ตอนที่ 487 โง่เง่า / ตอนที่ 488 ไสหัวไป

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 487 โง่เง่า 

 

 

 

 

 

หากกล่าวตามความจริงแล้ว ขิงนั้นยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด ความคิดของไทเฮานั้นเป็นเหตุเป็นผลสอดคล้องกันไปหมด 

 

 

ขอเพียงแค่ แผนการอย่าได้เปลี่ยนแปลงไปเลย 

 

 

ตอนนี้ตำแหน่งฮ่องเต้จะตกอยู่ในกำมือรัชทายาทหรือจวินจื่อหร่าน ก็ยังคงไม่แน่ชัด 

 

 

ที่จวินไหวซ่งไม่ยอมรามือจากอวี้อาเหราเช่นนี้ ก็เท่ากับคิดที่จะขัดขวางรัชทายาทมิใช่หรืออย่างไร? 

 

 

แล้วจะให้นางดีใจได้อย่างไรกัน 

 

 

แต่ก็น่าเสียดายที่จวินไหวซ่งนั้นช่างไม่รู้ใจไทเฮา และเอาแต่ใจตัวเองเช่นนี้ 

 

 

หรือจะพูดอีกอย่าง ก็เพราะนางโง่เง่าเสียเหลือเกิน 

 

 

หากมองไปยังจวินเสวียนจี จะเห็นนางยืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่พูดไม่จา อีกทั้งยังช่วยแก้ตัวให้อวี้อาเหรา นี่ก็พอจะรู้แล้วว่าเหตุใดนางจึงเป็นที่โปรดปรานของไทเฮา แม้ว่าจะเกลียดชัง แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงอารมณ์ทางสีหน้า แต่กลับซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ เพื่ออาศัยในยามที่ศัตรูพลั้งเผลอ แล้วจึงค่อยระเบิดความแค้นเคืองออกมา เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว ก็คงสำนึกได้เองว่าคนเช่นนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก 

 

 

อวี้อาเหรามองจวินเสวียนจีอย่างสำรวจตรวจตรา แล้วนิ่งงันไป 

 

 

เมื่อมองไปทางฉู่ป๋ายอีกครั้ง นางก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปตรงไหน ราวกับแม้ว่าจะเห็นคนหล่นลงมาจากบนฟ้าตรงหน้าแต่ก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเช่นไร ก็ไม่อาจทำให้จิตใจของเขาสั่นไหวได้เลย 

 

 

จวินไหวซ่งเบ้ริมฝีปากออก เมื่อถูกไทเฮาต่อว่าเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกขุ่นเคืองใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา 

 

 

จวินฉางอวิ๋นเห็นดังนั้นแล้วก็พูดกับนางว่า “ไหวซ่ง เสด็จย่าทรงเหน็ดเหนื่อยแล้ว” 

 

 

แม้แต่เขาก็ยังรู้ว่าควรจะใช้คำพูดเช่นไรเพื่อหลีกเลี่ยงการพูดตรงๆ ดูแล้วคงไม่ได้โง่เง่าไปเสียทั้งหมดกระมัง 

 

 

แต่จวินไหวซ่งก็ยังไม่เข้าใจความหมายของเขา ไม่รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว กลับเดินเข้ามาใกล้อีกก้าว 

 

 

“เสด็จย่า พระองค์ทรงต้องตัดสินอย่างยุติธรรมนะเพคะ ต้องทำให้ใต้หล้าประจักษ์ชัดเจน เรื่องที่อวี้อาเหราก่อขึ้นในวันนี้ ก็ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะมีใครเอาเยี่ยงอย่าง แต่เสด็จย่าทรงจัดการสถานเบาเช่นนี้ ใจของไหวซ่งยากเหลือเกินที่จะยอมรับเพคะ!” 

 

 

“เจ้า!” 

 

 

ไทเฮาโกรธเสียจนพูดไม่ออก ไม่เคยพบคนที่มองสถานการณ์ไม่ออกอย่างจวินไหวซ่งมาก่อนเลย 

 

 

จวินไหวซ่งสัมผัสได้ถึงสีพระพักตร์ที่ไม่พอพระทัยของไทเฮาแล้วก็ตกใจจนต้องก้มหน้าลง แต่เมื่อนึกถึงคำพูดที่ตัวเองพูดออกมาเมื่อครู่นี้ ก็เพื่อต้องการไม่ให้อวี้อาเหราได้ใจในภายภาคหน้า เพื่อไม่ให้นางมาทำกร่างต่อหน้าได้ ดังนั้นดวงตาของนางจึงจับจ้องไปที่ไทเฮานิ่ง ไม่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอ 

 

 

และก็ไม่รู้ว่านางไปเอาความกล้ามาจากไหน 

 

 

ไทเฮานั้น แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังต้องกรงพระทัย ทว่าองค์หญิงรองท่านนี้ก็ช่างโง่เขลาเบาปัญญายิ่ง 

 

 

เมื่อทุกคนเห็นสีหน้าของไทเฮาแล้ว ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก 

 

 

ฮ่องเต้พลันตำหนิขึ้นมาบ้าง “ไหวซ่ง เหตุใดเจ้าถึงกล่าววาจากับเสด็จย่าเช่นนี้? เหตุใดถึงไม่รู้เรื่องกฎเกณฑ์พิธีรีตอง เสียแรงที่เป็นถึงองค์หญิงแห่งต้าเยี่ยน” 

 

 

“เสด็จพ่อ” จวินไหวซ่งโอดครวญ นางเพียงต้องการให้อวี้อาเหราได้รับโทษอย่างสมควรเท่านั้น เหตุใดถึงได้ทำเหมือนนางเป็นคนผิดเสียเองเล่า ในเมื่อไทเฮาช่วยนางก็ช่างเถิด แต่เหตุใดเสด็จพ่อต้องช่วยอวี้อาเหราด้วย ไหนบอกว่าปลาร้อนคือสมบัติล้ำค่าแสนหวงมิใช่หรือ? ในเมื่อของรักของหวงถูกกินไปเช่นนี้ เหตุใดถึงยังลงโทษสถานเบาได้ 

 

 

นางไม่เข้าใจความคิดของไทเฮาเลยแม้แต่น้อย ทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนที่มีจิตใจบิดเบี้ยวไปเสียได้ 

 

 

บุญคุณความแค้นในวังหลวง ไหนเลยจะมองออกง่ายๆ ถึงเพียงนั้น 

 

 

ทุกคนสูดลมหายใจเย็นๆ ไม่รู้ว่าเหตุใดองค์หญิงรองที่เติบโตมาถึงขนาดนี้แล้ว จึงไม่รู้ว่าเรื่องใดควรทราบไม่ควรทราบ กลับทำเรื่องเสียหาย ทั้งผิดที่ผิดเวลา และยังล่วงเกินคนที่ไม่สมควรล่วงเกินมากที่สุดอีกด้วย 

 

 

ตอนนี้อวี้อาเหราไม่ใช่ธิดาเอกธรรมดาๆ ของจวนหลิงอ๋องอีกต่อไปแล้ว 

 

 

แต่นางเป็นพระชายารัชทายาทที่ไทเฮาเลือก แน่นอนว่าไทเฮาจะต้องให้ท้ายนาง แล้วนี่ยังจะไม่น่าเกรงกลัวอีกหรือ? 

 

 

กลับกันนั้น จวินไหวซ่งที่หัวรั้นเช่นนี้ ทำผิดอย่างไรเสียก็ต้องได้รับโทษ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 488 ไสหัวไป 

 

 

 

 

 

แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้ว คำว่า ‘โทษทัณฑ์’ จะง่ายดายเพียงนี้ได้หรือ? 

 

 

นางไม่ได้ไร้เดียงสา แต่นางโง่! 

 

 

ไทเฮาที่โกรธอยู่สะบัดแขนเสื้อ “จวินไหวซ่ง เจ้าช่างบังอาจนัก แม้แต่คำพูดของเราเจ้ายังตั้งแง่ ไสหัวกลับไปที่ตำหนักพระสนมซูเฟยเดี๋ยวนี้ หากไม่มีคำสั่งของเราห้ามเจ้าออกมาเด็ดขาด” 

 

 

พระสนมซูเฟยก็ดูเป็นคนฉลาดเฉลียว แต่เหตุใดนางถึงได้ให้กำเนิดลูกสาวที่โง่เขลาได้ถึงเพียงนี้ 

 

 

เมื่อจวินไหวซ่งจะอ้าปากแย้ง จวินเสวียนจีที่อยู่ข้างหลังก็ก้าวเข้ามาหา รีบดุว่านางในทันที จากนั้นจึงค่อยหันไปหาไทเฮา “เสด็จย่าทรงกริ้วจะส่งผลเสียต่อพระพลานามัย น้องไหวซ่งเพียงปากไวใจเร็วไปหน่อย ไม่ได้มีเจตนาที่จะตั้งแง่ในความคิดของเสด็จบ่าเลยแม้แต่น้อย” 

 

 

“เหอะ” ไทเฮาว่าอย่างโกรธๆ แม้ว่าจะยังโกรธอยู่ แต่ก็ไม่ได้โมโหขนาดนั้น 

 

 

เมื่ออวี้อาเหราเห็นดังนี้จึงหันไปพูดกับไทเฮาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอไทเฮาอย่าทรงกริ้ว องค์หญิงรองเป็นคนมีพระทัยกล้าหาญมาตลอด แต่ไม่รู้เรื่องอันใด ครั้งนี้ก็เป็นเพราะตัวของอาเหราเอง ที่ทำเรื่องที่ผู้อื่นไม่ทำกัน ขอไทเฮาอย่าทรงพิโรธ หากทรงกริ้วแม้แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จะทำให้เสียพระพลานามัย ฝ่าบาทจะทรงกังวลพระทัย รัชทายาทเองก็เช่นกัน ทุกพระองค์ต่างห่วงใยพระวรกายของไทเอาทั้งนั้นนะเพคะ” 

 

 

เมื่อได้ยินอวี้อาเหราว่าเช่นนี้ ไทเฮาก็รู้สึกดีใจขึ้นมาบ้าง ความโกรธเคืองกระจายหายไป ตบมือนางเบาๆ อย่างชื่นชม “อาเหราช่างรู้ความนัก” 

 

 

คำพูดนี้แสดงให้เห็นว่าอวี้อาเหราอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าจวินไหวซ่งภายในใจของไทเฮา แน่นอนว่าไทเฮาย่อมพึงพอใจในตัวหลานสะใภ้คนนี้มาก รอยยิ้มที่เผยให้เห็นดูจริงใจ 

 

 

จวินไหวซ่งเหยียดริมฝีปากอย่างไม่พอใจ รู้ว่าอวี้อาเหรานั้นตั้งใจที่จะพูดกระทบนาง และไม่เห็นนางอยู่ในสายตา 

 

 

แต่เมื่อผ่านกันดุด่าสั่งสอนมาแล้ว นางก็ไม่กล้าพูดจาจาบจ้วงไทเฮาอีก 

 

 

เพียงคำว่าไสหัวไปที่หลุดออกมาจากปาก ก็รู้ว่าว่าไทเฮานั้นโมโหเพียงใด 

 

 

ตอนนี้ นางจึงค่อยตระหนักถึงความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และความโง่เขลาของตัวเอง 

 

 

จึงทำเพียงยืนทำสีหน้าโอดครวญไม่ขยับเคลื่อนไหว เพราะกลัวว่าหากพูดออกไปแล้ว จะไม่เพียงถูกไล่ออกไปอยู่ในตำหนักเสด็จแม่ แต่จะโดนไล่ออกไปที่อารามเพื่อถือศีลกินเจเหมือนเสด็จแม่ 

 

 

เมื่อเห็นนางไม่พูดจา ไทเฮาก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก แล้วหันกลับไปบอกทุกคน “เรากลับก่อน” 

 

 

“น้อมส่งไทเฮา” ทุกคนต่างพากันทำความเคารพ 

 

 

เมื่อไทเฮากำลังจะเดินจากไป ทันใดนั้นก็หยุดฝีเท้าลง แล้วมองไปทางจวินฉางอวิ๋น “อีกสักครู่หลิงอ๋องและคุณหนูรองก็คงจะออกจากวัง รัชทายาทไปส่งหน่อยเถิด” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” จวินฉางอวิ๋นพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ 

 

 

อวี้อาเหราเข้าใจในทันที ไทเฮาพยายามที่จะให้จวินฉางอวิ๋นไปส่งนางและหลิงอ๋อง ก็เพื่อคิดที่จะใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ น่าเสียดายนัก ตอนนี้นางไม่เหมือนหญิงโง่เขลาที่เอาแต่หลงรักจวินฉางอวิ๋นจนหัวปักหัวปำคนนั้นอีกต่อไป ไม่มีทางเกิดความรู้สึกอะไรต่อจวินฉางอวิ๋นได้เลย 

 

 

ไม่ว่าไทเฮาจะพยายามจัดการอย่างไร นางก็ไม่อาจยินยอมพร้อมใจได้อีก 

 

 

เมื่อไทเฮาพูดจบก็ออกไปจากพระตำหนักใหญ่ 

 

 

สายตาของทุกคนมองส่งไทเฮา จากนั้นก็ค่อยๆ มองย้อนกลับมา แล้วมองไปทางฮ่องเต้ 

 

 

“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด ส่วนเรื่องลงโทษก็ให้เป็นไปตามที่ไทเฮาจัดการ เราไปก่อนล่ะ!” ฮ่องเต้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก ไม่แปลกที่จะโกรธ เพราะของรักของหวงของตัวเองโดนกินไป เป็นใครจะไม่โกรธบ้าง? 

 

 

แต่เพราะเขาไม่ใช่คนธรรมดา เป็นผู้ที่ได้รับความเคารพจากทุกสารทิศ ในเมื่อไทเฮากล่าวเช่นนั้น แน่นอนว่าไม่อาจหักหน้านางได้ อีกอย่างไทเฮาก็คิดเอาไว้ไม่ผิด ไม่อาจเสียหน้าต่อขุนนางทั้งหลาย เพราะฉะนั้นจึงต้องปิดเรื่องที่อวี้อาเหราและฉู่ป๋ายก่อขึ้นเป็นความลับห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด  

 

 

แต่เมื่อครู่นี้ คนทั้งหลายต่างก็มองเห็นอวี้อาเหราและฉู่ป๋ายถูกคุมตัวเข้าวังหลวงมากันหมดแล้ว