บทที่ 657 โทสะของโยวหรัน!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 657 โทสะของโยวหรัน!
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันรีบรุดออกไปในทันที เฟิ่งชิวหรันที่หน้าซีดเผือดกัดฟันหนีอย่างรวดเร็วเช่นกัน ท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น และผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่โดยล้างสมอง ที่กำลังไล่ตามอย่างไม่ลดละ นางสร้างผนึกมือชุดและกัดปลายลิ้นตนเองจนกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ

เลือดนั้นกลายเป็นหมอกโลหิตที่พุ่งเข้าใส่กลุ่มผู้ฝึกตน ทำให้พวกเขาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ในตอนนั้นเองนางรีบวาดมือขวาไปในอากาศอย่างบ้าคลั่ง คว้าเอากำไลคลังเวทที่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อทิ้งเอาไว้ ในยามปกติโยวหรันคงไม่ทิ้งของมีค่าเช่นนี้เอาไว้เบื้องหลัง แต่เขากำลังว้าวุ่นเสียจนลืมสิ้นทุกสิ่ง

เมื่อได้กำไลคลังเก็บมาเรียบร้อย เฟิ่งชิวหรันก็รีบหนีไม่คิดชีวิตทันที แม้ชั้นที่สองของเรือรบจะกว้างใหญ่ แต่นางก็ยังอยู่ในสถานการณ์คับขันสิ้นหวังหัวใจหนักอึ้ง นางไม่รู้ว่าตนเองควรไปที่ใด และไม่รู้เช่นกันว่าจะแก้สถานการณ์นี้อย่างไร

นางหันกลับมามองจ้องกลุ่มผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่เบื้องหลัง ใจนึกย้อนไปถึงสมรภูมิรบครั้งใหญ่ ภาพการต่อสู้แสนเลวร้ายมากมายที่เคยเกิดขึ้นบนกระบี่สำริดโบราณนี้ ใจของเฟิ่งชิวหรันเต็มไปด้วยใบหน้าคุ้นเคยจากสำนักวังเต๋าไพศาล ที่ถูกล้างสมองจนลืมสิ้นว่าตนเองเคยเป็นใคร ความขมขื่นเข้าเกาะกุมจิตใจนาง ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองช่างเป็นคนบาปเหลือเกิน

ทุกอย่าง…เป็นเพราะเราเลือกเดินเข้ามาที่เรือรบนี้ ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเป็นกับดัก… เฟิ่งชิวหรันสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด นางตระหนักแล้วว่าตนเองล้มเหลวในฐานะผู้นำอย่างไร นางปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำจนตัดสินใจเรื่องสำคัญอย่างไร้ซึ่งเหตุผล

โยวหรัน! ประกายเย็นเยียบวาบเข้ามาในแววตา เฟิ่งชิวหรันต้องการเปลี่ยนสิ่งผิดให้กลับมาถูกต้องอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีอำนาจพอทำสิ่งใดได้ ความขมขื่นนั้นทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าในหมู่ผู้ฝึกตนที่กำลังไล่ล่าอยู่นั้น มีเมี่ยเลี่ยจื่อรวมอยู่ด้วย

ยังมีความหวังอยู่! เฟิ่งชิวหรันพยายามทำจิตใจตนเองให้แข็งแกร่งท่ามกลางความเจ็บปวดล้นเหลือ คลื่นแทรกของเรือรบที่ทำให้พวกเขาเคลื่อนย้ายออกไม่ได้อ่อนกำลังลง ด้วยเหตุใดนางไม่อาจทราบได้ แต่ดูเหมือนจะทำให้โยวหรันถึงกับสติหลุดไปในทันที นั่นทำให้เฟิ่งชิวหรันรู้สึกว่าสถานการณ์ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง แม้จะริบหรี่ แต่ก็ยังดีกว่าความมืดมิด

นางยังตั้งหน้าตั้งตาหนีต่อไป ในขณะที่เจ้าเยี่ยเหมิงไปซ่อนตัวอยู่ในภูเขาอีกฝั่งหนึ่งของเรือ และพยายามเป็นอย่างมากที่จะสร้างวงแหวนปราณเพื่อปกปิดตนเองให้ไม่มีใครหาเจอ มือของเจ้าเยี่ยเหมิงกำยันต์เคลื่อนย้ายเอาไว้แน่น พยายามทำให้ลมหายใจของตนเองสงบ ดวงตาทอแสงจ้าด้วยความมุ่งมั่น นางกำลังรอจังหวะเหมาะอยู่

แม้เจ้าเยี่ยเหมิงจะกังวลว่าหวังเป่าเล่อจะเป็นอะไรไป แต่ก็รู้ดีว่านางรังแต่จะเป็นตัวถ่วงมากกว่าตัวช่วย ด้วยพลังปราณที่ยังอ่อนด้อยนัก นอกจากนี้นางยังรู้หน้าที่ของตนเองดี นางต้องออกไปแจ้งสหพันธรัฐว่ากำลังเกิดภัยร้ายใดอยู่ในตอนนี้!

“เป่าเล่อ…” เจ้าเยี่ยเหมิงพึมพำกับตนเองก่อนถอนหายใจ นางหลับตาลง คอยเฝ้ารออย่างใจเย็น

เฟิ่งชิวหรันไม่ใช่คำเดียวที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่ที่ชั้นสอง ผู้ฝึกตนจากฝ่ายของนางถูกจับแยกกันทันทีที่เข้ามาถึงชั้นสอง ส่วนมากสิ้นชีวิตลงด้วยเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้น แต่ก็มีหลายคนที่ถูกขังและผนึกเอาไว้ โยวหรันไม่ใช่คนเดียวบนเรือที่มาจากตระกูลไม่รู้สิ้น

กับดักนี้ถูกวางเอาไว้นานแล้ว การไล่ล่าของตระกูลไม่รู้สิ้นเริ่มต้นขึ้นทันทีที่พวกเขาก้าวเข้ามายังเรือรบ ชื่อหลินรวมถึงคนอื่นๆ อีกหลายคนถูกจองจำเอาไว้ หรือไม่ก็โดนนำไปบูชายัญให้แผ่นหิน

ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในส่วนมากสิ้นชีพลงหมด เนื่องจากสถานที่นี้อันตรายต่อผู้ที่มีพลังระดับกำเนิดแก่นในเป็นอย่างมาก พวกเขาเทียบคู่ต่อสู้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แม้หลายคนจะสัมผัสได้ถึงอันตรายและเลือกไปซ่อนแทน อย่างเช่นเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นต้น

กงเต๋าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ชายหนุ่มมีประสบการณ์ช่ำชองในการซุ่มโจมตีและการเร้นกาย แม้จะมีอันตรายซุกซ่อนอยู่ทุกมุมของเรือรบ แต่เขาเองก็มีวิธีเอาตัวรอดในแบบฉบับของตนเอง กงเต๋าคือชายผู้ที่เอาตัวรอดในพื้นที่รกร้างของดาวอังคารได้ แม้ในตอนนั้นจะยังมีปราณระดับการฝึกตนโบราณเท่านั้น

ตอนนี้กงเต๋าอยู่ที่ชั้นสองของเรือ แต่ไม่ได้อยู่ในจุดโล่งแจ้ง เขาซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่ไม่มีทะเลสาบทองคำ จึงไม่ใช่ที่เดียวกันกับหวังเป่าเล่อ แต่ก็ยังมีวัตถุเวทที่หน้าตาเหมือนยานอพยพอยู่บ้าง แม้หลายอันจะใช้การไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังมีบางอันที่ทำงานได้ดี

เนื่องจากหาทางออกไม่เจอ กงเต๋าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากกัดฟันซ่อนตัวอยู่ในยานอพยพเพื่อหนีการถูกตามล่า

ทุกคนกำลังหนีตาย ที่ชั้นสามอันเป็นที่อยู่ของชุดคลุมออกศึก เสียงกึกก้องกัมปนาทอุบัติขึ้นในท้องฟ้า หวังเป่าเล่อที่อ้วนเสียจนน่าสยองขวัญนั่งอยู่กลางทะเลสาบทองคำ ทุกส่วนของร่างกายเขากระเพื่อมด้วยไขมันหนา ดวงตาวาวโรจน์ขณะที่เมล็ดแห่งการดูดกลืนในกายหมุนวนทำงานอย่างบ้าคลั่ง

เร็วขึ้นอีก! หวังเป่าเล่อตะโกนก้องอยู่ในใจ เขากำลังกระวนกระวาย ในชุดคลุมออกศึกนั้นมีพลังปราณอยู่มากล้น แม้จะใช้ทั้งเมล็ดแห่งการดูดกลืนและฝักกระบี่ ก็ยังดูดเข้าไปไม่หมด หวังเป่าเล่อมีปราณเพียงขั้นกำเนิดแก่นในระดับสมบูรณ์แบบเท่านั้น จึงมีขีดจำกัดในการดูดกลืน อันตรายที่คืบเข้ามาใกล้ทำให้เขาไม่มีเวลาพอพยายามบรรลุขั้นปราณเพื่อกำจัดพลังงานที่พอกพูนด้วยซ้ำ การจะบรรลุจากระดับกำเนิดแก่นในไปเป็นระดับจุติวิญญาณได้ เขาต้องใช้อยู่ในสถานที่ปลอดภัยไร้อันตราย ปลีกวิเวกออกเพื่อจัดการตนเองให้เรียบร้อย

สิ่งที่ทำให้สถานการณ์แย่ลงคือ ความเร็วในการดูดพลังจากชุดคลุมของเขานั้นช้าลงเรื่อยๆ ตามเวลาที่เดินหน้าผ่านไป

ชุมคลุมเริ่มต่อต้านการดูดกลืนของหวังเป่าเล่อ ด้วยพลังที่ดูเหมือนจะเป็นกลไกการต่อต้านตามธรรมชาติของมันเอง แม้เขาจะใช้พลังเมล็ดแห่งการดูดกลืนเต็มที่ แต่ก็ยังไม่ได้ช่วยให้ซึมซับพลังปราณเร็วขึ้นแต่อย่างใด

เมื่อกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ ชายหนุ่มก็สร้างผนึกมือต่อเนื่องเพื่อเรียกร่างอวตารของตนออกมา ร่างอวตารของเขาแยกออกจากร่างจริง พุ่งเข้าหาเสาค้ำ

ร่างเกราะจักรพรรดิลักอัคคีของหวังเป่าเล่อก็ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างเช่นกัน ร่างจริงของเขาดูดซับพลังปราณไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงจะใช้ร่างเกราะจักรพรรดิลักอัคคีของตนให้ทำงานแทน!

หวังเป่าเล่อต้องการเวลาอีกนิดเดียวเท่านั้น เพียงอีกแค่สองชั่วโมง หากเขายังสามารถดูดพลังจากชุดคลุมออกศึกไปได้เรื่อยๆ ด้วยอัตราเท่านี้ คลื่นแทรกการเคลื่อนย้ายของเรือรบจะอ่อนกำลังลงอย่างมาก หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าพลังงานนั้นจะอ่อนกำลังลงจนทำให้เคลื่อนย้ายออกจากเรือได้หรือไม่ แต่สิ่งที่เขามั่นใจคือหากตนเองตั้งหน้าตั้งตาดูดพลังต่อไป โอกาสที่เจ้าเยี่ยเหมิงจะเคลื่อนย้ายหนีสำเร็จ จะมีมากขึ้นอย่างแน่นอน!

กระนั้น…พลังของเรือรบที่อ่อนแอลงทำให้โยวหรันรู้สึกตัวแล้ว เขากำลังตัดทุกอย่างที่ขวางหน้าออกเพื่อกรุยทางไปถึงชั้นสามให้เร็วที่สุด ชุดเกราะของหวังเป่าเล่อเพิ่งเริ่มดูดพลังจากชุมคลุมต่อไปได้เพียงยี่สิบวินาทีเท่านั้น กำแพงของถ้ำที่เขาเร้นกายอยู่ก็ระเบิดออก!

เศษหินดินทรายกระจายไปทุกทิศทาง ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่กำลังโกรธเกรี้ยวปรากฏกายขึ้นในถ้ำ สายตากวาดมองไปที่ทะเลสาบทองคำที่ชุดคลุมออกศึกอันแสนล้ำค่าของเขาสถิตอยู่ในทันที ข้างชุดคลุมนั้นคือร่างอ้วนจนแทบระเบิดของหวังเป่าเล่อ ห่อหุ้มด้วยชุดเกราะจักรพรรดิลักอัคคี!

แสงเรืองรองของชุดคลุมออกศึกเต๋ามรณะนั้นจางลงอย่างเห็นได้ชัด ผิวของมันดูเหี่ยวย่น แขนข้างหนึ่งกลายเป็นเพียงผิวหนังยวบยาบไร้กำลัง หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ข้างๆ กันนั้นยังคงเดินหน้าดูดพลังจาดชุดอย่างเต็มสูบ

โยวหรันคลั่งทันทีที่ได้เห็นฉากนี้ เขาตั้งใจว่าจะล่อผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลมาให้ติดกับในเรือรบ เพื่อล้างสมองทุกคนและเดินหน้าบูชายัญเลือดต่อไป โดยจำกัดความเสียหายเอาไว้ให้น้อยที่สุด เขามีพลังปราณอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ และยังมีสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นอีกมากที่ทำงานให้เขาอยู่บนเรือลำนี้

กระนั้น ทุกคนก็ยังไม่หายดีจากบาดแผลการต่อสู้มากมายเมื่อครั้งก่อน พวกเขาอาจจะเอาชีวิตรอดและชนะการต่อสู้ได้ แต่ก็คงยืนหยัดได้ไม่นานนัก นอกจากนี้เรือรบนี้ยังขาดส่วนประกอบสำคัญ ที่จะทำให้ผสานเข้ากับชุดคลุมออกศึกได้จนเป็นหนึ่ง จึงทำให้แสดงแสนยานุภาพจริงไม่ได้

วงแหวนปราณที่ปกป้องสำนักวังเต๋าไพศาลเอาไว้ รวมถึงพลังของเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรัน ทำให้โยวหรันเองยังไม่มั่นใจว่าแผนการของตนเองจะสำเร็จร้อยทั้งร้อย ที่สำคัญที่สุดคือ เขาไม่ต้องการจ่ายค่าเสียหายราคาแพงเพื่อชัยชนะในครั้งนี้

ด้วยเหตุนี้ตัวโยวหรันจึงเลือกการใช้กับดักแทนการโจมตีตรงๆ เขาตั้งใจว่าจะล้างสมองทุกคนก่อน และใช้พลังงานที่เก็บเกี่ยวมาจากร่างเหล่านั้น เป็นพลังงานหล่อเลี้ยงเรือรบ ซึ่งจะทำให้เขาหลอมรวมกับชุมคลุมเมื่อใดก็ได้ที่ตนเองต้องการ

หากทำสำเร็จ เขาจะสามารถบังคับเรือรบเต๋ามรณะได้ตามใจนึก และไปบุกสหพันธรัฐเพื่อจับทุกคนมาบูชายัญต่อ เมื่อทุกชีวิตในสหพันธรัฐกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับเรือรบเรียบร้อย ตัวเขาเองก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรือรบเต๋ามรณะในที่สุด!

แผนการของเขาดำเนินไปอย่างไร้อุปสรรค แต่เมื่อมาเจอว่าชุดคลุมออกศึกเต๋ามรณะที่เป็นหัวใจหลักของแผนชั่วร้าย กำลังถูกดูดพลังไปมหาศาลจนกลายเป็นซากไร้ชีวิตเช่นนี้ โยวหรันก็แทบสิ้นสติด้วยโทสะ!

ไอ้ห่าเอ๊ย มันเข้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน ดวงตาของโยวหรันกลายเป็นสีแดงก่ำ ศีรษะของเขาแทบจะระเบิดออก เขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธถึงขีดสุด

“ไอ้หวังเป่าเล่อ!”