ตอนที่ 667 เข้ามาหาที่ตาย โดย ProjectZyphon

การมาถึงของจั่วเป่าอิ๋งทำให้แทบทุกคนตระหนกตกใจ ขนาดพวกหลินจง เสี่ยวเคอ จูเหล่าซานยังตื่นตระหนก เดินออกไปจากหอสมบัติตะวันมงคลด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

เมื่อเทียบกับหลินซีซี ไม่ว่าจะเป็นฉินเสวียนตู้หรือจั่วเป่าอิ๋งก็ล้วนแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด ถือเป็นผู้มีอิทธิพลในระดับกระบวนแปรจุติ

หากอยู่ในที่อื่นของจักรวรรดิ บุคคลระดับนี้ล้วนเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่คับฟ้า ประกาศศักดาเป็นเจ้าครองดินแดนฝั่งหนึ่งได้!

ทว่าตอนนี้ มหายุทธ์เช่นนี้สองคนมาด้วยกันเพื่อต่อกรหลินสวินโดยเฉพาะ เพียงคิดก็รู้ว่าครั้งนี้สองตระกูลฉินและจั่วไม่คิดจะปล่อยให้รอดอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรเรียกว่าการโจมตีราวอสนีบาต

ก็เช่นนี้อย่างไรเล่า ไม่ลงมือก็ไม่มีอะไร แต่เมื่อลงมือก็ทำลายล้างผลาญ!

พลังและความน่ากลัวของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงสำแดงออกมาอย่างหมดจดในตอนนี้

เพียงแต่เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ ปฏิกิริยาของบางคนกลับแปลกประหลาด

อวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ยังคงเหมือนไม่รับรู้ทุกอย่างโดยสิ้นเชิง สำรวมจิตนิ่งราวสมณะเฒ่าเข้าฌาน

จ้าวไท่ไหลกลับเอามือไพล่หลัง สายตาทอดมองไปยังท้องฟ้าไกลออกไป สีหน้าดูสงบเยือกเย็น ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใดตั้งแต่เริ่มจนจบ

ส่วนหลินสวินก็ดูเรียบเฉยอย่างมาก นัยน์ตาดำของเขาลุ่มลึก มองดูฉินเสวียนตู้ที่ท่างทางสง่างามราวเซียน แล้วก็หันมองจั่วเป่าอิ๋งที่รูปร่างอ้อนแอ้นอรชรงดงามทรงเสน่ห์ สุดท้ายก็ยิ้มหยันเอ่ยว่า “มีแค่พวกเจ้าสองคนหรือ ก็ยังน้อยไปอยู่ดีล่ะ”

สายสืบที่ซ่อนอยู่ในที่มืดตกละตึง เจ้ากล้าหลินนี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม ผู้มีอิทธิพลระดับกระบวนแปรจุติเชียวนะ สองคนอีกต่างหาก!

ทำไมในสายตาของเขา กลับน้อยไปเล่า

เขาจะกำเริบเสิบสานไปถึงไหน ถึงได้กล้าเอ่ยวาจาน่าตกตะลึงเช่นนี้

ฉินเสวียนตู้นิ่วหน้า สายตากวาดมองที่พวกจ้าวไท่ไหล จูเหล่าซาน หลินจงทีละคน เวลานี้ถึงเอ่ยว่า “หากเพียงเพื่อรับมือเจ้าคนเดียว ข้าคนเดียวก็พอแล้ว แต่หากจะรับมือพวกเจ้าทุกคน พวกข้าสองคนก็ต้องลำบากหน่อย”

พูดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “แต่ว่าเจ้าวางใจได้ หากตระกูลฉินของข้ากับตระกูลจั่วทำได้เพียงเท่านี้ล่ะก็ เช่นนั้นก็คงเสียชื่อตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงแล้ว!”

“เหอะๆ” จั่วเป่าอิ๋งก็หัวเราะอย่างลุ่มลึกยากหยั่งถึง

คนอื่นๆ ล้วนสะท้านขวัญ หรือกำลังคนที่สองตระกูลจั่วและฉินส่งมา ไม่ได้มีเพียงเท่านี้

ดังคาด ต่อมาก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศระลอกหนึ่งดังขึ้นมาแต่ไกล เงาร่างเงาแล้วเงาเล่ามาอย่างต่อเนื่องราวรุ้งสายยาวสะดุดตาทั่วฟ้า

มีทั้งบุรุษและสตรี แม้รูปลักษณ์ต่างกัน แต่พลังของแต่ละคนกลับเหมือนเชื่อมต่อกับเวิ้งฟ้า ดูทรงพลังอย่างโดดเด่นยิ่ง

“หนึ่งคน สองคน สามคน… สวรรค์! มีมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติมาเพิ่มอีกสี่คน!”

สายสืบที่ซ่อนตัวในที่มืดสูดหายใจเยียบเย็น ขนลุกขนพอง เวลานี้ถึงรับรู้ได้ว่าตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาประเมินกำลังของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงต่ำไปแล้ว

ต่อให้เป็นพวกหลินจง เวลานี้ก็ไม่อาจสงบใจได้อีก ล้วนหน้าเปลี่ยนสีไม่ว่างเว้น เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์เลยเถิดไปกว่าที่พวกเขาคาดไว้ แปรเปลี่ยนเป็นรุนแรงเกินไปแล้ว

เวลานี้ฉินเสวียนตู้หัวเราะแล้วพูดว่า “เดิมทีเพียงแค่จัดการพวกเจ้า ไม่จำเป็นต้องระดมกำลังเช่นนี้ แต่ว่าพวกเราต้องทำแบบนี้”

“อ้อ นี่เป็นเพราะเหตุใดหรือ” หลินสวินเอ่ยถาม

“ง่ายมาก เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู เคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์!”

หว่างคิ้วชายชราฉายแววยโส “ผ่านไปกี่ปีแล้ว ผู้คนในใต้หล้าเหมือนจะหลงลืมความร้ายกาจของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงของข้าไปแล้ว ครั้งนี้ก็ควรปลุกทุกคนให้ตื่นเสียหน่อย ให้พวกมันรู้ว่าในโลกนี้ก็มีบางคนที่ไม่อาจดูหมิ่นและท้าทายได้โดยง่าย!”

พูดถึงตรงนี้สายตาของเขาก็กลับมามองที่หลินสวินอีกครั้ง ยิ้มบางพลางเอ่ยว่า “นี่ก็คือสาเหตุที่พวกเราระดมกำลัง หากใช้ความตายของเจ้ามาทำให้ผู้คนในโลกสะเทือนขวัญ ทำให้ทุกคนรู้จักเคารพยำเกรงตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอีกครั้ง เช่นนั้นการตายของเจ้าก็คุ้มค่าแล้ว”

วาจานี้พูดออกมาอย่างอาจหาญ เต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้า แต่กลับทำให้ใจของพวกหลินจงหนักอึ้งถึงที่สุด พวกเขารับรู้ได้ว่าเป้าหมาย ‘เคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์’ ที่สองตระกูลจั่วและฉินหมายจะทำ ก็เท่ากับจะฆ่าหลินสวินให้ได้โดยไม่สนราคาที่ต้องจ่ายทั้งปวง!

เพราะเพียงหลินสวินตายเท่านั้น ถึงจะทำให้ผู้คนในโลกสะเทือนขวัญได้!

สายลับที่มาจากขุมอำนาจใหญ่แต่ละกลุ่มล้วนหนาวสะท้านไปทั้งตัว ในใจหวาดหวั่น กระทั่งตอนนี้พวกเขาจึงรับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง

บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบและตึงเครียด หลายคนล้วนหวาดผวา แต่จ้าวไท่ไหลกลับเหมือนหมดความอดทนอยู่บ้างแล้ว เบือนหน้ามาถามหลินสวิน “ฟังพวกมันพูดจาเพ้อเจ้อทำไม หากเจ้าจัดการไม่ได้ เช่นนั้นเปลี่ยนเป็นข้าช่วยเป็นไง”

ฮือ!

ทั่วบริเวณล้วนประหลาดใจ คนคนนี้ดูความน่ากลัวของสถานการณ์ตรงหน้าไม่ออกหรือ ถึงได้เอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้!

ฉินเสวียนตู้มุมปากกระตุกเบาๆ อย่างอดไม่ได้ นิ่วหน้าเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจอย่างยิ่งว่าเพียงเจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ผู้หนึ่ง เหตุใดถึงกล้ามองข้ามผู้อื่นเช่นนี้

เพราะเขามีชาติกำเนิดเป็นราชนิกูล จึงกล้าเพิกเฉยอานุภาพของตระกูลฉินกับจั่วหรือ

“นายน้อย!”

สายตาของพวกหลินจง จูเหล่าซานก็มองมาอย่างแน่วแน่ เห็นได้ชัดว่า พวกเขากำลังบอกหลินสวินว่าพวกเขาสามารถสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ได้

“ไม่ต้องหรอก เรื่องนี้ให้ข้าจัดการคนเดียวก็ได้ พวกเขาคิดฆ่าข้าเพื่อเคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์ สาเหตุที่ข้าทำเช่นนี้ในวันนี้ ก็ไม่ใช่เพราะจะให้ทุกคนได้รู้ว่าตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตก็ไม่ยอมรับการดูหมิ่นใดๆ ไม่ว่าใครลบหลู่ ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนเลือด!”

เกินความคาดหมายของทุกคน เวลานี้หลินสวินปฏิเสธความช่วยเหลือทั้งปวง สีหน้าเรียบเฉยสงบนิ่งปรากฏความโอหังและแน่วแน่ที่ไม่มีมาก่อน

นี่…

สายลับที่อยู่ในความมืดอึ้งงัน ยิ่งรู้สึกว่าเจ้ากล้าหลินคนนี้บ้าไปแล้ว จนป่านนี้ยังกล้าแข็งกร้าวขนาดนี้หรือ

พวกหลินจงก็กังวลยิ่ง มีเพียงจ้าวไท่ไหลที่กลั้นไม่ให้หัวเราะร่าออกมาไม่ได้ “ดี วันนี้ข้าจะดูว่าครึ่งปีมานี้เจ้าเก่งกล้าสามารถขึ้นเพียงไหนกันแน่!”

ฉินเสวียนตู้ จั่วเป่าอิ๋ง รวมถึงมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติสี่คนที่ตามมาทีหลัง ตอนนี้ล้วนรู้สึกว่าน่าขัน ทั้งยังโมโห

ดูท่าคนสมัยนี้จะลืมความน่ากลัวของพวกเขาตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงไปแล้วจริงๆ พวกคนโง่เง่าล้วนกล้าเย้ยหยันพวกเขาเสียแล้ว!

“ลุงจง เอาอาสัญสลายออกมา ทวนนี้ต้องได้ดื่มเลือดศัตรูให้อิ่ม ถึงจะเป็นอาวุธประจำตระกูลของตระกูลหลินได้ เช่นนี้จะได้สมชื่อ!”

สีหน้าหลินสวินพลันบังเกิดแววเยียบเย็น ส่วนลึกในดวงตาสีดำเหมือนมีหุบเหวน้ำลึกหลั่งไหลคลุมเครือ ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปในพริบตานี้

ราวกับกระบี่สมบัติที่ซ่อนอยู่ในหุบเหวลึก เผยคมประกายไร้เทียมทานออกมาในเวลานี้!

“นายน้อย รับทวน!”

ในใจหลินจงสั่นสะท้าน มอบอาสัญสลายให้หลินสวินตามจิตใต้สำนึก

และเป็นตอนนี้เอง ที่ทุกคน ณ ที่นั้นรับรู้ว่าสิ่งที่หลินสวินพูดเมื่อกี้ไม่ได้ล้อเล่น แต่พูดจริง!

เขาต้องการจะต่อสู้กับมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนด้วยตัวคนเดียว กับทวนเล่มหนึ่ง!

สายลับที่ซ่อนตัวอยู่เงียบๆ เหล่านั้นล้วนงงงวย ทั้งร่างสั่นระริก ในใจรู้สึกฮึกเหิมอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น เพียงแค่จิตวิญญาณที่หลินสวินแสดงออกมาในตอนนี้ก็ทำให้พวกเขาสั่นไหวแล้ว

ส่วนฉินเสวียนตู้ จั่วเป่าอิ๋งล้วนเดือดดาลจนเปลี่ยนเป็นหัวเราะ นี่มันน่าขันปานไหน หลินสวินเพียงคนเดียว ถึงกับกล้าคุยโวไม่ละอาย ช่างบ้าระห่ำจนไม่รู้ดีชั่วแล้ว

“ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตาย พวกข้าก็จะสงเคราะห์ให้ ใช้เลือดของเจ้าเตือนสติผู้คนบนโลก!”

ฉินเสวียนตู้น้ำเสียงเย็นชาเรียบเฉย ไอสังหารปรากฏ บุคลิกสง่างามราวเซียนของเขาถูกท่าทางแข็งกร้าวเหี้ยมเกรียมเข้ามาแทนที่

ตู้ม!

พลังทั้งร่างเขาส่งเสียงกึกก้องราวอสนีบาตคลั่ง นัยน์ตาปะทุสายฟ้าเย็นเยียบ ราวกับเทพองค์หนึ่งคืนชีพ พลานุภาพสะเทือนทั่วบริเวณ

ชุดของหลินสวินพลิ้วไหว เงาร่างหายวับและมาอยู่บนห้วงอากาศ ผมดำของเขาปลิวว่อน มองเหยียดหยัดพวกฉินเสวียนตู้ ชี้อาสัญสลายที่อยู่ในมือออกไป แล้วพูดเสียงเรียบว่า “เข้ามาหาที่ตาย!”

เด็กหนุ่มยืนถือทวนอยู่กลางอากาศ เรือนร่างสูงโปร่งตรงแน่ว ท่าทางเหนือธรรมดาราวเทพเซียน ความสง่างามเช่นนั้นทำให้พวกหลินจงล้วนดวงตาเปล่งประกาย

ขนาดอวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ที่นิ่งเหมือนสมณะเข้าฌานมาตลอดยังขยับเปลือกตามองปราดหนึ่ง

“หึ!”

ฉินเสวียนตู้ขุ่นเคืองแล้ว ส่งเสียงหยันออกมาแล้วลอยขึ้นไปยังท้องฟ้า ราวราชสีห์ตัวหนึ่ง พลังสามารถกลืนกินภูผาธารา ทำให้ชั้นเมฆแหลกสลาย

สวบๆๆ!

ในเวลาเดียวกัน จั่วเป่าอิ๋งรวมถึงมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติสี่คนก็ล้วนกระโจนขึ้นฟ้า ปิดล้อมบริเวณหนึ่ง เพื่อกันไม่ให้หลินสวินถือโอกาสหนี

ชิ้ง!

กลางห้วงอากาศ ตัวทวนอาสัญสลายที่มีสีเทาเข้มคลุมเครือส่งเสียงกังวาน ไอสังหารไหลเอ่อ รอยสลักวิญญาณพร่าเลือนหนาแน่นปรากฏ แปรสภาพเป็นชุดศึกปกคลุมหลินสวินไปทั้งร่างชั้นหนึ่ง

นี่ก็คือชุดศึกสลักวิญญาณ ต่างจากสมบัติโบราณ เป็นอาวุธศึกสำคัญที่ทำให้ทั้งโลกตื่นตาชิ้นหนึ่ง ไม่เพียงอานุภาพแข็งแกร่งจนสามาถทำให้สมบัติโบราณมากมายอับแสง แม้แต่คุณประโยชน์ที่มีก็ยังโดดเด่น!

“สมบัติดีนี่!”

เวลานี้หลายคนที่อยู่ในบริเวณนั้นล้วนแสดงความตื่นตาตื่นใจ ชุดศึกสลักวิญญาณ แม้แต่ในตระกูลผู้ทรงอิทธิพลชั้นสูงยังมีจำนวนจำกัดยิ่งนัก ทุกชิ้นล้วนเรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า เป็นสมบัติสูงสุดประจำตระกูล

จุดที่น่ากลัวที่สุดของสมบัติชิ้นนี้ก็คือ ยามต่อสู้ สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณครอบครองอานุภาพต่อสู้ข้ามระดับได้!

“เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่ง มือถืออาสัญสลาย เจ้าคิดว่าเขาจะสามารถรับฉินเสวียนตู้ได้กี่กระบวนท่า”

จั่วเป่าอิ๋งกอดอกเอ่ยเสียงเบา

“อย่างมากภายในสิบกระบวนท่าก็ชี้เป็นชี้ตายได้”

“ไม่ ข้าว่าสามกระบวนท่าก็พอแล้ว พี่เสวียนตู้คร่ำหวอดในระดับกระบวนแปรจุติมานานปี พลังของเขาไม่ใช่ธรรมดา”

มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติอีกสี่คนพากันเอ่ยปาก พวกเขาสีหน้าเรียบเฉย แต่ละคนยึดพื้นที่ด้านหนึ่ง ไม่ได้คิดจะลงมือ และดูแคลนการรุมโจมตีเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่ง หากแพร่งพรายออกไป สุดท้ายต้องขายหน้ามากอยู่ดี

“ข้ากลับรู้สึกว่า ภายในห้าสิบกระบวนท่ายังชี้เป็นชี้ตายไม่ได้” จั่วเป่าอิ๋งพูดพลางยิ้มบางๆ

เมื่อนางพูดเช่นนี้ออกมา พลันทำให้ผู้อื่นขมวดคิ้ว คิดว่านางประเมินหลินสวินสูงไป เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่ง แม้จะร้ายกาจกว่านี้ จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติได้หรือ

ในมุมมืด กลุ่มสายลับกำลังประเมินว่ายามการต่อสู้นี้ปะทุขึ้น หลินสวินจะยืนหยัดได้นานแค่ไหน

ไม่ว่าใคร เหมือนจะรับรู้ด้วยจิตใต้สำนึกว่าหลินสวินต้องแพ้ศึกนี้ ไม่มีความหวังจะได้รับชัยชนะ เพียงดูว่าเขาจะทนได้กี่กระบวนท่า

“อย่าพูดพร่ำทำเพลงอีกเลย…”

จ้าวไท่ไหลลอบพึมพำ เขารออย่างกระวนกระวาย อยากเห็นเต็มแก่ว่าในช่วงเวลาครึ่งปีที่หลินสวินอยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ จะแข็งแกร่งขึ้นถึงขั้นไหนกันแน่

ทว่าพวกหลินจงต่างเป็นกังวล สายตาจดจ้องไปในห้วงอากาศ ขอเพียงหลินสวินเกิดเหตุร้ายแม้แต่นิดเดียว พวกเขาก็จะเข้าไปช่วยโดยไม่สนใจสิ่งใด

ตูม!

คราวนี้หลินสวินไม่พูดพร่ำดังคาด มือกระชับทวนยาว พุ่งแหวกอากาศออกไปโดยไม่ร่ำไรแต่อย่างใด

——