บทที่ 364.2 ใครมีกระบี่ให้ข้ายืม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันและจูเหลี่ยนเหมือนถูกทาน้ำมันในเวลาเดียวกัน คนหนึ่งวิ่งปรู๊ดเข้าห้อง อีกคนวิ่งฉิวเข้าไปในร้านยาด้านหน้า

สุยโย่วเปียนแค่นเสียงดังหึแล้วกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง เผยเฉียนหลับไปแล้ว คงเป็นเพราะเคยชินที่จะอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะทุกข์ยากลำบากแค่ไหนก็ไม่มีใครสนใจใยดี อีกทั้งยังมีผืนฟ้าเป็นมุ้ง ผืนดินเป็นฟูกนอน หรือไม่ก็ไปนอนอยู่บนสิงโตหินหน้าบ้านคนรวย ท่านอนของนางจึงไม่เรียบร้อยอย่างยิ่ง มือเท้ากางอ้า ผ้าห่มจะรั้งความอบอุ่นไว้ได้อย่างไร สุยโย่วเปียนขมวดคิ้ว เดินเข้าไปหาเบาๆ ช่วยขยับมือและเท้าให้เด็กหญิงพร้อมกับเหน็บชายผ้าห่มให้นาง

สุยโย่วเปียนจุดตะเกียง นั่งอยู่ข้างโต๊ะเพียงลำพัง รอบด้านเงียบสงัด มีเพียงกระบี่อยู่เคียงกาย

คืนนี้เฉินผิงอันนอนในร้านยา ปูผ้านอนบนพื้น หลับไม่สนิทนัก

เจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ในลานบ้านคอยป้อนหมัดให้คนทั้งสี่อยู่เป็นระยะ

เฉินผิงอันหลับตาลง ฟังเสียงปณิธานหมัดที่ไหลริน บ้างก็เบา บ้างก็หนัก ล้วนทำให้เกิดคลื่นกระเพื่อมในจิตใจราวกับมีคนมาเคาะประตูบ้าน

ในตรอกแถบนี้ หนึ่งค่ำคืนผ่านไปอย่างสงบสุข

สำหรับเรื่องนี้ตระกูลฝูยังพอจะมีเกียรติอยู่บ้าง อีกอย่างศึกใหญ่กำลังจะเปิดฉากขึ้น ต่อให้มีคนที่มีศักยภาพมากพอจะบุกเข้ามาในตรอกเพื่อท้าทายเจิ้งต้าเฟิง แต่ทำอย่างนั้นก็เท่ากับตบหน้าตระกูลฝู และตอนนี้ใบหน้าของตระกูลฝูในนครมังกรเฒ่าก็แทบจะเท่ากับหน้าของสกุลเจียงอวิ๋นหลินแล้ว หากไม่เป็นเพราะสาเหตุนี้ ฝูฉีก็ไม่มีทางนัดต่อสู้กับเจิ้งต้าเฟิงที่แท่นมังกรด้วยตัวเอง

เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าสรุปแล้วฝูฉีสามารถบังคับอาวุธเซียนได้กี่ชิ้น คือเรื่องที่สำคัญในสำคัญซึ่งในห้องหลักปรึกษากันก่อนหน้านี้

ลูกหลานตระกูลฝูขอบเขตโอสถทองสามารถบังคับอาวุธกึ่งเซียนที่ควบคุมได้ยากยิ่ง อีกทั้งอาวุธกึ่งเซียนอาจถึงขั้นแว้งกลับมาโจมตีคนบังคับได้ เดิมทีนี่เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากอยู่แล้ว เพียงแต่ว่านานวันเข้าโลกภายนอกกลับให้การยอมรับไปโดยปริยาย

เฉินผิงอันตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ เจิ้งต้าเฟิงนั่งกินโจ๊กอยู่หน้าประตูห้องหลัก เผยเฉียนนั่งยองอยู่ข้างๆ กำลังซุบซิบกันเบาๆ ไม่รู้ว่าพวกเขาสนิทสนมกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

หลูป๋ายเซี่ยงดีดพิณอยู่ในห้องของตัวเอง มีท่วงทำนองของสายน้ำไหลรินท่ามกลางขุนเขาสูง

เว่ยเซี่ยนฝึกเดินนิ่งหกก้าวที่แอบลักจำมาจากเฉินผิงอันอยู่ในลานบ้าน สุยโย่วเปียนก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ นางก็ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอยู่เช่นกัน

จูเหลี่ยนพอจะมีคุณธรรมอยู่ข้าง เขายกโจ๊กขาวถ้วยใหญ่มาให้เฉินผิงอัน บอกว่านายน้อยลองชิมฝีมือของข้าดู เฉินผิงอันนั่งกินโจ๊กบนม้านั่งตัวยาว ฟ้าเริ่มสว่างทีละนิด เขารู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา

เดินไปเปิดประตูร้านที่อยู่ด้านหน้า ร้านยาฮุยเฉินก็เท่ากับเปิดร้านรับลูกค้าแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าจะมีลูกค้าหรือไม่ เช้าตรู่แบบนี้กลับบอกได้ยากจริงๆ

เฉินผิงอันเปิดประตูแล้วก็ฝึกท่าหมัดเดินนิ่งอยู่ในตรอก เดินไปเรื่อยจนถึงหัวเลี้ยว จากนั้นก็เดินย้อนกลับ หลังจากเดินปล่อยหมัดวนกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้จนครบเป็นรอบที่สามก็มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในคลองจักษุของเขา

หนึ่งในนั้นคือคนคุ้นเคยจึงไม่แปลกใจ ส่วนอีกคนไม่คุ้นหน้านัก แต่กลับเป็นหญิงสาวที่เฉินผิงอันจดจำได้เป็นอย่างดี การปรากฏตัวของนางค่อนข้างอยู่เหนือการคาดการณ์ไปสักหน่อย

คนหนุ่มก็คือฟ่านเอ้อร์ ข้างกายเขาคือหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียว ตอนนั้นที่อยู่ในเส้นทางเรือมังกรเดินใต้ดิน เรือข้ามฟากสองลำแล่นสวนกัน เฉินผิงอันเคยเห็นนาง นางยังมีความสามารถในการควบคุมกาเหล้าให้ลอยกลางอากาศด้วยมือเดียวด้วย

ฟ่านเอ้อร์มองเห็นเฉินผิงอันแต่ไกลก็พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เฉินผิงอัน กล้าประมือกับข้าฟ่านเอ้อร์ขอบเขตสี่หรือไม่?”

เฉินผิงอันหยุดอยู่หน้าร้านยา ส่ายหน้าตอบ “ไม่กล้า”

“เจ้าและข้าต่างก็เป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตสี่ ในเมื่อพบเจอกันบนทางแคบ แต่กลับไม่ต่อสู้กันให้สาแก่ใจ จะไม่ทำให้โลกใบนี้มีเรื่องน่าเสียดายเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหรอกหรือ!”

ฟ่านเอ้อร์ใช้กระบวนท่าหมัดหวังปาต่อยสะเปะสะปะให้อาจารย์ผู้เฒ่าตาย (เปรียบเปรยถึงความไม่เป็นระเบียบ ไร้กฎเกณฑ์ มั่วซั่วส่งเดช) เป็นการเปิดฉาก ปากก็ร้องย๊ากๆๆ กางเล็บแยกเขี้ยวพุ่งเข้าใส่เฉินผิงอัน

เฉินผิงอันยกมือกุมขมับ ได้แต่เดินนิ่งไปข้างหน้าช้าๆ ให้ความร่วมมือกับฟ่านเอ้อร์ด้วยการร่วม ‘ศึกตัดสินขั้นสูงสุดระหว่างปรมาจารย์ใหญ่’ ครั้งนี้

โชคดีที่ฟ่านเอ้อร์เพิ่งวิ่งออกมาได้สิบกว่าก้าวก็ถูกสตรีชุดเขียวผู้นั้นยื่นมือมาดึงคอเสื้อ จับตัวเขาโยนไปด้านหลังนาง “อย่ามาทำตัวน่าอับอายขายหน้าอยู่แถวนี้ เก่งจริงก็ไปปล่อยกระบวนท่าที่แท่นมังกรโน่น”

ฟ่านเอ้อร์เดินไปอยู่ด้านหลังนางแต่โดยดี ยักคิ้วหลิ่วตาให้เฉินผิงอันอย่างคนขี้เล่น

เฉินผิงอันหยุดเดิน กล่าวอย่างสงสัย “เจ้าคือพี่สาวฟ่านเอ้อร์ ฟ่านจวิ้นเม่า?”

ตรงเอวฟ่านจวิ้นเม่าก็ผูกกาเหล้าไว้เหมือนกัน นางไม่หยุดเดิน หัวเราะเสียงเย็นตอบว่า “ข้าไม่ได้อยากมีน้องชายแบบนี้หรอก แต่บังคับไม่ให้พ่อข้าและแม่รองคลอเคลียนัวเนียกันไม่ได้”

ฟ่านเอ้อร์หัวเราะคิกคักอย่างคนที่ไม่คิดอะไรมาก

เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ แต่จากนั้นก็วางใจลงได้ บางทีคงมีแค่ฟ่านจวิ้นเม่าที่นิสัยเช่นนี้ถึงจะทำให้ฟ่านเอ้อร์ชอบและเคารพจากใจจริงได้กระมัง หากเป็นสตรีในห้องหอที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย เขาก็อาจจะชอบ แต่ฟ่านเอ้อร์น่าจะไม่ถึงขั้นเคารพเลื่อมใสพี่สาวของเขาจากก้นบึ้งของหัวใจขนาดนี้

ฟ่านจวิ้นเม่าไม่คิดจะเดินเข้าไปในร้านยา นางเพียงชี้นิ้วไปที่นั่น “ฟ่านเอ้อร์ เข้าไปรอข้างใน”

ฟ่านเอ้อร์ร้องตอบอยู่สองทีแล้ววิ่งตุปัดตุเป๋เข้าไปในร้านยา ตอนที่เดินสวนไหล่กับเฉินผิงอันเขาเสี่ยงตายพูดเตือนว่า “ทำใจเสียเถอะนะ”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างตกตะลึง “คุณหนูฟ่าน เจ้าคงจะไม่ใช่…”

ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดจบ ฟ่านจวิ้นเม่าก็พยักหน้า “เจ้าเดาถูกแล้ว คือข้าเอง คราวก่อนที่พวกเราพบกัน เจ้าเดินทางลงใต้ ข้าเดินทางขึ้นเหนือไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิดของเจ้า คนที่ไปพบก็คือตาเฒ่าหยางผู้นั้น สำหรับเจิ้งต้าเฟิง เขาไม่ค่อยสนใจนัก บอกว่าปล่อยให้ใช้ชีวิตไปตามยถากรรมในนครมังกรเฒ่า แต่กับเจ้า เขากลับพูดถึงเป็นพิเศษ บอกว่าหากข้าสนใจก็สามารถลองมองดูเจ้าให้มากหน่อยได้”

สำหรับท่าทีที่หยางเหล่าโถวมีต่อเจิ้งต้าเฟิง เจิ้งต้าเฟิงไม่อยากหลอกเฉินผิงอันด้วยเรื่องแบบนี้ เมื่อคืนวานจึงเล่าให้ฟังอย่างชัดเจน บอกว่าผู้เฒ่าทิ้งค่ำขู่ไว้นานแล้วว่า หากลูกศิษย์ที่ไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างเขาตายไปก็ห้ามแพร่งพรายรากฐานของตัวเองเด็ดขาด

เป็นเหตุให้ความทรงจำทั้งหมดที่ฝูหนันหัวมีต่อเจิ้งต้าเฟิงก็คือคนเฝ้าประตูของถ้ำสวรรค์หลีจูที่เอ้อระเหยลอยชาย

ฟ่านจวิ้นเม่าตะโกน “ฟ่านเอ้อร์ โยนเก้าอี้ออกมาให้หน่อย จำไว้ว่าต้องเป็นเก้าอี้ ห้ามเอามานั่งมาให้ข้าเด็ดขาด”

ฟ่านเอ้อร์รับคำ แบกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาทางร้านยาที่อยู่เบื้องหน้าแล้วโยนออกมาจากประตูใหญ่จริงๆ

ฟ่านจวิ้นเม่ารับมาไว้แล้วก็เอามาวางตรงมุมกำแพงฝั่งตรงข้ามกับร้านยา พอนั่งลงไปแล้วก็เอนตัวไปด้านหลัง เก้าอี้จึงโยกตามไปด้วย นางพูดอย่างเกียจคร้านว่า “เจิ้งต้าเฟิงอาจจะยังใคร่ครวญได้ไม่ชัดเจน ฝูตงไห่วางแผนเรื่องนี้ ฝูฉีไม่รู้เรื่องด้วย แต่เป็นเพราะเจ้าโง่ฝูตงไห่ที่มีปณิธานยิ่งใหญ่แต่กลับไร้ความสามารถลงมือเองโดยพลการ ฝูฉีรู้เรื่องภายในซึ่งเป็นความลับทางประวัติศาสตร์บางอย่างของถ้ำสวรรค์หลีจู จึงตัดสินใจว่าจะดึงเจิ้งต้าเฟิงมาเป็นพวก ก่อนหน้านี้ยังจงใจพาสตรีขายาวมาให้เขาคนหนึ่ง ดูเหมือนจะชื่อว่าฝูชุนฮวาอะไรนี่แหละ น่าเสียดายที่ตอนนั้นเจิ้งต้าเฟิงปฏิเสธความหวังดีของเขาไป แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ฝูฉีก็มองเจิ้งต้าเฟิงเป็นเพียงมังกรข้ามแม่น้ำตัวหนึ่ง แค่เลี้ยงไว้ในบ่อน้ำบ่อเล็กของตระกูลฝูโดยที่ไม่ไปหาเรื่องด้วยก็พอ ทว่าฝูตงไห่กลับก่อเรื่องใหญ่ หญิงแก่จากสกุลเจียงอวิ๋นหลินผู้นั้นก็ดันไม่อยากตายดีสอดมือเข้ายุ่ง ทำให้ ‘ความเข้าใจผิด’ ที่เดิมทีฝูฉีสามารถอธิบายและปิดประตูจัดการกันเองเป็นการภายในได้ กลายมาเป็นปัญหาเรื่องหน้าตาของสกุลเจียงแทน คราวนี้จะทำอย่างไร? ก็เลยมีศึกเดิมพันที่ใครคนหนึ่งต้องตายบนแท่นมังกรเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับว่าเบื้องหน้าตระกูลฝูแต่งงานกับสกุลเจียง แต่เบื้องหลังกลับตบหน้าสกุลเจียง หากเจ้าเป็นบรรพบุรุษสกุลเจียงอวิ๋นหลินจะทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันตอบคำถาม “ลูกหลานย่อมมีโชคของลูกหลาน หน้าใหญ่สู้เหตุผลไม่ได้”

บางทีอาจเป็นเพราะฟ่านจวิ้นเม่าตกใจกับคำตอบเช่นนี้ นางจึงปลดกาเหล้าลงมา “โชคดีที่เมื่อครู่ข้าไม่ได้ดื่มเหล้า ไม่อย่างนั้นต้องสำลักแน่”

เฉินผิงอันนั่งลงบนธรณีประตู “แม้ว่าข้าจะเคยมีความขัดแย้งกับซุนเจียซู่ แต่ข้ารู้สึกว่าในบรรดาสกุลใหญ่ของนครมังกรเฒ่าแห่งนี้ ยังคงเป็นหลักการทำการค้าของสกุลซุนที่ถูกต้องตรงไปตรงมามากที่สุด”

ฟ่านจวิ้นเม่าดื่มเหล้าหนึ่งอึก สายตามีเลศนัย ยิ้มถามว่า “ตระกูลฟ่านของพวกเราไม่เข้าตาเจ้าเลยรึ?”

เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สามารถอบรมสั่งสอนผู้สืบทอดในอนาคตอย่างฟ่านเอ้อร์ออกมาได้ ขนบธรรมเนียมของตระกูลฟ่านย่อมไม่แย่ เพียงแต่ว่าคนที่สามารถออกเสียงในศาลบรรพชนแห่งนั้นมีมากเกินไป แต่ละคนก็ย่อมต้องมีลูกคิดรางเล็กๆ อยู่ในใจตัวเอง ในฐานะเจ้าประมุขตระกูลจำเป็นต้องคอยดูแลทุกด้านอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง จึงยากที่จะ…รักษาตัวให้พ้นจากปัญหายุ่งยาก หรืออาจถึงขั้นต้องยอมอดทนข่มกลั้นเพื่อสถานการณ์โดยรวม หลักการข้อนี้ข้ายังพอจะเข้าใจ แต่ในเรื่องของเจิ้งต้าเฟิงนี้ ตระกูลฟ่านไม่มีคุณธรรมมากพอจริงๆ สมมติว่า ข้าบอกว่าสมมติ วันหน้าข้าต้องการทำการค้ากับตระกูลฟ่าน นอกจากฟ่านเอ้อร์เป็นคนจัดการเองแล้ว ข้าก็คงไม่มีทางวางใจได้ แต่หากทำการค้ากับตระกูลซุนที่ตัวซุนเจียซู่เองไม่ยื่นมือเข้ายุ่ง ข้ากลับจะยิ่งวางใจได้มากกว่า”

ฟ่านจวิ้นเม่าเอียงศีรษะ จุ๊ปากพูด “เจ้าเองก็ไม่ได้โง่นี่นา ทำไมหยางเหล่าโถวถึงได้ชอบพูดว่าเจ้าไม่ค่อยฉลาดล่ะ?”

เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด “ข้าออกจากบ้านเกิดมานานหลายปีแล้ว นอกจากตัวสูงแล้ว ก็ควรต้องมีสมองเพิ่มขึ้นตามไปด้วยกระมัง?”

ฟ่านจวิ้นเม่าพยักหน้ารับ “มีสมองเพิ่มก็จริง แต่พอเจอกับเรื่องใหญ่ก็ยังไม่ค่อยฉลาดอยู่ดี”

เฉินผิงอันไม่ถือสา พูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า “พวกเรามาเริ่มพูดคุยเรื่องการค้าขายกันได้หรือยัง?”

ฟ่านจวิ้นเม่าหัวเราะคิก “หากดูแค่ใบรายการที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้ข้า ข้าก็รู้แล้วว่าการหลอมวัตถุของเจ้าต้องล้มเหลวแน่นอน ไม่เพียงแต่เป็นคนนอกวงการ จิตใจยังสูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้า หากข้าเดาไม่ผิด วัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุน้ำของห้าธาตุที่เจ้าจะหลอม ระดับขั้นคงไม่ต่ำกระมัง คาถาหลอมวัตถุและเตาหลอมก็คงไม่แย่ด้วยเหมือนกัน? เจ้ารู้หรือไม่ว่านอกจากจะไม่สำเร็จแล้ว หากล้มเหลวขึ้นมา ข้อเสียที่ถูกสะสมไว้อย่างลึกล้ำจะยิ่งทำให้มีผลร้ายตามมาเบื้องหลังอย่างไม่จบไม่สิ้น?”

เฉินผิงอันสีหน้าเคร่งเครียด

ฟ่านจวิ้นเม่าคลี่ยิ้ม “ข้ารู้ว่าคนอย่างเจ้าย่อมไม่เชื่อ การค้าขายนี่นะ ข้าจะไปสนใจทำไมว่าเจ้าซื้อของจากข้าไปแล้วจะขาดทุนหรือได้กำไร วางใจเถอะ วัตถุดิบล้ำค่ากองใหญ่เหล่านั้น ข้าเอามาให้เจ้าแล้ว ข้าต้องการโอสถทองของเจียวเฒ่าก่อกำเนิดในร่องเจียวหลงเม็ดนั้น! วัตถุล้ำค่าที่มีแต่ราคาทว่าหาซื้อไม่ได้ชิ้นนี้ ทำให้ข้าหวั่นไหวได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่มีทางมาเยือนด้วยตัวเอง แค่ให้ฟ่านเอ้อร์มาคนเดียวก็พอ”

ฟ่านจวิ้นเม่ากรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่อย่างสาแก่ใจ “เจ้าคิดถูกแล้ว ข้าจะขูดรีดเจ้า จะฉวยโอกาสปล้นสะดมตอนไฟไหม้ อีกทั้งมีดนี้ที่กรีดลงไปยังอำมหิตอย่างมาก แต่เจ้าเฉินผิงอันจะไม่ขายได้หรือ?!”

เฉินผิงอันโยนขวดกระเบื้องที่บรรจุโอสถทองของเจียวเฒ่าออกไป ฟ่านจวิ้นเม่ารับเอาไว้ทันที

เฉินผิงอันถาม “ได้ยินเจิ้งต้าเฟิงบอกว่า เจ้าสามารถควบคุมทะเลเมฆเหนือนครมังกรเฒ่าได้ แล้วถ้าข้าสามารถเอาของดีกว่านี้ออกมาได้ เจ้าจะยินดีลงมือหรือไม่ รับปากว่าไม่ว่าศึกที่แท่นมังกรจะชนะหรือแพ้ก็จะช่วยรักษาชีวิตของเจิ้งต้าเฟิง”

“บนร่างของฟ่านเอ้อร์มีวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งที่ข้ามอบให้เขา เวลานี้เขาน่าจะเอาของออกมาข้างนอกแล้ว ในเมื่อข้าเป็นลูกหลานสกุลฟ่าน ทำการค้าก็ต้องมีความจริงใจกันบ้าง ของเหล่านั้นล้วนเป็นของดี แต่ราคาแพงไปสักหน่อย เรื่องอื่นๆ ล้วนหาข้อตำหนิไม่ได้ ต่อให้ไปหาตระกูลฝู ฝูฉีก็ยังได้แค่หาของที่พอๆ กันนี้ออกมา”

ฟ่านจวิ้นเม่าพูดประโยคเหล่านี้จบก็โยนขวดกระเบื้องที่อยู่ในมือเบาๆ ยิ้มบางกล่าวว่า “ต่อให้ข้ายอมทำลายกฎ เลือกจะลงมือ แต่อย่างมากก็คงมีความเป็นไปได้แค่ห้าส่วนที่จะรักษาชีวิตด้อยค่าที่ตายไปก็ไม่น่าเสียดายของเจิ้งต้าเฟิงเอาไว้ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าไม่อยากทำเลยสักนิดเดียว”

—–