ตอนที่ 493 ช่วยเป็นตัวแทน / ตอนที่ 494 อารมณ์ดำดิ่ง

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 493 ช่วยเป็นตัวแทน

 

 

เหยียนเค่อมุ่งเป้าหมายไปที่เมือง N อย่างชัดเจน แต่สำหรับเฉิงซีนั้นชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจส่วนได้ส่วนเสียสักเท่าไหร่

 

 

แต่เขาต้องออกหน้าแทนสวีอันหราน ดังนั้นแน่นอนอยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางปล่อยให้สวีอันหรานว่างได้ “เรื่องที่เหลือที่เมือง N ฉันปล่อยให้เป็นหน้าที่นายล่ะกัน จะทำอย่างไรก็ตัดสินใจเอาเอง”

 

 

สวีอันหรานรู้สึกเหมือนโดนกลั่นแกล้ง มองไปยังเหยียนเค่อด้วยสายตาต่อต้าน ความจริงเหยียนเค่อก็แค่ยึดหลักใครทำอะไรไว้ก็ควรโดนอย่างนั้นบ้าง ดังนั้นในเมื่อเขายุ่งวุ่นวายอยู่ทางนี้ สวีอันหรานกลับไปก็อย่าได้หวังว่าจะได้ว่างสบายๆ

 

 

“เรื่องนี้เกิดขึ้นก็เพราะสวีรั่วชี มันควรเป็นนายที่ไปตามเก็บกวาดไม่ใช่หรือไง” เหยียนเค่อไม่พอใจกับท่าทางที่ดูโมโหของเพื่อน นี่สองสามีภรรยาคู่นี้เห็นว่าเขาเป็นลูกน้องตัวเองหรืออย่างไร

 

 

สวีอันหรานไม่รู้จะพูดอะไร หยิบกระเป๋าเดินทางส่งขึ้นไป เกรงว่าหากอยู่ต่ออีกนิดคงถูกเหยียนเค่อคิดบัญชีอีกแน่ “ถ้าอย่างนั้นฉันไปล่ะ ทางนี้ฝากนายด้วยแล้วกัน”

 

 

“ไม่ต้องห่วง” เหยียนเค่อเดินถอยหลังออกมา รอสวีอันหรานขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไป

 

 

สวีอันหรานโหนตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมหันมาโบกมือลา ท่าทางยิ้มน้อยๆยังคงเหมือนกับเมื่อก่อน เพียงแค่ตอนนี้ชายหนุ่มกลายเป็นพ่อคนไปแล้ว ในใจเหยียนเค่อรู้สึกแปลกๆ

 

 

ลมที่พัดตอนเฮลิคอปเตอร์บินขึ้นทำให้เหยียนเค่อต้องหันหลังเดินกลับทันที สวีอันหรานจึงมองเห็นแต่แผ่นหลังของเพื่อน

 

 

ตั้งแต่ช่วงวัยเยาว์จนถึงตอนนี้ พวกเขาก็อยู่ด้วยกันมาโดยตลอด ทำให้ไม่ได้สังเกตุว่าเวลามันผ่านไปรวดเร็วสักแค่ไหน แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าเวลามันช่างผ่านไปเร็วจริงๆด้วย ผ่านช่วงวัยที่ใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ้งเฟ้อ มีชื่อเสียงเงินทอง จนมาถึงช่วงชีวิตตอนนี้ที่เป็นอยู่อย่างสงบราบเรียบ พวกเขาแต่ละคนต่างก็เปลี่ยนไปมาก แต่ก็ล้วนแต่เปลี่ยนเป็นตามกันและกัน ดังนั้นถึงไม่ได้รู้สึกว่าตอนนี้พวกเขาใช้ชีวิตมาเกือบค่อนชีวิตแล้ว

 

 

ขณะที่เหยียนเค่อกำลังจะไปที่ตระกลูสวีก็ได้รับโทรศัพท์จากเสิ่นมั่วหลี อารมณ์ขุ่นเคืองของศาสตราจารย์เสิ่นมากกว่าสวีอันหรานมากนัก พอตื่นขึ้นมากลับพบว่าในบ้านไม่มีใครอยู่เลย

 

 

“ผมสั่งอาหารไว้ให้แล้ว คงจะกลับช่วงค่ำๆ” เหยียนเค่อรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ เขาปฏิบัติต่อเสิ่นมั่วหลีเหมือนที่เสิ่นมั่วหลีปฏิบัติต่อเขา ในใจเกิดความรู้สึกเห็นใจ ให้เขากลับไปทำกับข้าวเขาก็ยินดีทำ

 

 

เสิ่นมั่วหลีรับคำ แขนเสื้อตัวสูทตัวนอกกว้างเกินไปทำให้รู้สึกหนาว เขาจึงคว้าผ้าห่มมาคลุมไว้ “นายทำงานต่อเถอะ ฉันไม่กวนแล้ว”

 

 

“ครับ”

 

 

ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรต่อ แทบจะวางสายในเวลาเดียวกันด้วยซ้ำ เห็นแก่การที่เหยียนเค่อดูแลเอาใส่ใจเขาเป็นอย่างดี เสิ่นมั่วหลีคิดว่าบางทีตนควรจะช่วยเชียร์ชายหนุ่มให้กับซย่าเสี่ยวมั่วบ้างซะแล้ว

 

 

ผู้บริหารระดับสูงๆในบริษัทตระกูลสวีสาขาย่อยที่อยู่ที่เมืองจิงตูล้วนรู้จักชื่อเสียงของเหยียนเค่อเป็นอย่างดี เพียงแต่ยังไม่มีใครเคยพบบุคคลในตำนานผู้นี้

 

 

ที่จริงเหยียนเค่อแค่จะมาเป็นผู้ช่วยเฉยๆ สุดท้ายกลับโดนสวีอันหรานบังคับให้เข้าประชุม เพื่อที่จะให้พวกพนักงานมีโอกาสได้‘สำรวจ’ เขา…

 

 

ชายหนุ่มผลักประตูเข้าไปในห้องประชุม ทุกคนนั่งกันเกือบเต็มหมดแล้ว เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาคนที่กำลังซุบซิบกันอยู่ก็ต่างเงียบกันหมด

 

 

ทุกคนไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มไม่เพียงจะดูอายุน้อยกว่าประธานสวีแต่ยังหล่อกว่าอีกด้วย

 

 

มีประโยคหนึ่งเคยกล่าวว่าอย่างไรนะ สวรรค์ประทานรูปลักษณ์หน้าตามาให้ แต่เขากลับเลือกอาศัยความสามารถแทน

 

 

เหยียนเค่อวางเอกสารไว้บนโต๊ะ มองไปรอบๆห้องแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร ไม่ได้สนใจสายตาทุกคู่ที่มองมายังเขาสักนิด

 

 

คนที่เหลือต่างเลิกมองชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว แล้วเปิดอ่านเอกสารตรงหน้าตัวเอง รอชายหนุ่มเอ่ยปากพูด

 

 

เหยียนเค่อไม่รู้จะพูดอะไร พนักงานที่เหลือของสวีอันหรานมีไม่มากนัก ความจริงไม่จำเป็นต้องมีการประชุมเลยด้วยซ้ำ

 

 

“การประชุมวันนี้ได้รับเกียรติจากท่านประธานเหยียนจากบริษัทข้ามชาติ YAN มาเป็นผู้นำการปะชุม ขอเรียนเชิญประธานเหยียนกล่าวอะไรสักเล็กน้อยครับ”

 

 

เมื่อผู้ช่วยของสวีอันหรานกล่าวเปิดให้เสร็จ เหยียนเค่อก็กล่าวแนะนำตนเองสั้นๆ “ผมชื่อเหยียนเค่อ เราคงใช้เวลาด้วยกันไม่นาน พวกคุณไม่ต้องรู้จักผมก็ได้ ใครจะมองหรือเห็นว่าผมเป็นยังไงก็แต่แล้วพวกคุณผมไม่ห้ามความคิดใคร มีใครอยากจะพูดอะไรไหม”

 

 

ไม่ว่าจะเป็นการประชุมครั้งไหนของบริษัท YAN เหยียนเค่อก็ไม่เคยเสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระมากเท่าในครั้งนี้มาก่อน

 

 

ผู้ช่วยของสวีอันหรานที่ยืนอยู่ข้างๆเหยียนเค่อได้แต่ยืนตะลึง สิ่งที่ประธานเหยียนพูดมันต่างจากสิ่งที่ประธานสวีกำชับมาอย่างสิ้นเชิง

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 494 อารมณ์ดำดิ่ง

 

 

พนักงานต่างมองหน้ากัน ในใจรู้สึกคัดค้าน พูดออกไปจะมีประโยชน์อะไร…แต่ก็ไม่มีใครกล้าโต้ตอบออกไป ได้แต่นั่งอยู่นิ่งๆ

 

 

 พนักงานแต่ละคนบางคนก็มองหน้าเหยียนเค่อ บางคนก็เอาแต่ก้มหน้ามองเอกสาร เหยียนเค่อเห็นว่าทุกคนไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร จึงเริ่มเปิดเอกสาร เนื้อหาด้านในดูไม่มีอะไรที่เอาไปใช้ได้ ตนเองก็ไม่มีไรจะพูด ผู้ช่วยของสวีอันหรานมองเหยียนเค่อก็ถึงกับไปไม่เป็น ทั้งห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบ

 

 

พวกพนักงานไม่รู้ว่าเหยียนเค่อต้องการทำอะไร เห็นแต่เขายังคงนั่งนิ่งๆอยู่ที่เก้าอี้พวกเขาจึงทำได้แต่นั่งนิ่งๆตาม

 

 

เหยียนเค่อมองนาฬิกา เวลาผ่านไปประมาณสิบนาทีแล้วจึงลุกขึ้นยืน “ปิดประชุม” เดินหยิบแฟ้มเอกสารที่ยังไม่ได้แม้แต่เปิดออกเดินออกจากห้องประชุมไป

 

 

พอเหยียนเค่อเดินผ่านประตูออกไป ภายในห้องประชุมก็โกลาหลทันที ผู้ช่วยของสวีอันหรานรีบเดินตามชายหนุ่มออกไป ชายหนุ่มทำตามที่ประธานสวีกำชับมาแค่เรื่องเดียวเท่านั้นก็คือห้ามออกจากห้องประชุมก่อนสิบนาทีแรก ส่วนนอกนั้นไม่ได้ทำสักอย่าง เขาไม่รู้จะรายงานให้ประธานสวีฟังยังไงดี

 

 

“มีเอกสารอะไรที่ต้องให้ฉันจัดการให้เอาไปให้ที่ห้องทำงาน ห้ามส่งมาทางอีเมลล์” ชายหนุ่มไม่มีความสนใจในบริษัทเครือตระกูลสวี เขาเป็นเพียงคนนอก ถึงแม้ว่าสวีอันหรานจะไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังเขา แต่ว่าเรื่องแบบนี้มันเกี่ยวข้องกับความลับหลายอย่างของตระกูลสวี เขาเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง อีกอย่างพวกระดับผู้บริหารอาวุโสพวกนั้นก็ไม่ใช่ย่อยๆ

 

 

ผู้ช่วยของสวีอันหรานพยักหน้ารับคำ จากนั้นก็ขอตัวไปจัดการ ถ้าหลบได้เขาก็ควรหลบให้อยู่ห่างๆประธาน  เหยียน ประธานเหยียนช่างแตกต่างจากประธานสวี แค่เขายืนอยู่ใกล้ๆเฉยๆก็รู้สึกกดดันมากแล้ว

 

 

เหยียนเค่อเดินเข้าไปในห้องทำงานของสวีอันหราน การตกแต่งภายในล้วนเป็นโทนสีฟ้าและขาว ชายหนุ่มเข้ามาแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่ไสตล์ของเขาสักนิด จึงรู้สึกขัดหูขัดตา

 

 

บนโต๊ะทำงานมีรูปถ่ายของพวกเขารวมถึงรูปถ่ายคู่ของสวีอันหรานและสวีรั่วชีวางอยู่ มองดูแล้วคงวางอยู่หลายปีแล้ว เนื่องจากสีของภาพถ่ายมันดูเก่ามาก

 

 

เหยียนเค่อนั่งบนเก้าอี้ทำงานเคลียร์อีเมลล์ของตนเอง สำหรับเขาแล้วการออกจากบ้านเสิ่นมั่วหลีมาที่นี่ก็เหมือนแค่เป็นการย้ายสถานที่ทำงานของเขาเฉยๆ

 

 

เหยียนเค่อยังคงติดใจว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะยังคงโกรธเขาอยู่หรือเปล่า แต่ตอนนี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่พักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วนั้นแตกต่างจากเหยียนเค่อ ตอนนี้อารมณ์ของเธอยังไม่ดีขึ้นเลย น่าจะอยู่ในสภาวะอารมณ์ดำดิ่ง

 

 

“เธอคงไม่ได้จะเป็นโรคซึมเศร้าใช่ไหม” ด้วยอาชีพของสวีรั่วชี ทำให้เธออดคิดไม่ได้ เธอสังเกตได้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วไม่ปกติ

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วส่ายหน้า ไม่เอ่ยตอบอะไรยังคงเปลี่ยนรองเท้าต่อไป

 

 

“อย่างนั้นสรุปเธอเป็นอะไร เมื่อคืนเหยียนเค่อรังแกเธอใช่ไหม” สวีรั่วชีเดา

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วยังคงส่ายหน้า “ฉันไปทำงานก่อน เธอพักผ่อนอยู่บ้านนะ”

 

 

สวีรั่วชีเงยหน้ามองนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่ง ตั้งแต่รู้จักกันมาเธอยังไม่เคยเห็นซย่าเสี่ยวมั่วออกจากบ้านก่อนเวลาแปดโมงสี่สิบห้าเลย

 

 

“เธอแน่ใจนะ” สวีรั่วชีถามอย่างไม่มั่นใจ

 

 

แม้ว่าช่วงเวลานี้จะดูเช้าไปสำหรับซย่าเสี่ยวมั่ว แต่เธอมีธุระต้องทำจริงๆถึงได้ไปบริษัทตั้งแต่เช้า หญิงสาวไม่อยากให้สวีรั่วชีกังวล แต่เธอก็ไม่อยากพูดอธิบายอะไร จึงได้แต่บอกคร่าวๆ “ฉันไปปั่นงานต่อ เธอไม่ต้องเป็นห่วง”

 

 

ยิ่งหญิงสาวดูพูดรู้เรื่องสวีรั่วชียิ่งเป็นห่วง “ให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหม”

 

 

“ไม่ต้อง” ตอนนี้ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกอยากจะสะสางงานทุกอย่างให้เสร็จก่อนสิ้นปี แล้วพาตัวเองไปปลดปล่อยสักพัก ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องกลายเป็นบ้าจริงๆแน่ๆ

 

 

สวีรั่วชีรั้งซย่าเสี่ยวมั่วไว้ไม่ได้ ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรรั้งให้ซย่าเสี่ยวมั่วอยู่กับตนจึงทำได้แค่ปล่อยเพื่อนไปทำงาน