ส่วนที่ 3 ตอนที่ 52

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เรื่องร้ายมาเยือน  

หลี่กังหน้าดำคร่ำเครียด โกรธจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เขาพูดเสียงดังว่า “พวกชาวยุทธ์ใช้กำลังเพื่อแหกกฎ พวกบัณฑิตใช้ความรู้หาช่องโหว่กับกฎหมาย ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นที่ได้กวาดล้างพวกจวี้เหมิ่งและกัวเจี่ย นักดาบพเนจรในใต้หล้าไม่เพียงแต่ไม่สูญหายไป แต่กลับยิ่งทียิ่งมากขึ้น การต่อกรกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟันใช่สิ่งที่พวกข้าเลือกเสียที่ไหน ตอนนี้เหล่านักดาบพเนจรยิ่งเพิ่มทะลักจำนวนมากขึ้น แต่ไม่ทันไรก็ตายเพื่อลาภยศ การเข่นฆ่ากันบนถนนหนทางจึงกลายเป็นเรื่องปกติไป หากปล่อยให้ลอยนวลย่อมเป็นภัยร้ายต่อใต้หล้าในอนาคต

อวิ๋นเยี่ยขดอยู่ที่มุมกำแพง เพิ่งจะโดนด่าเสร็จ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะยั่วโมโหตาเฒ่า

“จิตใจของวัยรุ่น เจ้าปล่อยให้นักดาบพเนจรทำอะไรตามอำเภอใจ เห็นกฎหมายราชสำนักเป็นเหมือนของเด็กเล่น เหลวไหล เหลวไหลสิ้นดี” อาจารย์อวี้ซันก็โกรธไม่น้อยเช่นกัน ซินเย่ว์อยู่ข้างหลังลูบหลังให้ชายชราถือโอกาสส่งยิ้มให้อวิ๋นเยี่ย

หลี่ไท่นั่งเล่นหินหลิวหลีในมืออยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีที่มีความสุขที่เห็นอวิ๋นเยี่ยเป็นทุกข์ หลี่เค่อนั้นวิญญาณแทบจะออกจากร่างมองค้อนไปบนหลังคา เว่ยฉือต้าส่ากลับมีสีหน้า ‘ตื่น’ เต้นดีใจ แบมือกำหมัดด้วยท่าทีอยากจะลองของ เสียดายที่ตอนนี้ไม่สามารถประลองฝีมือกับจอมยุทธ์พเนจรได้

ในโรงอาหารของสำนักศึกษามีผู้คนรายล้อมเต็มไปหมด ต่างก็ฟังคนอื่นเล่าเรื่องที่น่าสนใจของอวิ๋นเยี่ยเมื่อวานนี้ด้วยอาการอยากรู้อยากเห็น

หลิวเซี่ยนพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เพียงแค่หัวขโมยเท่านั้น เหตุใดต้องกลัวด้วย รอให้ข้ากลับไปฉางอัน ต้องจับเขากลับมาให้อย่างง่ายดาย เมื่อถึงเวลานั้นอวิ๋นโหวจะฆ่าจะแกงก็สุดแท้แต่ท่าน”

เขาเข้าใจผิดไปแล้ว คิดว่าอวิ๋นเยี่ยกังวลเกี่ยวกับการถูกลอบสังหาร แต่เขากลับไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยนั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นในตัวจอมยุทธ์พเนจรเป็นอย่างมาก ลองคิดดูหลังจากผ่านไปอีกหนึ่งร้อยปี คงค่งเอ๋อร์ จิงจิงเอ๋อร์ เนี่ยอิ่นเหนียง หงเซี่ยน มีท่านไหนบ้างที่ไม่ทำให้คนเกิดจินตนาการออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาหวังว่าหลังจากที่ซีถงรู้ความจริงของเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วจะแวะมาที่บ้านเขาเพื่อพูดคุยเรื่องการท่องยุทธ์ภพ แม้ความรู้สึกที่เขาเห็นซีถงเป็นจอมยุทธ์ฝีมือสูงส่งจะถูกทำลายลง รู้สึกผิดหวังเมื่อเห็นว่าเขาถูกกลุ่มคนร่วมกันลงมือต่อยเขาจนใบหน้าฟกช้ำดำเขียวก็ตามที แต่ความผิดหวังนี้ก็ไม่สามารถดับเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงในหัวใจของเขาที่มีใจรักในเรื่องของจอมยุทธ์ลงได้

ซีถงไม่มาแต่ที่มาคือหยวนไว่หลาง[1]ห่งกรมโยธา ท่านนี้เป็นคนอารมณ์ดีมาก ตำแหน่งสูงกว่าเซี่ยจั่งกู้คนนั้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า  ความองอาจผึ่งผายย่อมต้องสูงส่งกว่ามากมายนัก เขาส่งช่างฝีมือสองคนให้ทำงาน ร่วมกินและร่วมนอนกับเหล่าคนงานเตาเผา เขาเปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลองและนั่งรถเทียมวัวที่โคลงเคลงมาที่สำนักศึกษา เขาพูดคุยกับทุกคนในสำนักศึกษาได้เป็นอย่างดี แม้แต่หวงสู่ที่กำลังกวาดพื้นเขาก็ยังซักถามด้วย ทำให้หวงสู่ซาบซึ้งในอยู่เป็นนาน

พูดคุยกับอวิ๋นเยี่ยโดยคนหนึ่งเดินหน้าคนหนึ่งตามหลังและรักษาระยะห่างไว้ครึ่งก้าว สนทนาด้วยความสุภาพเป็นกันเอง การจัดการงานต่างๆ ก็ทำได้ดีมาก เขาส่งช่างฝีมือดีมาสองคนดีกว่าส่งเจ้าหน้าที่มาหนึ่งร้อยคนเป็นอย่างมาก

เขาชื่นชมระบบการจัดการของสำนักศึกษาและจดบันทึกไว้อีกด้วย ทั้งยังชื่นชมความมีชีวิตชีวาของนักเรียนในสำนักศึกษา จากนั้นไปดูการแข่งขันฟุตบอลอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน ระหว่างนั้นยังได้ทานอาหารในสำนักศึกษาอีกหนึ่งมื้อ ตักอาหารใส่กล่องอาหารตามอวิ๋นเยี่ยด้วยความสนอกสนใจ และไปนั่งทานที่โรงอาหาร ถือโอกาสประเมินโรงครัวที่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่งโดยประเมินให้ในระดับสูง เหล้านั้นห้ามดื่มอย่างเด็ดขาด แต่กลับยิ้มตาหยีเก็บเหล้าขวดเล็กๆ ไว้ที่อกเสื้อ โดยบอกว่าหลังเลิกงานเมื่ออยู่ลำพังจะต้องค่อยๆ ลิ้มลองรสชาติเหล้าชั้นดีของจวนอวิ๋น

เขามาที่สำนักศึกษาเพียงสองวันก็สนิทสนมกับทุกคนแล้ว บางครั้งก็ไปฟังการบรรยายของอาจารย์เฒ่าสองสามคาบเรียน บางครั้งก็พูดคุยแลกเปลี่ยนกับอวิ๋นเยี่ยเกี่ยวกับปัญหาในการกำหนดปฏิทิน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ใฝ่รู้เป็นอย่างมาก ในด้านดาราศาสตร์ก็มีมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เรื่องบางอย่างแม้แต่อวิ๋นเยี่ยเองก็ไม่เข้าใจ เขากลับอ้างอิงจากบันทึกในหนังสือโบราณพูดอธิบายอย่างมีแบบแผนได้โดยละเอียด

ยอดเยี่ยมจริงๆ อวิ๋นเยี่ยไม่กล้าที่จะผ่อนปรนแม้เพียงเล็กน้อย ต้องดูแลประกบติดทุกวันกลัวว่าจะพลั้งเผลอทำอะไรผิดพลาดไปจนไม่เหลือหนทางให้เยียวยา

ดูถูกเจ้าหน้าที่ของฉางอัน แต่ท่านนี้เป็นข้อยกเว้นอย่างแน่นอน เพราะเขามีชื่อที่ดังกึกก้องนับพันปีว่าสวี่จิ้งจง!

จั่งซุนอู๋จี้จอมราคะแห่งยุคก็ต้องพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเขา ตอนนี้อายุยังไม่ถึงสามสิบปี แต่กลับสามารถใช้ความรู้ที่มีสร้างชื่อในฉางอาน ยอดหัวกะทิผู้ที่ออกจากกั๋วจื่อเจี้ยนที่มีความสนใจมากเป็นพิเศษเกี่ยวกับบันทึกประวัติศาสตร์ต่างๆ สามารถค้นหา “เหตุผลร้อยแปดพันเก้าโดยไม่มีผู้ใดเสียหาย” ออกจากกองกระดาษ เพื่ออ้างอิงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นออกมาได้ รวมถึงในอนาคตที่หลี่จื้อแต่งงานกับผู้หญิงของบิดาตนเองด้วย เขาก็สามารถวางแผนได้อย่างมิดชิดแยบยลเพื่อให้นักประวัติศาสตร์ไม่สามารถหาจุดบอดเรื่อง ‘คุณธรรม’ ได้เลย ทำได้เพียงโหวกเหวกทางคำพูดไม่กี่คำ

อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าการเป็นขุนนางกังฉิน[2]เป็นยากกว่าขุนนางตงฉิน[3]หลายเท่านัก ตัวอย่างเช่นท่านที่อยู่เบื้องหน้านี้เขาเป็นแบบอย่างในด้านคุณธรรมส่วนตัว ด้านหน้าที่การงานถือเป็นขุนนางที่มากความสามารถ ใช้เวลาเพียงแค่สองวันก็สามารถเก็บรายละเอียดของสำนักศึกษาได้ลึกถึงแก่น

เมื่อเห็นเขาและหลี่ไท่ยืนพูดคุยพึมพำอยู่หน้าแท่นแขวน อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าการติดตั้งอุปกรณ์รอกของหลี่ไท่ก็หนีไม่พ้นจากเงื้อมมือของสวี่จิ้งจง

คนเดียวที่เขาไม่สามารถยุ่งด้วยได้คือซุนซือเหมี่ยว เหล่าซุนไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่จะขอเข้าไปห้องยาเขา แม้แต่ที่พักก็ไม่อนุญาตให้สวี่จิ้นจงเข้าไป ไม่มีเหตุผล เพียงแค่ไม่อนุญาตให้เข้าไป พูดอะไรก็ไม่เกิดประโยชน์

เมื่อเห็นสวี่จิ้นจงจากไปด้วยรอยยิ้มอวิ๋นเยี่ยจึงถามซุนซือเหมี่ยวว่า “ทำไมท่านจึงไม่ต้อนรับขับสู้เขาเยี่ยงนี้”

“เจ้าหนุ่ม เจ้าต้องระวังบุคคลคนนี้เอาไว้ ข้ารู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนดี บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร เพียงแต่เกลียดจากก้นบึ้งของหัวใจ คราวที่แล้วคนที่ทำให้ข้ามีความรู้สึกเช่นนี้ เป็นปีศาจร้ายที่น่ากลัวมาก ข้ากลัวว่าเขาจะเป็นคนที่สอง” ซุนซือเหมี่ยวจิตใจกระสับกระส่าย

อวิ๋นเยี่ยยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นสูงๆ ให้เหล่าซุน ไม่นับถือไม่ได้แล้ว แม้แต่หลี่กังก็ยังกล่าวว่าบุคคลนี้จะเป็นมันสมองสำคัญในอนาคตของต้าถัง อนาคตไปได้ไกลไม่มีที่สิ้นสุด ให้อวิ๋นเยี่ยสนิทสนมกับชายคนนี้ไว้ มีเพียงเหล่าซุนเท่านั้นที่เตือนให้ระวัง

การใกล้ชิดกับชายคนนี้ก็เหมือนกับการเอางูพิษใส่ไว้ในอกเสื้อแล้วเล่นเกมจุมพิตกับเขา หากเขาฆ่าสหายของเขาขึ้นมายังโหดกว่าฆ่าศัตรูมากนัก แม้ว่าละครโทรทัศน์ในยุคปัจจุบันจะเขียนเหลวไหลไร้สาระ แต่จะไม่มีใครเขียนบทให้เขาเป็นคนดี ถึงแม้ว่าพล็อตเรื่องจะแก้ไขจนเละเทะอย่างไร สุดท้ายแล้วตัวเองก็ต้องระวังเขา

การระวังบุคคลคนนี้เอาไว้จะเป็นการดีกว่า ยอดคนแห่งการตลบตะแลงทางที่ดีอย่าได้ล่วงเกิน เขาเป็นคนสนิทที่แท้จริงของหลี่ซื่อหมิน

ระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามวันสวี่จิ้งจงรู้สึกผ่านไปเร็วมาก เขาอยากรู้อยากเห็นมากเกี่ยวกับสำนักศึกษา มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้เขาได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ ราวกับได้เข้าใจโลกมากขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจตรงส่วนไหน ดังนั้นเขาจึงตั้งต้นช่วงประสบการณ์ในสำนักศึกษาใหม่อีกครั้ง

อวี้ฉือต้าส่าและต้วนเหมิ่งได้ประลองฝีมือกันอยู่บนเนินเขาเป็นเวลาสามวันแล้ว อวิ๋นเยี่ยที่ทำหน้าที่เป็นกรรมการก็รู้สึกละเ**่ยใจมาก คนหนึ่งเน้นป้องกันไม่ยอมบุก อีกคนอยู่วางกำลังโอบล้อมอยู่นอกคูน้ำรอบเมืองไม่ยอมบุก ธงเล็กที่ใช้แทนกองทัพถูกโยนจนเต็มพื้นไปหมดแล้ว ถ้าหากสองฝั่งบุกปะทะกันตอนนี้ก็คงมีศพกองเกลื่อนกลาดแล้ว

ในที่เดียว ถ้ากองทัพทั้งสองเริ่มสงคราม พวกเขาจะต้องถูกทำลายทั่วประเทศ

อวี้ฉือที่ยืนอยู่ในคูน้ำรอบเมืองดูตัวใหญ่เหมือนยักษ์ สั่งโยกย้ายกำลังคนของเขาอย่างต่อเนื่อง ก้อนไม้สีขาวที่เป็นตัวแทนของเสบียงเกือบจะหมดอยู่แล้ว เขาถึงขั้นกวักมือและตะโกนด่าด้วยความโกรธเคืองเพื่อหวังที่จะกระตุ้นให้ต้วนเหมิ่งบุกเมือง

ต้วนเหมิ่งก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร ธงสีเขียวที่ใช้แทนทหารม้าเหลือเพียงด้านเดียวเท่านั้น ธงสีแดงที่ใช้แทนทหารราบนั้นเหลือเพียงสองด้าน เขาก็ยังคงนิ่งไม่เคลื่อนไหวดุจภูผา

ท้องฟ้าเริ่มเกิดฟ้าผ่าแล้ว ลมภูเขาเริ่มพัดมา ฝุ่นและดินลอยคละคลุ้งจนมองไม่ถนัด ชั่วพริบตาห่าฝนก็กระหน่ำลงมา สองแม่ทัพที่เข่นฆ่ากันยังคงไม่ยอมแพ้ สามารถเล่นเกมทรายจำลองได้ถึงจุดนี้อวิ๋นเยี่ยอดไม่ได้ที่จะนับถือเป็นอย่างยิ่ง

เท้าใหญ่ๆ ลอยมาถีบอวี้ฉือต้าส่าล้มคะมำและอีกเท้าหนึ่งเตะต้วนเหมิ่งจนกระเด็นซึ่งเจ้าของเท้าก็คือหลิวเซี่ยน

เขาตะโกนด่าคนโง่ทั้งสองและหิ้วคออวี้ฉือขึ้นมาพูดว่า “ให้ตายสิ เจ้ามีได้ประโยชน์จากการครอบครองคูน้ำรอบเมือง ยกกองกำลังตัดกำลังหลักของเขานั้นไม่ผิด ตอนนี้เจ้าได้เปรียบเรื่องความแข็งแกร่งทำไมไม่รู้จักออกนอกเมืองตัดสินแพ้ชนะไปเลย ยังจะมายืนโหวกเหวกโวยวายอยู่แถวนี้ เจ้าโง่!” จากนั้นก็ลากเท้าต้วนเหมิ่งจับเหวี่ยงเข้าไปใต้เพิงไม้และสั่งสอนว่า “เจ้าเองก็เป็นหมูโง่เหมือนกัน รู้อยู่แก่ใจว่าไม่สามารถโจมตีเมืองได้ ได้แต่ตัดกำลังทหาร ไม่รู้จักอ้อมรอบเมืองหรืออย่างไร ให้ตายสิ เจ้ากำลังทำศึกอยู่หรือมาเพื่อระบายความโกรธ ถ้าอยู่ในกองทัพข้าจะจับเจ้าโง่สองคนเช่นพวกเจ้าหั่นเป็นสิบเจ็ดสิบแปดส่วนแล้ว ยังจะให้เลี้ยงไว้ให้เปลืองเสบียงอีกหรือ”

ครั้งแรกที่ได้เห็นหลิวเซี่ยนอารมณ์เสีย เคยคิดว่าเขาเป็นสุนัขเฝ้าบ้านที่โอนอ่อนผ่อนตามมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าเมื่อครู่จะถึงกับดูมีสง่าเหมือนสิงโตได้

“ความน่าเกรงขามของแม่ทัพหลิวไม่ลดลงไปจากเมื่อก่อนเลย!” ที่แท้เป็นสวี่จิ้งจงที่กำลังพูด สองวันนี้เขาผลุบๆ โผล่ๆ ทำให้เดาไม่ถูกไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร “หยวนไว่หลางคุ้นเคยกับอดีตของแม่ทัพหลิว ปกติเขาไม่เคยพูดถึงเลย” อวิ๋นเยี่ยยิ้มถาม “เช่นนั้นข้าน้อยคงพูดมากเกินไปแล้ว ดูเหมือนแม่ทัพหลิวจะไม่ชอบพูดถึงอดีตที่ผ่านมา ไม่ควรกล่าวถึงเรื่องของผู้ใดลับหลัง น่าละอาย น่าละอายยิ่ง ไม่ทราบวันนี้อวิ๋นโหวพอจะมีเวลาหรือไม่ พรุ่งนี้ข้าน้อยก็จะกลับแล้ว ได้เตรียมเหล้าไว้เล็กน้อยอยากสนทนากับอวิ๋นโหวเสียหน่อย ไม่ทราบอวิ๋นโหวจะให้เกียรติหรือไม่”

“ได้รับเชิญจากหยวนไว่หลางอวิ๋นเยี่ยจะปฏิเสธได้อย่างไร เพียงแต่ท่านเป็นแขกจะให้ท่านเป็นเจ้ามือได้อย่างไร เช่นนั้นให้ข้าที่เป็นเจ้าถิ่นเป็นเจ้ามือจะดีกว่า เรามาดื่มกันให้เมาเลยดีหรือไม่” อวิ๋นเยี่ยไม่ต้องการให้เขาได้วางตัวเป็นเจ้าถิ่น คนคนนี้มีนิสัยชอบฉกฉวยโอกาสขึ้นที่สูง จึงต้องระวังตัว

 “เช่นนั้นคงต้องขอรบกวนแล้ว การเดินทางมาสำนักศึกษาเป็นเวลาหกวัน ทำให้ข้าน้อยได้เปิดหูเปิดตา ไม่เพียงแต่ละสถานที่จะเต็มไปด้วยความแปลกใหม่ แม้แต่เครื่องมือต่างๆ ก็ไม่เคยได้เห็นมาก่อน วิธีการสอนแบบใหม่ทำให้ข้าน้อยอดทอดถอนใจไม่ได้ที่จะไม่มีโอกาสได้ชื่นชมแล้ว ไม่เสียทีที่อวิ๋นโหวเป็นศิษย์ของอาจารย์ชื่อดัง ช่างชวนให้น่าอิจฉายิ่งนัก” รอยยิ้มบนใบหน้าอ้วนกลมของสวี่จิ้งจงไม่ลดลงเลย แต่แววตาที่สดใสของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกว่า รอยยิ้มของเขาเป็นเพียงกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่กำลังขยับอยู่เท่านั้น เป็นเพียงสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง ไม่ได้หมายถึงอย่างอื่นเลย

ขณะที่อยู่ในโรงอาหาร อาหารเรียบง่ายสองสามอย่าง อวิ๋นเยี่ยและสวี่จิ้งจงนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ดูราวกับยอดอัจฉริยะที่สง่างามสองคนกำลังสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นทั่วไป

เมื่อดื่มกินกันไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง สวี่จิ้งจงวางตะเกียบและจู่ๆ ก็ถามขึ้นในทันใด “เหตุใดอวิ๋นโหวจึงต้องคอยระแวดระวังข้าน้อยมากมายถึงเพียงนี้ หรือว่าข้าน้อยมีพฤติกรรมใดที่ไม่เหมาะสม ทำให้อวิ๋นโหวเกิดความเข้าใจผิดขึ้น หากเป็นเช่นนี้จริง ข้าน้อยต้องขออภัยท่านเป็นอย่างยิ่ง”

หมายความว่าอย่างไร จอมแผนการผู้โด่งดังเริ่มเป็นคนเปิดเผยจริงใจ น่าขำ! มีบันทึกไว้ในประวัติมานานแล้วหากสวี่จิ้งจงเป็นคนเปิดเผยจริงใจ แม่หมูต้องปีต้นไม้ได้เป็นแน่

“หามิได้ หามิได้ หยวนไว่หลางเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง อวิ๋นเยี่ยได้ยินมานานแล้ว ครั้งนี้ให้เกียรติมาเยือนถึงสำนักศึกษา อวิ๋นเยี่ยกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าจะตอนรับไม่ทั่วถึง จะมีเรื่องระแวดระวังอะไรได้อย่างไร หยวนไว่หลางล้อเล่นแล้ว” อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เปิดใจคุยกับเจ้าแน่นอน จะดูว่าเจ้าจะทำอะไรได้ แม้ว่าเจ้าจะเป็นคนที่หลี่ซื่อหมินส่งมาตรวจสอบสำนักศึกษา แต่ข้าทำอะไรเปิดเผยพอ ใครจะไปสนใจว่าเจ้าจะมาทำอะไร

 “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ข้าคิดมากเกินไป ในเมื่อพูดผิดเช่นนั้นลงโทษตัวเองให้ดื่มสามจอก ขออวิ๋นโหวโปรดให้อภัยด้วย” ยังมีบุคลิกกล้าหาญชาญชัยอยู่ หลังจากเทเหล้าสามจอกลงท้องแล้ว ยิ่งแสดงออกถึงความกล้าหาญมากขึ้นอีก หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ข้าเป็นห่วงว่าตัวเองมีความรู้เพียงน้อยนิดจึงไม่อยู่ในสายตาของอวิ๋นโหว ที่แท้อวิ๋นโหวก็ยังเมตตาเอ็นดูข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าน้อยก็จะได้วางใจ เข้ามาสอนหนังสือในสำนักศึกษาตามพระประสงค์ของฝ่าบาท”

“เสร็จกัน หลงกลจนได้ ช่างเป็นเรื่องร้ายมาเยือนจริงๆ ไม่มีเรื่องดีเอาเสียเลย!”

อวิ๋นเยี่ยเจ็บแค้นใจเป็นที่สุด!

——

[1] หยวนไว่หลาง เป็นตำแหน่งขุนนางในสมัยโบราณโดยเทียบได้กับรองเจ้ากรมหรือรองผู้อำนวยการในปัจจุบัน

[2] ขุนนางกังฉิน คือ ขุนนางที่ไม่ภักดีต่อกษัตริย์หรือประเทศชาติ

[3] ขุนนางตงฉิน คือ ขุนนางที่ภักดีต่อกษัตริย์หรือประเทศชาติ