกัน ลูเซียนรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย เขาจึงเปลี่ยนเรื่อง “ข้ามีวัตถุดิบส่วนใหญ่สำหรับปรุงน้ำยา แต่ยังขาดสิ่งที่เรียกว่า ‘ตระกูลโลหิต’ อย่างหนึ่ง มันเป็นเหมือนดอกไม้สีแดงที่มีอยู่ทั่วไปในโลกหลัก ดังนั้นข้าจึงไม่ได้มีติดตัวไว้”

“เช่นนั้นไปกันเถอะ ดินแดนนี้คล้ายคลึงกับโลกหลัก การตามหาดอกไม้ที่ว่าคงจะไม่ยากเกินไป เราถามจากผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กใกล้ๆ นี้ก็ได้” นาตาชายืนขึ้น

ลูเซียนพยักหน้าแล้วร่ายเวทมนตร์เพื่อเก็บหัวใจ เล็บ และชิ้นส่วนผิวหนังบนอกของยักษ์ผีดิบ ในอนาคต เขาอาจจะได้ใช้วัตถุดิบเหล่านี้ในการสร้างอุปกรณ์เวทมนตร์ระดับสูงที่ชื่อว่า ‘เข็มขัดยักษ์ผีดิบ’ และ ‘กริชคำสาป’

โชคดีที่เทพอสูรลิชยังไล่ตามพวกเขามาไม่ทัน

เมืองเล็กๆ ท่ามกลางหุบเขาแห่งนี้เป็นที่ที่ชาวบ้านมีอาชีพหลักเป็นการล่าสัตว์และตัดไม้

ลูเซียน ผู้ที่ใบหน้ายังคงคล้ำเข้มอย่างผิดปกติ หาข้อมูลเกี่ยวกับดอกไม้สีแดงไม่พบเลยหลังถามไถ่จากผู้ที่ผ่านไปมา ในตอนนี้ นาตาชาเริ่มยกแขนข้างซ้ายขึ้นได้ลำบากแล้ว

ลูเซียนเดินไปหาชายชราผู้หนึ่งแล้วถาม “ท่าน ข้าขอถามอะไรสักหน่อยจะได้หรือไม่ขอรับ”

“อะไรหรือ” ชายชราชี้ไปที่หูตนเอง

ลูเซียนหยิบเหรียญทองแดงที่คนในท้องถิ่นใช้กันออกมาสองสามเหรียญแล้วโยนพวกมันไปมา “ข้าอยากจะทราบว่าท่านรู้จักคนที่เก่งเรื่องการแยกแยะพืชไม้ที่อยู่ไม่ไกลนี้หรือไม่น่ะขอรับ”

ดวงตาของชายชราพลันเปล่งประกาย “มีอยู่คนหนึ่ง”

ลูเซียนแย้มยิ้มแล้วยื่นเหรียญให้เขา “ขอเจาะจงกว่านี้ได้หรือไม่”

“หากท่านต้องการเพียงคนนำทาง ท่านก็ไม่จำเป็นต้องไปหาคนบ้านิก้า เขาทั้งเลวทรามและโหดเหี้ยม หลงใหลการตัดพืช สัตว์ และอสูรเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทุกวัน เขาบอกว่าเขากำลังมองหาความลับแห่งเทพเจ้าทั้งหลาย เขามันบ้าไปแล้ว…” เห็นได้ชัดว่าชายชรานั้นขยะแขยงอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงนิก้า

“ความลับของเทพเจ้าทั้งหลายงั้นหรือ” ลูเซียนกับนาตาชาถามออกมาพร้อมกัน แม้แต่คิ้วด้านซ้ายของทั้งสองก็ยังเลิกขึ้นทำมุมเป็นองศาเดียวกัน

ชายชราพยักหน้าแรงๆ “ใช่ เขาคอยบอกผู้คนว่าพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นมาจากแบบแผนอันซับซ้อนบนสัตว์อสูรชั่วร้าย เขาอยากจะเข้าใจแบบแผนนั้น! เชื่อข้าเถิด เขามันบ้าไปแล้ว เขาทำตัวแปลกประหลาดตั้งแต่ยังเป็นเด็ก สิ่งรอบกายเขามักจะติดไฟหรือหักพังลง เขาคงจะถูกปีศาจสิงสู่เป็นแน่!

ลูเซียนรู้สึกสนใจอย่างยิ่ง “เขาอยู่ที่ใดหรือ”

“ท่านควรจะไตร่ตรองดูอีกครั้ง…” ชายชรากล่าว แต่เมื่อเขาเห็นเหรียญเงินทอประกายวิบวับในมือลูเซียน เขาก็รีบพูดต่อ “…ก็นะ คนที่นี่ไม่มีใครชอบเขา เขาจึงย้ายเข้าไปอยู่ลึกในหุบเขาลูกนั้น เดินตามเส้นทางไปแล้วท่านก็จะได้พบกับเขา”

………………………………