บทที่ 473: เจ้าหญิงต้องห้าม

Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน

Dual Cultivation บทที่ 473: เจ้าหญิงต้องห้าม

 

“ศิษย์คนนั้นดูเหมือนเคยเห็น…” หลินเชาชางครุ่นคิดในใจหลังจากที่ซูหยางเข้าไปในอาคารแล้ว

 

สองสามนาทีหลังจากนั้น สุดท้ายเธอก็นึกขึ้นได้ว่าชื่อของศิษย์คนนั้นคือจางซิวยิง

 

“ใช่แล้วเธอคือเจ้าหญิงต้องห้าม จางซิวยิง”

 

หลังจากที่มีเหตุกับซูหยางที่เขาได้ทำการบดขยี้ศิษย์ไปมากมายที่นิกายดอกบัวเพลิงอีกทั้งยังข่มขู่ผู้นำนิกาย โหวเยินเจีย อีกด้วย เขาได้เตือนพวกเขาว่าจางซิวยิงเป็นเพื่อนของเขาและถ้าเธอได้รับอันตรายอะไรเขาจะกลับมาแก้แค้น

 

นับตั้งแต่เหตุการณ์นั้นกับคำเตือนจากซูหยาง เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกายก็ทำคล้ายกับว่าจางซิวยิงนั้นเป็นเหมือนเจ้าหญิง ไม่เพียงแม้จะกล้าเหลือบมองเธอ ดังนั้นเธอจึงได้ฉายาว่า เจ้าหญิงต้องห้าม

 

ยิ่งไปกว่านั้นพลังการฝึกปรือของเธอเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่เหตุการณ์นั้น กลายเป็นศิษย์หลักไม่กี่เดือนหลังจากนั้น

 

และในเวลานี้ จางซิวยิงก็เหมือนกับเป็นเทพธิดาภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ตัวตนที่อยู่กันคนละโลกกับพวกเขา สิ่งนี้เป็นจริงขึ้นมาหลังจากที่ซูหยางเอาชนะหงอวี้เอ๋อร์และกลายเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของทวีปตะวันออก ยิ่งคนกลัวซูหยางมากขึ้นเท่าไหร่เหล่าศิษย์ในที่นี้ก็ยิ่งกลัวจางซิวยิงมากขึ้นเท่านั้น ในเมื่อเธออยู่ใต้การคุ้มครองของซูหยางโดยตรง

 

“ว่าแต่ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน” หลินเชาชางอดไม่ได้ที่จะเกิดความสนใจ

 

หลายอึดใจให้หลังเธอก็ใช้วิชาปิดบังกายอีกแบบหนึ่งทำการปกปิดกลิ่นอายของตนเองไว้เพื่อที่ตัวตนของเธอจะได้ไม่เล็ดลอดออกไปจนถูกรับรู้ และด้วยตัวตนและกลิ่นอายของเธอที่ได้ปกปิดอย่างสมบูรณ์แล้วก็เหมือนกับว่าหลินเชาชางได้กลายเป็นภูตผี ตัวตนที่ไม่ปรากฏอยู่ในโลกนี้

 

หลังจากที่เธอมั่นใจว่าเธอทำการใช้วิชาปกปิดอำพรางได้สมบูรณ์ดีแล้ว หลินเชาชางก็ตรงเข้าไปยังที่พักของจางซิวยิงและสอดแนมภายในผ่านหน้าต่าง

 

“ว่าแต่ทำไมท่านจึงมาที่นิกายดอกบัวเพลิงล่ะซูหยาง” จางซิวยิงถามเขาหลังจากบริการชาให้กับเขา

 

“ข้ามีธุระอะไรบางอย่างกับหวังชูเหริน”

 

“ผู้อาวุโสหวังรึ เธอมิได้อยู่ในนิกายในตอนนี้”

 

“ข้ารู้ นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำไมข้าจึงยังคงอยู่ที่นี่จนกว่าเธอจะกลับมา”

 

“เอ๋” จางซิวยิงปิดปากด้วยความประหลาดใจหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา “ท่านจะอยู่ที่นี่”

 

ซูหยางพยักหน้าอย่างเรียบเฉยหลังจากที่จิบชา

 

“ต-แต่มีเพียงเตียงเดียวในบ้านหลังนี้ และเตียงก็ใหญ่พอสำหรับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น”

 

จางซิวยิงดูเหมือนจะเข้าใจคำพูดของซูหยางผิดเมื่อเขาพูดว่าเขาจะอยู่ที่นี่

 

ซูหยางหัวเราะเบาๆหลังจากที่เห็นปฏิกิริยาของเธอและกล่าวว่า “ข้ามิได้หมายความว่าจะอยู่ที่นี่จริงๆ ข้าหมายถึงนิกายตอนที่ข้าพูดว่า “ที่นี่” ข้าอยู่ห่างออกไปสิบนาทีจากที่นี่”

 

“อ-โอ ข้าขอโทษสำหรับความเข้าใจผิด…” จางซิวยิงหน้าแดงก่ำ

 

“เจ้ารู้ไหม ถึงแม้ว่าเตียงจะเล็ก มันก็ควรยังคงพอกับคนสองคนถ้าพวกเขานอนชิดกับอีกฝ่าย” ซูหยางพูดกับเธอ

 

“ถ้าข้าต้องการใช้เวลาทั้งคืนที่นี่ ถึงแม้ว่ามันอาจจะคับแคบไปหน่อย แต่เจ้ามิชอบมันรึ” เขาถามเธอด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า

 

“ถ-ถ้าท่านมิรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะมิสบายหากหลับอยู่ในที่คับแคบเช่นนี้…” เธอตอบหลังจากเวลาผ่านไปเล็กน้อยด้วยใบหูที่แดงก่ำ

 

ถึงแม้ว่าพวกเขาได้ทำเช่นนี้ในช่วงเวลาอื่นมาหลายครั้งแล้วก็ตาม เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอายเมื่อไหร่ก็ตามที่เธออยู่ใกล้เขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่เธอถูกหยอกเย้า

 

“ใครพูดเรื่องการนอนหลับกันรึ เราสามารถทำมันทั้งคืนถ้าเจ้าต้องการ” ซูหยางหัวเราะหึๆ

 

“อาา” จางซิวยิงมองดูเขาด้วยใบหน้าประหลาดใจ ทำทั้งคืนรึ ถึงแม้ว่าความทนทานของเธอจะเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาร่วมรักกัน เธอก็ไม่สามารถที่จะอยู่ได้เกินสองสามชั่วโมงอย่างแน่นอน อย่าว่าแต่ทั้งคืน

 

“ว่าแต่ชีวิตในฐานะศิษย์เป็นอย่างไรบ้างหลังจากวันนั้น มีใครที่ยังคงกล้าก่อกวนเจ้าอีกหรือไม่” ซูหยางพลันถามเธอ

 

“น-นั่น…”

 

จางซิวยิงแสดงรอยยิ้มหวานปนขื่นขมและเริ่มอธิบายให้เขาฟังถึงการที่เธอกลายเป็นอยู่คนเดียวหลังจากนั้น

 

“นับตั้งแต่วันนั้นมิมีใครกล้าที่จะพูดกับข้า อย่าว่าแต่จะมากวนข้า ไม่แม้กระทั่งผู้อาวุโสนิกายที่อยากจะมายุ่งเกี่ยวกับข้า ข้ากลายเป็นคนโดดเดี่ยวในนิกายนี้ น่าเสียดายเพราะนั่นหมายความว่าข้าได้มีชีวิตสงบสุขเช่นกันดังนั้นข้าจึงไม่ใส่ใจมัน”

 

“เอ๋” ซูหยางดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

 

จริงแล้วเขาไม่คิดว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนี้ เขาเพียงต้องการให้ผู้คนหยุดรบกวนเธอ แต่กลับเป็นว่าเขาเปลี่ยนเธอให้เป็นคนโดดเดี่ยวในนิกาย

 

หลังจากครุ่นคิดไปชั่วขณะ เขาก็พูดขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าต้องการที่จะไปกับข้าสู่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไหม พวกเราสามารถรับศิษย์จำนวนมากในตอนนี้เจ้ารู้ไหม”

 

“ท่านต้องการให้ข้าเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยงั้นรึ” จางซิวยิงจ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ เธอไม่เคยคิดฝันว่าซูหยางจะเชื้อเชิญเธอไปยังนิกายของเขา

 

เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “ในเมื่อทุกคนที่นี่หวาดกลัวเจ้า ทำไมเจ้ามิไปกับข้าสู่สำนักของข้า ข้ามั่นใจว่าเจ้าจักเข้ากับศิษย์คนอื่นได้อย่างรวดเร็ว”

 

“อืม…แม้ว่าข้าชอบที่จะไปกับท่าน แต่ข้ามิอาจจะทิ้งอาจารย์ของข้าไว้ที่นี่ได้ เธอเป็นเหตุผลเดียวที่ทำไมพลังการฝึกปรือของข้าจึงมาถึงระดับนี้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ และข้าก็ยังสงสัยว่าเธอจะยอมให้ข้าจากนิกายดอกบัวเพลิงหรือไม่หลังจากที่ใช้ทรัพยากรจำนวนมากกับข้า”

 

“อาจารย์ของเจ้า… หวังชูเหรินงั้นรึ” เขาถาม เธอก็พยักหน้า

 

“ทำไมเจ้ามิพูดกับเธอถึงเรื่องนี้เมื่อเธอกลับมาล่ะ ข้ามั่นใจว่าเธอจักยิ่งกว่ายินดีที่จะให้เจ้าไปกับข้า ข้าก็จักไปกับเจ้าด้วย”

 

“จริงรึ ท่านคิดว่าผู้าอาวุโสหวังจักยอมให้ข้าไปนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยงั้นรึ” จางซิวยิงมองดูเขาด้วยดวงตามีความหวัง

 

“ข้ามั่นใจ” เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มมั่นใจ

 

ในเวลานั้นหลินเชาชางฟังการสนทนาของพวกเขาด้วยใบหน้าที่มีแต่ความไม่เชื่อ

 

“ซ-ซูหยางคนนี้ เขากล้าแย่งชิงศิษย์ของเราจริงๆ และเธอก็เป็นศิษย์หลักอีกด้วย ช่างไร้ยางอาย” เธอร่ำร้องในใจ