ตอนที่ 368 พ่อของหนู
ได้ยินหู่พั่วถามออกมาอย่างนี้เธอก็เงียบเสียงลง ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากกลับไป เพียงแต่ว่าเธอค่อนข้างหวาดกลัวกับสถานที่ที่เธอจากมา ไม่รู้ว่าพ่อ แม่ และพี่ชายของเธอจะให้อภัยเธอหรือเปล่า
“แม่คะ งั้นพ่อของหนูละคะ?” หู่พั่วไม่เคยถามเฉินหลานอีถึงเรื่องนี้มาก่อน ทำให้เธอคิดเอาเองว่าหู่พั่วไม่ได้ใส่ใจ ที่แท้ในใจของเด็กคนนี้ก็คาดหวังเรื่องพ่ออยู่เหมือนกัน
“เขาชื่อเมิ่งไหวเซิน คิดว่าตอนนี้เขาคงจะมีภรรยาใหม่ไปแล้วละ ในเมื่อเขาก็อยากได้ลูกชายมาตลอด เพียงแต่แม่ยังไม่ทันที่จะมีให้เขา ก็เกิดเรื่องกับแม่เสียก่อน”
“พ่ออยากได้ลูกชายเหรอคะ? ทำไมพ่อถึงได้มีความคิดแบบอำนาจนิยมได้” ภาพจำแรกที่เธอมีต่อพ่อดูไม่ค่อยดีสักเท่าไร เธอรู้สึกเหมือนกับว่าก่อนหน้านี้เธอเองก็เคยเจอเรื่องแบบนี้เหมือนกัน ดังนั้นจึงต่อต้านคนที่มีความคิดแบบนี้
แต่เฉินหลานอีไม่ได้เป็นคนสุดโต่งอย่างหู่พั่ว เธอมองอย่างรอบคอบ เธอเองก็ไม่ชอบที่ผู้ชายสูงค่ากว่าผู้หญิง เพียงแต่ในบางครั้งเธอก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง “หู่พั่ว แต่อย่างคนในบ้านเมิ่ง จะอยากได้ลูกชายก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดีหรอกนะ นี่ไม่ใช่เรื่องของความเชื่อในอำนาจนิยมนะลูก”
“ทำไมจะไม่ใช่อำนาจนิยมคะ ผู้ชายกับผู้หญิงก็เหมือนๆ กันไม่ใช่หรือไง?”
“แม้แต่ครอบครัวธรรมดาๆ ต่างก็อยากได้ลูกชาย แล้วจะเอาอะไรกับครอบครัวที่ต้องการคนสืบทอดล่ะ เหมือนกับลุงโอวหยางของลูกไง ก่อนที่เขาจะแต่งงานกับแม่ ผู้ใหญ่ในครอบครัวของเขาก็ร้อนใจกันแทบผมร่วงเชียวนะ”
“เพราะว่าตระกูลโอวหยางต้องการลูกชายไว้อบรมสั่งสอน รอให้ลุงโอวหยางของลูกแก่ตัวลง ก็จะได้มีคนรับช่วงต่อรับผิดชอบตระกูลโอวหยางต่อไป”
เฉินหลานอีรู้สึกว่านี่เป็นเพียงความต้องการของครอบครัวก็เท่านั้น บ้านเฉินเองก็เช่นกัน เธอมีพี่ชายสองคน คอยรับผิดชอบภาระของที่บ้าน น้องสาวคนเล็กอย่างเธอก็ได้รับความรักใคร่จากพ่อแม่ ได้รับความเอ็นดูจากพี่ๆ
“ผู้ชายคนนั้นไม่ได้รังเกียจแม่เพราะว่าลูกสองคนแรกเป็นผู้หญิงหรอกใช่ไหมคะ?” หู่พั่วคิดถึงพี่สาวขึ้นมาได้ ในเมื่อพ่อของพวกเธอมีความคิดอยากได้ลูกชาย ถ้าอย่างนั้นเขามีปัญหากับแม่หรือเปล่า? อย่างไรแม่ก็มีลูกสาวติดกันถึงสองคน
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน คงมีบ้างแหละจ้ะ แต่ว่าแม่ไม่ได้ใส่ใจความคิดของเขาหรอกนะ ขอแค่แม่มีลูกสาวตัวน้อยๆ สองคนคอยอยู่เป็นเพื่อนแม่ เรื่องอื่นๆ แม่ก็ทนได้ อีกอย่างเขาก็ทำอะไรแม่ไม่ได้สักหน่อย”
คำพูดนี้ของเฉินหลานอีล้วนเป็นความจริง เพราะว่าตระกูลเฉินก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลเมิ่งสักเท่าไร นอกจากเมิ่งไหวเซินที่ไม่อาจให้ความรักกับเธออย่างเต็มที่ ในด้านอื่นๆ เขาก็เอาเปรียบเธอไม่ได้เช่นกัน ต่อให้เขาอยากเอาเปรียบ ก็ไม่มีโอกาสอยู่ดี เฉินหลานอีไม่ใช่คนที่จะยอมให้เขาทำร้าย
“ทำไมต้องอดทนล่ะคะ แม่คะ ตระกูลเฉินก็ไม่ได้ด้อยกว่าตรงไหน แม่จะเลิกกับเขาก็ได้นี่คะ” หู่พั่วรู้สึกว่าหลักการนี้เข้าใจง่ายจะตายไป ในเมื่อทั้งสองคนเข้ากันไม่ได้ ทำไมถึงต้องฝืนทนอยู่ด้วยกันล่ะ?
“เด็กโง่ ด้วยชื่อเสียงบารมีของตระกูลเฉินและตระกูลเมิ่งในตอนนั้น แม่กับพ่อของลูกเป็นตัวแทนความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูล ไม่ใช่จะเลิกกันได้ง่ายๆ นะ”
ลูกสาวของเธอช่างใสซื่อ ตั้งแต่ที่เธอแต่งงานกับเมิ่งไหวเซิน เธอก็ไม่เคยมีความคิดว่าจะแยกจากเขาเลยด้วยซ้ำ เพื่อลูกทั้งสองคน เธอจะไม่ทำเรื่องอย่างนั้นเด็ดขาด
“แม่คะ แม่ไม่ได้รักคุณพ่อเลยใช่หรือเปล่า โชคดีนะคะที่ยังมีลุงโอวหยาง” หู่พั่วไม่มีความรู้สึกใดๆ กับพ่อแต่ในนามของเธอสักนิด กับโอวหยางเลี่ยยังมีไมตรีจิตต่อกันถึงสองปี เทียบกับพ่อแต่ในนามของเธอแล้วห่างไกลกันเป็นไหนๆ
“ความจริงแล้วเดิมทีแม่เองก็หวั่นไหวอยู่บ้าง ลูกต้องเข้าใจว่าแม่ก็ใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก ตอนนั้นพ่อของลูกเองก็หน้าตาดี ดูมีสง่าราศีเชียวละ”
“ตอนนั้นก็มีคนมาชอบกันเยอะแยะเลย เพียงแต่ว่าพออยู่ด้วยกันไปแล้วก็พบว่ามีหลายๆ อย่างในชีวิตที่เข้ากันไม่ได้ ถึงได้มีปัญหากันในภายหลัง”
ทั้งๆ ที่ในดวงตาของเฉินหลานอีไม่ได้โกรธเคือง แล้วก็ไม่ได้หวนคิดถึง มีเพียงเธอที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผู้ชายคนนั้นแล้ว ถึงได้ไม่ได้อ่อนไหวกับเรื่องของเขาเลยแม้แต่น้อย
“แม่คะ เหมือนว่าแม่จะปล่อยวางได้แล้วนะคะ” หู่พั่วเห็นว่าเฉินหลานอีมีแต่ความสุข เธอไม่ได้คิดถึงคืนวันที่แสนลำบากเหล่านั้นแล้ว ตอนนี้ลุงโอวหยางมีแต่ให้ความสุขกับเธอ
“จ้ะ แม่ปล่อยวางได้แล้วจริงๆ มีลูกๆ คอยอยู่ข้างๆ แม่แล้วยังไงจ๊ะ เรื่องอะไรแม่จะต้องคิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วล่ะ รู้หรือเปล่า ลุงโอวหยางของลูกขี้หึงเก่งเป็นที่สุดเลยนะ เกิดเขารู้เข้า จะต้องไม่สบายใจไปอีกนานเชียวละ”
ตอนที่ 369 ปล่อยวางได้แล้วจริงๆ
หู่พั่วเห็นว่าแม้ว่าแม่ของเธอจะพร่ำบ่นว่าลุงโอวหยางเลี่ยค่อนข้างจะน่ารำคาญ ทว่าลึกๆ แล้วภายในใจกลับมีความยินดีที่ไม่อาจแสดงออกมาได้ชัดเจนนัก เธอเองก็เข้าใจได้ดี “แม่คะ หนูเชื่อว่าแม่จะรับมือกับนิสัยเสียเหล่านั้นของลุงโอวหยางได้แน่นอนค่ะ แค่แม่ลงมือทำ ไม่ว่าอะไรก็สำเร็จได้ทั้งนั้น”
…
รอจนเสี่ยวอวี่กับลั่วอิงตื่นนอนขึ้นมาแล้ว ช่วงเวลาเอ้อระเหยของหู่พั่วกับเฉินหลานอีก็พลันจบลง เด็กๆ ตื่นขึ้นมาแล้ว ความสนใจหลักของหู่พั่วจึงย้ายไปอยู่กับพวกเขา หู่พั่วป้อนบิสกิตที่พวกเขาเหลือไว้จากชามื้อกลางวันเมื่อสักครู่ให้ลั่วอิงกับเสี่ยวอวี่
เสี่ยวอวี่กินอย่างสุขใจ คอยเรียก “มา…มา…” ลั่วอิงเองก็คอยแก้ไขการออกเสียงให้เขา แต่ว่าเสี่ยวอวี่นั้นยังเด็กเกินไป ต่อให้อยากเรียนรู้แค่ไหนก็ไม่มีความสามารถพอ ลั่วอิงจึงทำได้แค่เพียงคอยแก้ไขการออกเสียงให้เขาบ่อยๆ เท่านั้น
“หม่าม๊า”
“มา…มา”
“ไม่ใช่ ต้องเป็นหม่าม๊า”
“แอ มามา!”
…
หู่พั่วเห็นว่าเธอยังคงพยายามไม่หยุด ส่วนตัวเสี่ยวอวี่นอกจากตื่นเต้นดีใจแล้วก็ไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ตรงไหน ทว่าลั่วอิงกลับเหนื่อยจนหอบแฮ่กๆ
“เอาละจ้ะ รีบกินบิสกิตเร็วเข้า ตอนนี้เสี่ยวอวี่ยังเด็กเกินไป ลั่วอิงพูดไปน้องก็ทำไม่ได้อยู่ดี รอให้กินเสร็จก่อน มีแรงขึ้นมาใหม่แล้วค่อยมาสอนน้องนะ” หู่พั่วรีบเข้ามาจัดแจง เมื่อเห็นสีหน้าเซื่องซึมของลั่วอิงก็รีบปลอบโยนเธอในทันที
เมื่อดื่มชามื้อกลางวันเสร็จแล้ว หู่พั่วจึงพาลั่วอิงไปเดินชมตัวปราสาท นอกจากห้องที่เธอเองก็ไม่สามารถเข้าไปได้ บริเวณน้อยใหญ่ภายในปราสาทเธอก็พาลั่วอิงไปทุกที่ ทั้งสวนดอกไม้ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย…
โอวหยางหงยึดครองห้องออกกำลังกายเอาไว้ ลั่วอิงไม่ได้ให้ความสนใจกับห้องนี้สักเท่าไหร่ ถ้าหากว่าเสี่ยวอวี่โตขึ้นแล้ว เขาก็อาจจะใช้เวลาอยู่ที่นี่เป็นส่วนมากก็ได้ เห็นโอวหยางหงเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว เสียดายที่ตอนนี้เขาเป็นแค่ลูบูแตง[1]น่องสูงก็เท่านั้น
เดินวนได้รอบหนึ่ง หู่พั่วก็รู้สึกว่าที่หลังของตัวเองมีเหงื่อซึมๆ “ลั่วอิง อีกเดี๋ยวก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะพาหนูไปเดินเที่ยวนะ หนูยังมีเวลาชื่นชมทัศนียภาพของที่นี่อีกนานเลยจ้ะ”
“คุณแม่โจวโจวเหนื่อยแล้วหรือคะ? ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเถอะค่ะ” ลั่วอิงรู้สึกเมื่อยล้า เธอเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเดินมานานขนาดนี้แล้ว เดินกับถังโจวโจวจนวนทั่วปราสาทรอบหนึ่ง แน่นอนว่าผลสุดท้ายของการเดินทางก็คือขาที่เมื่อยล้าเป็นที่สุด
หู่พั่วรู้สึกเหนื่อยทั้งร่างกายและจิตใจ เมื่อกี้เสี่ยวอวี่อยากลงไปเดินเล่นที่สนาม แต่เขายังเดินได้ไม่คล่องนัก ทำได้แค่ให้หู่พั่วประคอง พอประคองไปนานเข้าเธอก็เริ่มเมื่อยเอวปวดหลัง แต่หู่พั่วก็ไม่กล้าคลายมือออก หากมีเรื่องอะไรเกิดกับเสี่ยวอวี่ขึ้นมา ใจของเธอจะต้องแหลกสลายเป็นแน่
เมื่อย้อนกลับไป หู่พั่วเพิ่งมาถึงห้องรับแขกก็พบเข้ากับโอวหยางหง เธอจึงรีบร้อนส่งเสี่ยวอวี่ให้เขาทันที “หงเอ๋อร์ พี่ฝากอุ้มเขาเอาไว้ก่อนนะ พี่จะขึ้นไปเปลี่ยนชุดสักหน่อย”
หู่พั่วรู้สึกว่าเนื้อตัวของเธอเหนียวเหนอะหนะ ไม่สบายตัว เห็นลั่วอิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จึงเอ่ยถามว่า “ลั่วอิงจ๊ะ หนูจะขึ้นไปกับฉันด้วยหรือเปล่า”
“คุณแม่โจวโจว หนูจะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเสี่ยวอวี่ตรงนี้ค่ะ” โอวหยางหงอุ้มเสี่ยวอวี่ไปที่โซฟา ส่วนลั่วอิงย่อตัวลงข้างๆ เขา หยอกล้อกับเสี่ยวอวี่พลางหันมาหาเธอ ทำท่าทางพิลึกพิลั่นใส่
วันรุ่งขึ้น ไฟล์ทบินที่ลั่วเซ่าเซินนั่งมาก็มาถึงประเทศ H เขามองท้องฟ้าตรงหน้าที่ดูแตกต่างออกไป ถ้าไม่มีถังโจวโจวอยู่ที่นี่ ด้วยสายตาของเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแตกต่างกันตรงไหน ท้องฟ้าผืนนี้มีอยู่ได้ก็เพราะการมีตัวตนของถังโจวโจว สำหรับลั่วเซ่าเซินจึงมีความหมายที่แตกต่างออกไป
“โจวโจว ผมมาแล้ว!” ลั่วเซ่าเซินออกมาจากสนามบิน ขึ้นนั่งบนรถแท็กซี่ บอกตำแหน่งที่ลั่วอิงปรากฏตัวกับคนขับ เขาจึงเตือนขึ้นว่า “สถานที่ที่คุณบอกรถแท็กซี่เข้าไปไม่ได้นะครับ ผมขับพาไปส่งได้แค่ปากทางเข้า จากนั้นคุณต้องเดินเข้าไปเอง”
“โอเคครับ ส่งผมลงตรงนั้นก็ได้ ที่เหลือผมจัดการเอง” ลั่วเซ่าเซินรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เท่าที่เขารู้มา แม่และพ่อเลี้ยงของถังโจวโจวอาศัยอยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่าทั้งสองจะมีลูกชายด้วยกันอีกคนด้วย
ส่วนเจ้าของตัวปราสาทลั่วเซ่าเซินยังสืบหาไม่พบ ที่สำคัญก็คือสิบกว่าปีมานี้กิจกรรมในสังคมของเขาไม่ใช่ธรรมดา บ่อยครั้งคนที่มีฐานะไม่สูงพอก็ไม่อาจเข้าพบได้
ไม่ต้องพูดถึงว่าประเทศ H มีประชากรอยู่เท่าไหร่ แค่ลั่วเซ่าเซินมาจากต่างถิ่นต่างแดน โอกาสที่จะได้เข้าพบก็ยิ่งน้อยลงไปแล้ว
รถแท็กซี่จอดที่ปากทางเข้า “พ่อหนุ่ม นี่คือทางเข้าปราสาทที่คุณพูดถึง ที่เหลือก็ต้องเดินเท้าเข้าไปแล้ว”
[1] Christian Louboutin เป็นชื่อแบรนด์ลิปสติกที่รูปทรงของผลิตภัณฑ์เป็นทรงกรวยเรียงเล็กที่ด้านล่างและด้านบนแผ่กว้าง