ตอนที่ 1127 เซียวเก๋อเหล่าหมดสติ
เซียวเก๋อเหล่าทรุดตัวคุกเข่าลงจนเกิดเสียงในตำหนัก
ซูหลีปรายตามอง เก็บรอยยิ้มที่ดูแคลนบนใบหน้าของตนลงไป เอ่ยขึ้นเสียงเบา
“มีความผิด? ประโยคนี้ใต้เท้าเซียวไม่ค่อยพูดกับฝ่าบาท แต่ควรพูดกับคนที่ประสบความการโจรกรรมที่เจียงหนาน ครอบครัวของกุนซือ ยังมีฮ่องเต้องค์ก่อนอีกคน!” ซูหลีพูดตรงนี้ก็หยุดไปเล็กน้อย จากนั้นมองที่เซียวเก๋อเหล่าที่สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เอ่ยด้วยเสียงเย็นยะเยียบ
“พวกเขาเหล่านั้นถึงจะเป็นคนที่ถูกใต้เท้าเซียวหลอกลวง!”
เซียวเก๋อเหล่าที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าได้ยินคำพูดประโยคนี้ของซูหลีทั้งร่างจึงสั่นสะท้านจากนั้นจึงล้มอย่างอ่อนยวบ คล้ายกับถูกคนดูดพละกำลังทั้งหมดไปมิปาน!
“ท่านพ่อ!” เซียวเสวียนเป็นคนแรกที่มองเห็นความผิดปกติของเซียวเสวียน จึงถลาเข้ามาประคองเซียวเก๋อเหล่าไว้ในชั่วพริบตา
ตอนที่เขาหมุนร่างของเซียวเก๋อเหล่ามอง ซูหลีก็พบกับใบหน้าที่ตึงเครียดและคล้ำเขียวอมม่วงของเซียวเก๋อเหล่า
เป็นลมล้มพับไปเช่นนี้ ไม่ใช่การแสร้งทำ เซียวเก๋อเหล่าจะเป็นอย่างไรต่อไป อายุของเขาก็ปูนนี้แล้ว วันนี้หลังจากถูกซูหลีเปิดโปงเช่นนี้แล้ว เขาถือว่าไม่สามารถแบกรับเรื่องนี้เอาไว้ได้
“ให้คนพาลงไป ตามหมอหลวงมาตรวจอาการ” ฉินเย่หานที่อยู่บัลลังก์ถ่ายทอดคำสั่งของใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
“พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีผู้น้อยที่ยืนอยู่ด้านล่างดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว และนำเขาลงไป
ซูหลีเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
วันนี้เดิมนางเตรียมตัวมาฟาดฟันอย่างดุเดือด คิดไม่ถึงว่าร่างกายของเซียวเก๋อเหล่าจะทนรับความเจ็บปวดไม่ไหว หลังจากได้ยินคำพูดไม่กี่ประโยคก็หมดสติไปเสียแล้ว
นี่ก็ถือว่าเบาแรงนางไปเช่นกัน
เซียวเสวียนที่หลงเหลืออยู่ ซูหลีนั้นไม่เคยเห็นเขาในสายตามาก่อน
ความฉลาดของเซียวเสวียนนั้นธรรมดา เมื่อเปรียบกับเซียวอวี่แล้ว แตกต่างกันลิบลับจนไม่อาจเทียบกันได้ แค่หลายปีมานี้ไม่มีบุตรคนโต เซียวเก๋อเหล่าที่ปกป้องบุตรคนรองอย่างดีมาโดยตลอด ถึงได้สั่งสอนเขาอย่างเคร่งครัด
นี่ถึงทำให้มีเซียวเสวียนในวันนี้ อย่างไรก็มาตามขาดเซียวเก๋อเหล่าไปคน สิ่งที่เขาทำได้มากที่สุดก็คือปฏิบัติตามหน้าที่ของเขาเท่านั้น ไม่คู่ควรที่จะหวาดกลัว
“ฝ่าบาท…” เป็นดังที่คาดไว้ หลังจากที่เซียวเก๋อเหล่าถูกคนพาตัวออกไป เซียวเสวียนก็ถลกชายชุดขุนนางขึ้นและคุกเข่าลง ใบหน้าแดงก่ำยากที่จะพูดแก้ตัวให้สกุลของตน ทว่าคำพูดที่กลับติดอยู่ที่ปาก ไม่รู้ว่าจะพูดออกมาไปอย่างไรดี
“ซูหลี เรื่องของสกุลเซียว เจ้ามีหลักฐานหรือไม่” ความคิดของฉินเย่หานที่อยู่ด้านบนคาดว่าจะไม่แตกต่างกับซูหลีมากนัก เขาไม่ได้มองทางเซียวเสวียน แต่กลับมองไปทางซูหลี
“ทูลฝ่าบาท ก็เหมือนกับที่กระหม่อมกล่าวก่อนหน้านี้ พยานบุคคลและวัตถุล้วนมีพร้อมพ่ะย่ะค่ะ!” ซูหลีดึงสติกลับมา ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเกินจะเปรียบ
เซียวเสวียนได้ยินคำพูดยืนยันขนาดนี้ของซูหลีแล้ว ยิ่งไม่กล้าเอ่ยพูดอะไรออกมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจงนำหลักฐานทั้งหมดมอบให้ศาลต้าหลี่อย่างครบถ้วน เรื่องนี้ต้องให้ศาลต้าหลี่ตรวจสอบ!”
“กระหม่อมน้อมรับคำบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!” ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงรีบขานรับอย่างไม่ลังเล
อย่างไรก็ตามผลสรุปเรื่องสกุลซูที่พวกเขาตรวจสอบออกมานั้น ซูหลีก็หมดคำจะพูดอยู่เหมือนกัน
ศาลต้าหลี่รับผิดชอบเพียงตรวจสอบคดี เรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดเท่านั้น ที่ขุนนางคนนั้นรายงานก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความจริง
ดังนั้นซูไท่ถึงได้มีจุดจบเช่นนี้ ทว่าถูกคนในบ้านร่วมมือกับคนภายนอก ถูกคนจ้องทำร้ายทั้งภายในและภายนอก เรื่องถึงได้เป็นเช่นนี้
ดังนั้นเรื่องส่งต่อให้ศาลต้าหลี่ ซูหลียังรู้สึกวางใจ เดิมเรื่องแบบนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะให้นางมาจัดการ หากไม่ใช่เพราะสกุลเซียวบีบนางทีละก้าวเช่นนี้ นางก็คงไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องแบบนี้
เรื่องที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับนางเลยแม้แต่น้อย!
ตอนที่ 1128 อีกสามวันออกจากวังหลวง
ซูหลีรู้สึกว่าตนไม่ใช่คนดีอะไรนัก อย่างไรก็ไม่ใช่คนที่จะร้องทุกข์กับความอยุติธรรมในใต้หล้า
เรื่องทั้งหมดที่สกุลเซียวกระทำนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่เลวร้าย
ทว่าเมื่อพูดเช่นนี้แล้ว นางก็ถือว่าลงมือจัดการกับศัตรูอย่างสกุลเซียวด้วยตัวเองแล้ว
หากพูดตั้งแต่เบื้องต้น เรื่องของสกุลหลี่ถึงทำให้นางจัดการถึงรากถึงโคนของสกุลเซียวเช่นนี้
บนร่างคนเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นคนมือสะอาด อย่างน้อยก็ไม่ได้มือสะอาดเหมือนกับสกุลหลี่ในอดีต ทว่าพวกเขากลับมีชีวิตอยู่ยาวนาน มีเพียงสกุลหลี่…
ซูหลีคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าจึงเคร่งขรึมทันที
“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ครั้นเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีของนาง จี้เหิงหรานที่ยืนอยู่ข้างนางจึงขมวดคิ้วเอ่ยถาม
ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนยังคงไม่ค่อยดีอะไรนัก จี้เหิงหรานก็ไม่ได้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อซูหลี เพียงแต่เขาเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อส่วนรวม
ซูหลีคนนี้เป็นคนที่มีอำนาจแต่ไม่เป็นอันตรายต่อฝ่าบาทและราชสำนักความแค้นส่วนตัววางไว้ทางด้านนั้น ส่วนเรื่องในราชสำนักเขายินยอมที่จะร่วมมือกับซูหลี
เรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องที่เขาและซูหลีต่างฝ่ายต่างรู้กัน
“ไม่มีอะไรร้ายแรง” ซูหลีกวาดตามองเขาปราดหนึ่ง ใบหน้านั้นมีความคลุมเครืออยู่บ้าง
แม้จะกล่าวว่านางกับจี้เหิงหรานไม่ถูกกันมาโดยตลอด ทว่าทั้งสองไปมาหาสู่กันเป็นเวลานาน นางก็ไม่ให้จี้เหิงหรานใช้ชีวิตที่ดีนัก กอปรกับตำแหน่งของจี้เหิงหรานกับฉินเย่หาน ทำให้ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างไม่ล้ำเส้นกัน
เพียงแต่ครั้นได้ยินคำพูดของฉินมู่ปิง และฉุกคิดถึงสกุลหลี่ที่ได้รับความไม่เป็นธรรมในอดีต อย่างไรในใจของซูหลีก็ยังมีปมของปัญหาบางเรื่องอยู่
ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น เย่ว์ลั่วอยู่ข้างกายนางมานานมาก ทั้งยังปฏิบัติต่อนางอย่างดีมาโดยตลอด
ที่จริงซูหลีนั้นทราบดีว่า ในใจของเย่ว์ลั่วมีจี้เหิงหรานคนนี้มาโดยตลอด แต่เป็นเพราะจี้เหิงหรานทอดทิ้งหัวใจของนางก่อน ดังนั้นนางถึงได้ปฏิเสธจี้เหิงหรานมาโดยตลอด
ทว่าหากเรื่องที่ฉินมู่ปิงพูดมานั้นเป็นความจริง เช่นนั้นนางก็จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับสกุลจี้
ถึงเวลานั้นแล้ว นางจะเผชิญหน้าของเย่ว์ลั่วได้อย่างไร
ยังมี…
จี้ฉิน คนที่คอยช่วยเหลือนางเป็นคนแรกนับตั้งแต่ที่นางเข้ามาอยู่ในสำนักเต๋อซั่น
ซูหลีหลับตาลง อย่างไรนางก็ไม่ลืม จี้เก๋อเหล่าในปัจจุบัน บิดาของจี้ฉิน ลุงของจี้เหิงหราน ทั้งยังเป็นพระเชษฐาแท้ ๆของไทเฮาในราชสมัยปัจจุบัน
ภายในความสัมพันธ์ชั้นนี้ ทางด้านของจี้ฉิน…
“จบการประชุม!” ฉินเย่หานที่อยู่บนบัลลังก์เอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน ในชั่วขณะนี้ซูหลีถึงได้เรียกสติกลับคืนมา
“ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!” ทุกคนในที่นี้คุกเข่าลง ซูหลีที่ยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้ จึงเป็นจุดเด่นอย่างเห็นได้ชัด
“อาหลี!” เซี่ยอวี่เสียนที่อยู่ด้านหลังดึงนางไว้ เวลานี้ซูหลีถึงได้ดึงสติกลับเข้าร่างประหนึ่งตื่นจากฝันมิปาน นางถึงได้คุกเข่าตามอย่างรีบร้อน
อากัปกิริยาใจลอยของนางนั้นล้วนอยู่ในสายตาของฉินเย่หาน เดิมทำให้เขารู้สึกอารมณ์ไม่ดีอยู่บ้าง กอปรกับการกระทำของเซี่ยอวี่เสียน
ดูเหมือนใบหน้าของฉินเย่หานจะดำคล้ำขึ้นในชั่วพริบตา
หวงเผยซานที่ติดตามเขาอยู่ด้านหลัง ถูกอากาศหนาวเหน็บที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้แข็งค้างไป
เขาอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน คนผู้นี้เป็นอะไรไปอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ใบหน้ายังยิ้มแย้มเบิกบาน หัวเราะไม่หยุดขณะที่อ่านจดหมายรักฉบับนั้นอยู่เลยมิใช่หรือ
นี่เขาจะกำลังฝันมาถึงตรงนี้!?
แน่นอนว่าหวงเผยซานไม่มีทางที่จะเข้าใจอารมณ์ของฉินเย่หานอยู่แล้ว เขาเพียงทราบว่าตั้งแต่ที่ออกมาจากตำหนักอวิ๋นซิน ฉินเย่หานหันศีรษะมาและถ่ายทอดคำสั่งด้วยใบหน้าเยียบเย็น…
“เตรียมคนให้พร้อม อีกสามวันออกจากวังหลวง!”
หวงเผยซาน…
สามวัน!? เร็วถึงขนาดนี้!
ไม่ใช่ต้องให้กรมธรรมการหาฤกษ์ให้ก่อนหรือ นี่ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไปแล้ว
แต่อย่างไรก็ตามคำถามนี้ ฉินเย่หานไม่มีทางตอบเขาอย่างแน่นอน!