บทที่ 427 หาเรื่อง

บัลลังก์พญาหงส์

​เรื่องได้รับความดีความชอบไปด้วยนั้นถือว่าเป็นเรื่องจริง…ถึงแม้นี่จะเป็นความคิดของถาวจวินหลัน แต่ว่าสามีภรรยาก็ถือว่าเป็นคนคนเดียวกัน ความดีความชอบของถาวจวินหลันในครั้งนี้ แน่นอนว่าต้องแบ่งให้หลี่เย่ส่วนหนึ่ง ฮ่องเต้ทรงชมเชยหลี่เย่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว อีกทั้งยังได้ชมหลี่เย่ต่อหน้าขุนนางทุกคนว่าหลี่เย่เป็นคนมีจิตใจเมตตา ใส่ใจประชาชน ให้เอาเขาเป็นแบบอย่าง

หากเพียงเท่านี้ก็ช่างเถิด ที่สำคัญที่สุดก็คือ สุดท้ายแล้วฮ่องเต้ยังทรงมองไปทางองค์รัชทายาทแล้วตรัสว่า “องค์รัชทายาทเองก็ควรเอาตวนชินอ๋องเป็นแบบอย่าง”

แค่คิดก็รู้ว่าคำพูดนี้ส่งผลกระทบมากเท่าไร

พริบตาเดียว เรื่องซุบซิบก็แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ว่าฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับตวนชินอ๋องมากกว่าองค์รัชทายาท

องค์รัชทายาทดูเหมือนสีหน้าจะเปลี่ยนไปทันที ถึงแม้จะรับคำด้วยการแสดงท่าทีเสียใจ และพูดอย่างใจกว้างว่าตัวเขาเองก็จะพยายามให้มาก แต่รอจนกระทั่งจบการว่าราชการและลับหลังฮ่องเต้แล้ว องค์รัชทายาทก็อดใช้สายตาเคียดแค้นคมกริบราวใบมีดมองหลี่เย่ไม่ได้

เหิงกั๋วกงก็เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ตวนชินอ๋องช่างเป็นห่วงประชาชนจริงๆ ถึงได้คิดวิธีเช่นนี้ได้…”

เห็นได้ชัดว่า เหิงกั๋วกงคิดว่าความคิดนี้ไม่ใช่ความคิดของถาวจวินหลัน แท้ที่จริงแล้วเป็นความคิดของหลี่เย่ทั้งหมด แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตของคนอื่น จึงอ้างชื่อของถาวจวินหลันก็เท่านั้น

องค์รัชทายาททำหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

หลี่เย่หันไปยิ้มอย่างโยนอ่อนให้เหิงกั๋วกง “เหิงกั๋วกงชมเกินไปแล้ว ก็แค่ถาวซื่อให้ความใส่ใจ จึงคิดวิธีนี้ได้ก็เท่านั้น” สักพัก ก็มองไปทางองค์รัชทายาท แล้วพูดอย่างจริงใจว่า “คิดไม่ถึงว่าจะทำให้พี่ใหญ่ต้องลำบากไปด้วย”

องค์รัชทายาทฝืนยิ้มเอ่ย “ที่ไหนกันเล่า”

หลี่เย่ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “คิดว่าพี่ใหญ่คงไม่ใส่ใจเรื่องเช่นนี้กระมัง? เสด็จพ่อก็ตรัสไปเท่านั้น พี่ใหญ่อย่าเก็บมาใส่ใจเลย ข้ารู้ดีว่าช่วงนี้พี่ใหญ่เหน็ดเหนื่อยจากเรื่องการอพยพลี้ภัยอย่างมาก”

สีหน้าขององค์รัชทายาทยิ่งไม่ดีขึ้นไปอีก จากนั้นก็ฝืนฉีกยิ้มอีกทีแล้วพูดไปตามมารยาท แล้วองค์รัชทายาทที่ไม่อยากเห็นหน้าหลี่เย่อีก ก็หันหลังแล้วเดินออกไป

จริงๆ แล้ว ช่วงนี้องค์รัชทายาทก็ยุ่งมากจริงๆ …เนื่องจากฮ่องเต้ทรงมอบหมายการอพยพลี้ให้เขาจัดการ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ก็แค่ส่งอาหารและเงินออกไปช่วยเหลือก็พอแล้ว แต่ที่สำคัญก็คือ ฮ่องเต้ตรัสว่าเงินในท้องพระคลังหลวงมีไม่พอ ให้องค์รัชทายาทคิดหาวิธี จึงทำให้องค์รัชทายาทหนักใจเป็นอย่างมาก

เงินลอยลงมาจากฟ้าไม่ได้ เมื่อท้องพระคลังหลวงไม่มี แต่เรื่องการอพยพลี้ภัยครั้งนี้ก็กำลังจะมาถึงในไม่ช้า อีกทั้งยังรู้ดีแก่ใจว่าหากจัดการได้ไม่ดี ครั้งนี้จะต้องถูกตำหนิแน่นอน เกรงว่าเพื่อรักษาหน้าเอาไว้ องค์รัชทายาทจึงต้องพยายามคิดหาวิธีอย่างสุดความสามารถ

องค์รัชทายาทกลุ้มใจอย่างมาก แต่หลี่เย่กลับยังพูดถึงเรื่องนี้อีก แล้วองค์รัชทายาทยังจะสบายใจอยู่ได้อย่างไร? พอคิดถึงว่าตัวเองลงมือคิดหาวิธีแทบเป็นแทบตายยังไม่ได้รับคำชมสักคำ แต่หลี่เย่เพียงแค่ทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กลับได้รับคำชมเช่นนี้ องค์รัชทายาทจึงรู้สึกหงุดหงิดและเสียใจ ทั้งที่เป็นลูกชายเหมือนกัน ทำไมเสด็จพ่อถึงไม่พอใจในตัวเขาไปเสียทุกเรื่อง?

เรื่องนี้ ดูเหมือนจะทำให้องค์รัชทายาทนึกถึงเรื่องโกรธแค้นตอนเด็กขึ้นมา องค์รัชทายาทก็ยิ่งรู้สึกเกลียดหลี่เย่มากขึ้น…หากมีหลี่เย่อยู่ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น

พูดย้อนกลับมา ฮ่องเต้ทรงประทานรางวัลใหญ่โตให้กับถาวจวินหลัน อีกทั้งยังประทานอนุญาตให้นางเป็นกรณีพิเศษอีกหลายข้อ อนุญาตให้นางใช้ของสีแดงเข้มได้ ไม่เพียงแต่สิ่งที่ได้รับจะเทียบเท่ากับตำแหน่งพระชายาเอกเท่านั้น สุดท้ายแล้วยังประทานปิ่นปักผมหงส์แปดหาง และชุดพร้อมทั้งเครื่องประดับอีกหนึ่งชุด

เมื่อได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ทำให้คนต่างอิจฉาตาร้อน ข้อแรก คือตอนนี้นับว่าฐานะเทียบเท่ากับพระชายาเอกแล้ว นอกจากชื่อเรียกพระชายารอง จริงๆ แล้วทุกอย่างก็ถือว่าเท่ากับภรรยาเอกแล้ว อีกทั้งหลิวซื่อที่คงเหลือเพียงแต่ชื่อก็ไม่มีอำนาจใดๆ …ฐานะของถาวจวินหลันจึงยิ่งสูงขึ้นไปอีก

ส่วนปิ่นปักผมหงส์แปดหางนั้น จริงๆ แล้วก็มีเพียงแค่พระชายาเอกของชินอ๋องเท่านั้นถึงจะใช้ได้

การประทานรางวัลในครั้งนี้หากจะบอกว่าเป็นของมีค่านั้น ก็เทียบกับแก้วแหวนเงินทองต่างๆ ที่ฮ่องเต้ทรงประทานในครั้งก่อนๆ ไม่ได้เลย เพราะรางวัลในครั้งนี้มีความหมายจนหาสิ่งได้มาเทียบไม่ได้

ราชโองการเพิ่งประกาศออกไป ก็มีคนไม่น้อยที่ตกใจจนอ้าปากค้าง นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เหมือนเป็นการบอกคนอื่นอย่างชัดเจนว่า หากไม่ใช่เพราะหลิวซื่อยังอยู่ เกรงว่าตอนนี้ถาวจวินหลันคงจะได้ขึ้นเป็นชายาเอกแล้ว

ส่วนสิทธิพิเศษเช่นนี้ ตั้งแต่โบราณมาจะมีสักกี่คนที่เคยได้รับ? พริบตาเดียว คนจำนวนไม่น้อยต่างก็เริ่มคิดกันไปว่า…ถึงแม้จะไม่ได้รับรางวัลเหมือนถาวจวินหลัน แต่ขอให้ได้รับคำชมจากฮ่องเต้เสียหน่อย ก็ถือว่าดีมากแล้ว ถาวจวินหลันเพียงแค่ออกความเห็นให้เอาบ้านพักมาเป็นที่ลี้ภัยของประชาชนก่อนแค่นั้น ก็มีโอกาสได้รับสิ่งดีๆ เช่นนี้ แล้วหากพวกนางเสนอบ้านพักและเงินให้จำนวนมากกว่านี้เล่า?

พริบตาเดียว ในเมืองหลวงก็เกิดกระแสการซื้อที่ดินครั้งใหญ่ แม้แต่ที่ดินที่ทำเลไม่ค่อยดีก็ยังขายได้ในราคาดี

แล้วบ้านพักทั้งหมดนั้น ต่างก็ส่งให้ราชสำนัก ‘ยืม’ เพื่อเป็นที่อยู่ของประชาชนที่อพยพมา

แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลัง เพียงแค่พูดถึงตอนที่ถาวจวินหลันเพิ่งได้รับราชโองการ เจียงอวี้เหลียนที่ออกมารับราชโองการอยู่ข้างๆ นางก็กัดฟันกรอดๆ อย่างไม่ยินยอม เอาอะไรมาวัด? นางเองก็ต้องให้ยืมบ้านพักของนางออกไปเช่นกัน ทำไมสุดท้ายแล้วคนที่ได้รับรางวัลกลับเป็นถาวจวินหลัน โดยที่นางเองไม่ได้ลงแรงทำอะไรเลยแม้แต่น้อย?

เจียงอวี้เหลียนรู้สึกไม่ยุติธรรม อีกทั้งต่อไปถึงแม้ว่านางกับถาวจวินหลันจะเป็นพระชายารองตวนชินอ๋องเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วถาวจวินหลันกลับสูงกว่านางอีกหนึ่งขั้น! ไม่เพียงแต่จะได้รับเบี้ยเลี้ยงเทียบเท่ากับพระชายาเอก ต่อไปหากวังหลวงจัดงานภายในขึ้น ถาวจวินหลันก็มีสิทธิ์ได้เข้าร่วม!

เจียงอวี้เหลียนรู้สึกว่าถาวจวินหลันตั้งใจทำด้วยหวังผลประโยชน์

แต่เจียงอวี้เหลียนกลับไม่รู้ว่า เรื่องทำดีเพื่อหวังผลนั้นเป็นเรื่องจริง แต่คนที่หวังผลจริงๆ แล้วกลับเป็นหลี่เย่ ด้วยหลี่เย่ทูลบอกฮ่องเต้แทนถาวจวินหลัน อีกทั้งยังให้คนคอยไปพูดต่อหน้าฮ่องเต้ ถึงขั้นกระตุ้นให้พระองค์รู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อย ถาวจวินหลันถึงได้รับรางวัลเช่นนี้มา

ไม่อย่างนั้น อยู่ๆ ฮ่องเต้จะคิดถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร? หลี่เย่ให้คนไปพูดเตือนฮ่องเต้ว่า ตอนนี้หลิวซื่อก็ป่วยจนลุกจากเตียงไม่ได้ จวนตวนอ๋องไม่มีนายหญิงคอยออกหน้า ในเมื่อตอนนี้เรื่องต่างๆ ในจวนตวนอ๋องมีถาวซื่อคอยจัดการ เช่นนั้นก็สู้ยกฐานะให้ถาวซื่อมากขึ้นไม่ดีกว่าหรือ? ข้อแรกคือจวนตวนชินอ๋องจะได้มีนายหญิงคอยออกหน้าเรื่องต่างๆ ข้อสองเพื่อแสดงความมีเมตตาของพระองค์ คนทำดีต้องได้รับรางวัล คนทำผิดก็ต้องได้รับโทษ

พูดย้อนกลับมา จริงๆ แล้วถึงแม้ว่าเจียงอวี้เหลียนจะกัดฟันจนฟันหักหมดทั้งปาก หรือจะโกรธจนกระอักเลือด แล้วยังไง? ความจริงก็คือความจริง ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว

ถาวจวินหลันกลับรู้สึกว่ารางวัลยิ่งใหญ่เกินไปจนน่าตกใจและน่ากลัวๆ เล็กน้อย แน่นอนว่า หลังจากหายตกใจแล้ว นางก็รู้สึกดีใจ…เมื่อเป็นเช่นนี้ ฐานะของนางก็ยิ่งมั่นคงขึ้น การจัดการเรื่องต่างๆ ในจวนอ๋องก็ยิ่งสะดวกมากยิ่งขึ้น แม้แต่ต่อไปเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจียงอวี้เหลียน นางก็ถือว่ามีอำนาจมากกว่าแล้ว

แต่ว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปนางก็จะต้องรับหน้าที่ออกหน้าออกตาในงานต่างๆ แทนหลิวซื่อ…เมื่อก่อนนางเป็นพระชายารอง เทียบกับพระชายาองค์รัชทายาทและพระชายาเอกขององค์ชายคนอื่นๆ แล้วย่อมไม่ใช่ฐานะขั้นเดียวกัน แล้วนางก็ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงในวังหลวง นางจึงได้เจอหน้ากับพระชายาเอกพวกนี้น้อยครั้งมาก แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนกันแล้ว ต่อไประหว่างนางกับบรรดาชายาเอก ก็จะได้มีโอกาสพบหน้ากันบ่อยขึ้น

คิดถึงสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็รู้ดีแก่ใจ ต่อไปเมื่อผู้หญิงอยู่รวมกัน จะไม่มีทางทำเรื่องอะไรที่ใสสะอาดอย่างแน่นอน อย่างไรก็ต้องเกิดการแก่งแย่งชิงดีกันขึ้น

ฮ่องเต้ทรงประทานรางวัลมาไม่น้อย ฮองเฮาที่เป็นมารดาของแผ่นดิน เป็นภรรยาเอกของฮ่องเต้ แน่นอนว่าจะน้อยหน้าไม่ได้ ถึงแม้ว่าฮองเฮาจะยังไม่ ‘หายดี’ แต่ว่าก็ยังคงส่งคนให้นำรางวัลมาประทานให้

นอกจากแก้วแหวนเงินทองของมีค่าแล้ว ที่ทำให้รู้สึกสนใจมากที่สุดก็คือหนังสือคุณสมบัติของสตรี ฮองเฮาตรัสว่า “ถาวซื่อมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเป็นแบบอย่างที่ดี หวังว่านางจะตั้งใจอ่านหนังสือคุณสมบัติของสตรี ต่อไปจะได้เป็นแบบอย่างของผู้หญิงทุกคน”

เมื่อเป็นเช่นนี้ ชื่อเสียงของถาวจวินหลันจึงเป็นที่โด่งดังขึ้นมาว่าเดิมไม่น้อย…อย่างน้อยผู้หญิงต่างก็รู้จักนางแล้ว

ในเมื่อได้รับรางวัล เช่นนั้นก็จะต้องเข้าวังไปเพื่อขอบพระทัย

ดังนั้นวันนี้ถาวจวินหลันจึงแต่งตัวอย่างเรียบร้อย สวมเสื้อชุดใหม่ที่ได้รับพระราชทานมา แล้วปักผมด้วยปิ่นรูปหงส์แปดหางและเครื่องประดับที่ฮองเฮาประทานให้ นางเข้าวังเพื่อขอบพระทัยฮองเฮาด้วยชุดสง่างามและเป็นทางการ

เทียบกับทุกครั้งที่จะเข้าไปถวายพระพรไทเฮาก่อน ครั้งนี้นางกลับเลือกเข้าไปถวายพระพรฮองเฮาก่อน

ถาวจวินหลันเพิ่งก้าวเข้าวังของฮองเฮา ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้คิดถึงรอยยิ้มที่แฝงนัยของฮองเฮาในวันนั้น นางจึงกระวนกระวาย อีกทั้งยังไม่สบายใจเล็กน้อย

แต่ว่าความรู้สึกพวกนั้นก็ถูกนางปกปิดเอาไว้ได้เป็นอย่างดี จึงทำให้คนอื่นดูไม่ออก

พอเข้าไปในห้องแล้วถาวจวินหลันถึงได้รู้ว่าที่แท้พระชายาองค์รัชทายาทก็อยู่ด้วย

“หม่อมฉันถวายพระพรฮองเฮา ขอฮองเฮาทรงพระเจริญหมื่นปีเพคะ” ถาวจวินหลันถวายคำนับฮองเฮาอย่างตั้งใจ ท่าทีนอบน้อมจนไม่สามารถหาข้อผิดพลาดตรงไหนได้แม้แต่น้อย

ฮองเฮาบอกให้นางลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งยังให้นางนั่งลง จากนั้นก็มองไปทางพระชายาองค์รัชทายาท หัวเราะแล้วตรัสว่า “เจ้าดูสิ สมกับเป็นแบบอย่างที่ดีจริงๆ แม้แต่ถวายคำนับยังทำได้ดีกว่าเจ้า ทุกครั้งเจ้าก็ได้แต่ทำอย่างส่งๆ  เหมือนกับร่ำเรียนมาเป็นเวลานานที่ไหนกัน?”

พระชายาองค์รัชทายาทปิดปากแล้วหัวเราะ “เสด็จแม่ทรงไม่โปรดข้าแล้ว ช่างเถิดๆ ตรงไหนข้าก็สู้พระชายารองถาวไม่ได้ เช่นนั้นท่านให้พระชายารองถาวอยู่ถวายการดูแลท่านเถิด ข้าขอทูลลาเพคะ”

ฮองเฮาได้ยินแล้ว ก็แกล้งว่าออกมาทันที “ดูเจ้าสิ ข้าว่าอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว”

ถาวจวินหลันก็หัวเราะตามไปด้วย “หม่อมฉันมีตรงไหนดีกว่าพระชายาองค์รัชทายาทกันล่ะเพคะ? พระชายาองค์รัชทายาทชมเกินไปแล้ว”

ฮองเฮาหัวเราะ “ใช่ ไม่มีอะไรที่เปรียบเทียบกันได้” แต่นางกลับไม่พูดอะไรต่อ แต่จากสายตาที่มองไปทางพระชายาองค์รัชทายาทก็ดูออกได้ชัดว่า คนที่เทียบไม่ได้หมายถึงใครกันแน่

ถาวจวินหลันได้แต่ทำเป็นไม่เข้าใจ ยังคงนั่งตัวตรง ใบหน้ามีรอยยิ้ม

“ข้าได้ยินว่าซวนเอ๋อร์ไปหลบร้อนกับอี๋เหนียงคนหนึ่งในจวนของเจ้ารึ?” ฮองเฮายิ้มแล้วถามด้วยน้ำเสียงแฝงนัยบางอย่างเอาไว้ “ฤดูร้อนก็ผ่านไปแล้ว ทำไมถึงยังออกไปหลบร้อนอีกเล่า? ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่า ไทเฮาทรงไม่ค่อยสบายพระทัยนัก ควรจะรับซวนเอ๋อร์ที่เป็นเหลนเข้ามาในวังหลวง เพื่อให้พระองค์ดีพระทัยหน่อยจะดีกว่า”

พูดถึงซวนเอ๋อร์ หัวใจของถาวจวินหลันก็หนักอึ้งทันที แต่ว่าใบหน้าของนางกลับยังคงมีรอยยิ้ม “จริงๆ ก็ไม่ถือว่าไปหลบร้อนหรอกเพคะ เพียงแต่ไปเที่ยวเล่นเท่านั้น”

“หมิงจูยังเล็ก เจ้าก็ยอมปล่อยให้นางไปอย่างนั้นหรือ?” ฮองเฮายังคงยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับชวนให้คนที่เห็นรู้สึกขนลุก “ข้ายังคิดว่าเป็นเพราะสาเหตุอื่นเสียอีก”

ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปทางพระชายาองค์รัชทายาทที่ท่าทางยินดีที่เห็นผู้อื่นตกที่นั่งลำบาก จากนั้นจึงได้แต่ถอนใจ แล้วยิ้มเฝื่อน “จริงๆ แล้วทำเช่นนี้ก็ด้วยมีเหตุผลอื่นเพคะ”

“อ้อ?” ฮองเฮาคล้ายจะสนใจขึ้นมา “ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด? ถึงได้ทำให้เจ้าตัดใจส่งซวนเอ๋อร์กับหมิงจูออกไปจากจวนอ๋องได้?”