ตอนที่ 485 เริ่มโทรหาก่อน / ตอนที่ 486 ต่างฝ่ายต่างลำบากใจ

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 485 เริ่มโทรหาก่อน

 

 

ความจริงเสิ่นจิ้งเฉินยังเล่าให้ฟังไม่จบ แต่ก็จริงอย่างที่ซย่าเสี่ยวมั่วว่า หากตนยังไม่รีบลงไปกินข้าว เกรงว่า เหยียนเค่อคงจะเทข้าวที่เหลือทั้งหมดทิ้ง ไม่เหลือให้เขากินอย่างแน่นอน

 

 

“อย่างนั้นพี่ไปกินข้าวก่อนนะ เธอก็ไปกินข้าวเถอะ”

 

 

“ค่ะ” ตอนนี้ซย่าเสี่ยวมั่วมีเรื่องกังวลใจ ถ้าหากเป็นเวลาอื่นที่ไม่มีเรื่องที่ทำให้เธอปวดหัว การใช้เวลาว่างพูดคุยเล่นกับเสิ่นจิ้งเฉินก็เป็นเรื่องที่สนุกอยู่เหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เธอต้องคอยดูแลสวีรั่วชี ทำกับข้าวให้หล่อนทาน และยังต้องคอยระวังไม่ให้สวีรั่วชีฆ่าเธอตายถ้ารู้ว่าเธอเป็นคนเผลอพูดเรื่องท้องออกไป

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินตัดใจวางสายจากซย่าเสี่ยวมั่วจากนั้นก็รีบลงไปทานข้าว

 

 

เหยียนเค่อได้ยินเสียงฝีเท้า จึงเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปกินข้าวต่อ  “วันนี้พวกนายสองคนเป็นอะไรหรือเปล่า คนหนึ่งก็นั่งอยู่บนห้องไม่รู้คิดอะไรอยู่ อีกคนก็วอแวมัวแต่คุยโทรศัพท์อยู่นั่นไม่วางสายซะที”

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินนั่งลงตรงฝั่งตรงข้ามกับเหยียนเค่อ ตักข้าวให้ตนเอง “ฉันเปล่าวอแวซะหน่อย ฉันคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับน้องสาวอยู่ต่างหาก”

 

 

“สวีอันหรานเป็นอะไร” ถ้าเทียบกับเสิ่นจิ้งเฉินแล้ว อาการของสวีอันหรานดูจะหนักกว่ามาก

 

 

“น้องสาวฉันบอกว่าเพื่อนเธอท้อง ฉันก็เลยคิดขึ้นได้ หันไปถามอันหรานเรื่องสวีรั่วชีบ้าง แล้วมันก็กลายเป็นแบบนี้นายเห็นเนี่ย” เสิ่นจิ้งเฉินเริ่มแต่งเรื่องโกหกเป็นฉากๆ

 

 

เสิ่นมั่วหลีหลังจากฟังเรื่องทั้งหมดแล้วก็เริ่มจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เงยหน้ามองไปทางเสิ่นจิ้งเฉินแวบหนึ่ง จากนั้นก็ก้มกินข้าวต่อ

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินรับรู้ได้จากสายตาของพี่ชายตนที่ส่งมาเตือนให้เขาระวังให้มากกว่านี้

 

 

เหยียนเค่อไม่ได้รับรู้เรื่องราวอย่างละเอียด จึงเชื่อที่เสิ่นจิ้งเฉินพูด และไม่ได้ถามอะไรต่อ “รีบกินข้าวเถอะ ความจริงนึกว่าจะได้กินข้าวด้วยกัน ที่ไหนได้สวีอันหรานกับ….”

 

 

เหยียนเค่อดูเหมือนเพิ่งจะสรุปเรื่องที่เสิ่นจิ้งเฉินเล่าได้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองขึ้นไปด้านบน “สวีรั่วชีท้องเหรอ”

 

 

“ฉันไม่รู้” เสิ่นจิ้งเฉินรีบตอบ “ฉันก็แค่ถามไปเฉยๆ  เพราะน้องฉันบอกว่า เพื่อนเธอเพิ่งแต่งงานไม่นานก็ท้องแล้ว ฉันก็เลย…”

 

 

เหยียนเค่อขยับมุมปาก การที่สวีอันหรานได้ยินแล้วจะเกิดอาการเป็นแบบนี้ก็ไม่แปลกอะไร เหยียนเค่อเตะไปที่ขาของเสิ่นจิ้งเฉิน “นายไม่มีอะไรจะพูดหรือไง ไปถามมันเรื่องนี้ทำไม”

 

 

“ก็จะได้ให้มันระวังไว้หน่อยไง” เสิ่นจิ้งเฉินลูบขาตนเอง เขยิบออกห่างจากเหยียนเค่อ

 

 

เหยียนเค่อรู้สึกหงุดหงิดมาก จะพูดตอนไหนไม่พูดดันมาพูดตอนนี้ แต่ตนก็รู้สึกว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นไปได้ ชายหนุ่มเคาะโต๊ะ พลางหันไปพูดกับเสิ่นจิ้งเฉิน “นายลองโทรไปถามซย่าเสี่ยวมั่วหน่อยสิ ไม่ต้องหาเรื่องอะไรอีกล่ะ”

 

 

“หืม? หา!” เสิ่นจิ้งเฉินรีบหันขวับไปหาเหยียนเค่อ “ทำไมฉันต้องเป็นคนโทร แล้วนายรู้ได้อย่างไรว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะรู้เรื่องนี้”

 

 

“ตอนนี้มีแค่ซย่าเสี่ยวมั่วที่อยู่กับสวีรั่วชี ไม่โทรหาเธอแล้วจะให้โทรหาใคร” เหยียนเค่อแค่เหยียดขาออกก็สามารถถีบเก้าอี้ของเสิ่นจิ้งเฉินที่ขยับออกไปอยู่ห่างๆ ได้แล้ว

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินพยุงขาตนเองแล้วหมุนตัวกลับมา “นายถีบฉันทำไม ถ้าอยากโทรนายโทรเองเลย ฉันไม่สนิทกับซย่าเสี่ยวมั่ว” ชายหนุ่มแค่กลัวว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะหลุดปากพูดออกมา จึงให้เหยียนเค่อเป็นคนโทรจะดีกว่า แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าซย่าเสี่ยวมั่วรับโทรศัพท์แล้วจะรู้สึกขอบคุณตนไหม เสิ่นจิ้งเฉินเริ่มกังวล

 

 

เหยียนเค่อหมดความอดทน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทรหาสวีรั่วชี แต่คิดไปคิดมา ถ้าโทรหาสวีรั่วชีโดยตรงคงไม่ดีนัก นิ้วเลื่อนดูรายชื่อเรื่อยๆ  สรุปโทรหาซย่าเสี่ยวมั่วคงจะดีกว่า

 

 

คนอย่างเหยียนเค่อปกติไม่ใส่ใจในเรื่องอะไรแบบนี้ ทำไมคราวนี้ถึงจะให้เขาโทรไปสอบถามเรื่องนี้ล่ะ เสิ่นจิ้งเฉินคิดหาเหตุผลไม่ได้จริงๆ

 

 

ชายหนุ่มจึงอาศัยช่วงที่เหยียนเค่อกำลังโทรศัพท์หันไปถามพี่ชายตน “ทำไมมันดูสนใจเรื่องนี้นักล่ะ”

 

 

เสิ่นมั่วหลีเหล่มองน้องชายแวบหนึ่ง “เขากลัวว่าสวีอันหรานจะหนีกลับไปก่อน”

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินมองพี่ชายด้วยความประหลาดใจ เสิ่นมั่วหลีเข้าใจเหยียนเค่อดีกว่าตนเองซะอีก ให้ตายเถอะเจ๋งจริงๆ

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 486 ต่างฝ่ายต่างลำบากใจ

 

 

วันนี้เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือทำให้ซย่าเสี่ยวมั่วปวดหัวเป็นอย่างมาก

 

 

“ทำไมวันนี้มีแต่คนโทรหาเธอล่ะ เธอไม่ได้ไปสร้างความแค้นให้ใครมาอีกใช่ไหม” สวีรั่วชีกำลังกินซุปไก่ที่ซย่าเสี่ยวมั่วทำ เธอควานเอาเนื้อไก่ดีๆ มาไว้ในชามตนเองหมด

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วยิ้มแห้ง “นั่นน่ะสิ แค่ชดใช้ให้เธอคนเดียว ฉันก็แทบจะบ้าตายอยู่แล้ว”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดรับสายแล้วเดินไปคุยที่ระเบียง

 

 

เหยียนเค่อไม่รู้ว่าทำไมกว่าหล่อนจะรับสายเขาต้องใช้เวลานานขนาดนี้ ในใจก็คิดไปว่า แม้กระทั่งจะรับสายตนหล่อนก็ไม่อยากรับเลยหรือ

 

 

“ฮัลโหล” เสียงราบเรียบของผู้หญิงดังมาตามสาย เหยียนเค่อรับรู้ได้ว่าหล่อนกำลังอารมณ์ไม่ดี การที่เขาโทรมาหาหล่อน มันทำให้หล่อนลำบากใจขนาดนั้นเชียวหรือ

 

 

“เหยียนเค่อ” หล่อนไม่กระตือรือร้น ชายหนุ่มก็ยิ่งขรึม

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินเสียงชายหนุ่มก็แทบจะตกลงมาจากเก้าอี้ รวบรวมสมาธิและน้ำเสียงถามออกไป

 

 

“นายโทรหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่า”

 

 

คนที่คอยสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ อย่างเสิ่นจิ้งเฉินเห็นสีหน้าที่ดูบึ้งตึงลงเรื่อยๆ ของเหยียนเค่อจนแทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งได้ ก็ได้แต่หันหน้าไปมองพี่ชายของตน ซย่าเสี่ยวมั่วคงไม่ได้บอกความจริงออกไปใช่ไหม เธอจะทำให้เหยียนเค่อรู้สึกลำบากใจกว่าเดิมหรือเปล่าเนี่ย

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วรออยู่สักพักก็ยังไม่ได้ยินเสียงเหยียนเค่อ เธอคิดว่าชายหนุ่มคงวางสายไปแล้ว แต่เมื่อดูที่หน้าจอโทรศัพท์ ก็เห็นว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในสาย จึงแนบหูไปฟังอีกครั้ง

 

 

“สวีรั่วชีท้องแล้วเหรอ” เหยียนเค่อไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไร จึงถามออกไปโพล่งๆ

 

 

สีหน้าของซย่าเสี่ยวมั่วซีดลงเรื่อยๆ  ชะโงกหน้าไปมองสวีรั่วชีที่ดูเหมือนก็กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องอาหาร แต่ก็ปากแข็งบอกไป “ไม่รู้สิ”

 

 

“ไม่บอก? อย่างนั้นก็แสดงว่าจริงสินะ” เหยียนเค่อสรุปเอาเองเลย

 

 

“เฮ้ย เฮ้ย อย่านะ ทำไมนายเป็นแบบนี้ล่ะ!” ซย่าเสี่ยวมั่วจากที่รู้สึกปวดแค่หัวตอนนี้รู้สึกว่าทรมานไปทั้งตัวแล้ว เหยียนเค่อจะช่วยพยายามเข้าใจความรู้สึกของคนที่โดนกดดันอย่างเธอหน่อยไม่ได้หรือไงนะ

 

 

เหยียนเค่อได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของหญิงสาวก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก พูดด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม “ฉันทำไมงั้นหรอ?”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วรู้ว่าความสัมพันธ์ของตนเองกับชายหนุ่มไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ แถมเธอก็ยังติดหนี้บุญคุณเขาอยู่อีกหลายเรื่อง  หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างกังวล “นายช่วยดีกับฉันหน่อยไม่ได้หรือไง ไม่ต้องถามแล้ว ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น นายเองก็ไม่ต้องรู้เหมือนกัน อย่างนี้ไม่ดีกว่าเหรอ”

 

 

“หึ นี่ฉันยังไม่ดีกับเธออีกเหรอ” พูดถึงตรงนี้เหยียนเค่อก็รู้สึกเหมือนว่าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วกลับไม่รู้เรื่อง หญิงสาวคิดแค่ว่าเมื่อครู่เหยียนเค่อไม่มีอารมณ์คุย แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาจะเริ่มอารมณ์เสีย

 

 

“นายอย่าโมโหไปเลยน่า” ซย่าเสี่ยวมั่วลองเปลี่ยนเป็นง้องอนแทน พร้อมชะโงกหัวไปฟังว่าสวีรั่วชีทำอะไรอยู่ ถ้าเกิดว่าสวีอันหรานถามสวีรั่วชีขึ้นมาล่ะก็ เธอตายสถานเดียวแน่นอน

 

 

“ฉันไม่ได้โมโห” เหยียนเค่อตอบกลับอย่างเย็นชา ทุกครั้งเวลาหญิงสาวปลอบเขาก็เหมือนปลอบเด็กเล็กๆ  ไม่มีความจริงใจเลยสักนิด แค่คิดเขาก็โมโหขึ้นมาอีก บอกลาหญิงสาวทันที “วางล่ะ”

 

 

“อย่าเพิ่งสิ” ได้ยินชายหนุ่มเป็นแบบนี้ซย่าเสี่ยวมั่วจึงโอดครวญ “ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ แต่ฉันรับปากเสี่ยวชีไปแล้ว” ตอนนี้รู้สึกว่าทำไมการเป็นคนมันอย่างนักนะ แต่หล่อนก็ยังไม่อยากจะกลายเป็นหมูอยู่ดี

 

 

หญิงสาวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มโมโหเรื่องอะไร คำพูดที่พูดออกมาจึงทำให้เหยียนเค่อโมโหกว่าเดิม

 

 

“ฉันจะไม่ทำให้เธอลำบากใจแล้ว ถือซะว่าเมื่อกี้ฉันไม่ได้ถามอะไรแล้วกัน”

 

 

“นายอย่าโกรธสิ” ซย่าเสี่ยวมั่วเหนื่อยใจ เธอสัมผัสได้ว่าเหยียนเค่อโกรธเธอ ทั้งๆ ที่ทั้งคู่ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน แต่ซย่าเสี่ยวมั่วก็แค่รู้สึกว่าเธอไม่อยากให้ชายหนุ่มโกรธเธอ เธอได้แต่ต่อว่าตนเอง เฮ้อ ไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมได้แล้วสินะ

 

 

เหยียนเค่อรู้สึกข่มขื่นในใจ แม้หญิงสาวจะรับรู้ได้ว่าเขาโกรธแทบจะทุกครั้ง แต่ก็ไม่เคยรู้เลยสักครั้งว่าเขาโกรธหล่อนเรื่องอะไร

 

 

ทางฝั่งซย่าเสี่ยวมั่วก็เอาแต่คิดไม่ตกว่าจะง้อชายหนุ่มอย่างไร เหยียนเค่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินลงมาจากบันได เมื่อเงยหน้ามอง ก็เห็นสวีอันหรานเดินยิ้มมา เป็นสีหน้าที่ชายหนุ่มรู้สึกเกลียดมากที่สุด