ข่าวดีของเหล่าหนิว
ปิดเทอมคราวนี้อวิ๋นเยี่ยปรึกษากับบรรดาผู้อาวุโสเรียบร้อยแล้ว เดิมทีอวิ๋นเยี่ยตั้งใจที่จะฝืนอดทนสวี่จิ้งจงสักระยะ เมื่อเขารู้สึกหมดสนุกก็จะจากไปเอง ใครจะรู้ว่าเพียงแค่พูดจบก็โดนหลี่กังสั่งสอนเป็นการใหญ่ บอกว่าคนเราเมื่ออยู่ในวงการราชการ ก็เห็นการได้คืบเอาศอกเป็นเรื่องปกติ แค่เจ้าเปิดช่องโหว่เพียงเล็กน้อย พวกเขาก็จะช่วยเจ้าขยายให้เป็นวงกว้าง ขอเพียงแค่มีผลประโยชน์ต่ออนาคตของเขา ไม่รีดนาทาเร้นสำนักศึกษาจนถึงที่สุดต้องไม่ยอมรามืออย่างแน่นอน พวกเขาไม่มองเรื่องความสำคัญในระยะยาว สนใจแต่เพียงผลประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้า ทุ่มเท ลงมือ รวดเร็ว จัดการ นี่คือเคล็ดลับสี่คำสำหรับการเลื่อนตำแหน่ง แม้จะอดทนต่อเรื่องที่ไม่สงบช่วงระยะหนึ่ง ก็ไม่ได้แปลว่าเรื่องราวจะสงบลง มีเพียงทำให้เขาไม่มีโอกาสได้อ้าปากพูดอะไร ทำให้เขาไม่สามารถแสดงความสามารถอันน่าสะพรึงกลัวออกมาได้เท่านั้นจึงจะเป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยม
อย่างไรเสียก็เป็นขุนนางถึงสองสมัย คำพูดยังฟังดูมีเหตุผลในเมื่อมีเหตุผลก็ต้องนำไปปฏิบัติ
สวี่จิ้งจงเพิ่งจะไปที่กรมพิธีการบันทึกข้อมูลเตรียมตัวมาสอนหนังสือที่สำนักศึกษา หลิวจิ้นเป่าก็รีบควบม้ากลับมารายงาน หัวหน้าใหญ่แห่งสำนักศึกษาผู้ไม่ประสงค์ดี มีคนรู้จักที่กรมพิธีการหลายคน อยากรู้ข่าวคราวเล็กน้อยก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ดังนั้นเมื่อรอให้สวี่จิ้งจงออกจากฉางอันแล้ว สำนักศึกษาก็เริ่มการหยุดฤดูร้อนประจำปีของทุกๆ ปีขึ้น
ได้รู้จากคนที่รู้เรื่องของเขาว่า ที่แท้แล้วหมอนี่อยู่ที่กรมโยธาธิการต่อไปไม่ได้แล้วจึงต้องการลี้ภัยมาอยู่ที่สำนักศึกษาและฉวยโอกาสทำความรู้จักกับเหล่าผู้นำตระกูลชนชั้นสูง เพื่อป้องกันเผื่อในอนาคตเกิดเรื่องอะไรขึ้น ช่างเป็นแผนการยิงนัดเดียวได้นกสองตัวที่วิเศษอะไรเช่นนี้ เพียงแต่เขาประเมินการป้องกันที่สำนักศึกษามีต่อเขาต่ำเกินไป เมื่อที่หนึ่งอยู่ไม่ได้ เมื่อเปลี่ยนสถานที่แล้วจะอยู่ได้อย่างนั้นหรือ
เขาทระนงตนเกินไป คิดว่าตนเองมากความสามารถด้วยความหลงระเริงลืมตัวจึงได้ล่วงเกินขุนนางสำคัญจำนวนมาก ได้ยินว่ามีคนต้องการจะเก็บเขาแต่บังเอิญว่าเขาต้องมาตรวจตราที่เขาอวี้ซัน จึงพบว่าสำนักศึกษาเหมาะแก่การใช้วางแผนการเพื่อวันข้างหน้า จึงไปขอให้หลี่ซื่อหมินอนุญาตให้เขามาสอนหนังสือที่สำนักศึกษา ไม่คิดว่าจะได้รับอนุญาตจริงๆ
ก็ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินแท้จริงแล้วคิดอย่างไร บางทีคงเป้าหมายจะวางหมากแฝงไว้กระมัง
อวิ๋นเยี่ยไม่อยากคิดและห้ามคิด หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลี่ซื่อหมินแล้ว สำนักศึกษาก็เป็นเพียงกำแพงเมืองบนหาดทราย และจะมลายหายสิ้นภายในชั่วพริบตา
จึงได้แต่รับมือสวี่จิ้งจง ห้ามพุ่งเป้าไปที่หลี่ซื่อหมิน นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมสำนักศึกษาจึงเลือกที่จะใช้ไม้อ่อนแต่ไม่เลือกประจันหน้ากับเขา
สำนักศึกษาที่เหมือนต้นแอปเปิลต้นใหญ่นี้ห้ามปล่อยให้หนอนอ้วนพีมากัดกินอย่างเด็ดขาด นี่คือสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยได้แอบตัดสินใจไว้แล้ว แม้ว่าจะต้องใช้แผนการที่ชั่วร้ายที่สุดกับเขาก็ตามที
เพียงแค่หนึ่งเดือนก็มากพอที่จะให้อวิ๋นเยี่ยลงมือได้แล้ว ฎีกาหนึ่งฉบับได้ถูกหลิวเซี่ยนที่อยู่ระหว่างวันหยุดนำกลับเมืองหลวง รอให้หลี่ซื่อหมินจัดการกับสวี่จิ้งจงด้วยตนเอง
สวี่จิ้งจงหาอวิ๋นเยี่ยไม่พบ หลี่กังก็เช่นกัน จึงได้แต่จำต้องพักอยู่ในบ้านที่สำนักศึกษาเตรียมไว้ให้รอการเปิดภาคเรียนใหม่อย่างหมดทางเลือก เขาเชื่อว่าด้วยความสามารถของเขา การจะจัดการกับสำนักศึกษาให้ได้นั้นขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น พวกอวิ๋นเยี่ยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
เขาไม่รู้เลยสักนิดว่า เพราะความรู้สึกหวาดระแวงที่มีต่อเขานี่จึงเป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเยี่ยรู้สึกอยากจะฆ่าคน
อวิ๋นเยี่ยก็เพียงแค่กินแมลงตัวอ้วนๆ เข้าไปหนึ่งตัว เมื่อรู้สึกขยะแขยงอาเจียนออกมาไม่กี่ครั้งก็ได้แล้ว
หลี่เคอรู้สึกว่าเขากินแมลงเข้าไปเป็นจำนวนมาก การก่อสร้างสำนักศึกษายังคงดำเนินต่อไป ในตอนแรกยังดำเนินไปอย่างราบรื่น เขามั่นใจมากว่าโครงงานทั้งหมดจะเสร็จก่อนฤดูหนาวที่จะมาถึง แต่ใครจะคิด หลังจากที่พ่อของเขาได้รู้ว่าการสร้างอาคารสำนักศึกษามีการใช้วัสดุใหม่จำนวนมากและเครื่องมือใหม่ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ก็ได้ส่งขุนนางของกรมโยธามาจำนวนนับไม่ถ้วนและสั่งให้เขาจะต้องสอนขุนนางระดับล่างเหล่านี้ให้ใช้วัสดุใหม่ให้เป็นให้ได้
“เสี่ยวเยี่ย ข้าไม่ต้องการใช้คนโง่เหล่านี้ ขณะที่อยู่ในสถานที่ก่อสร้างทำอะไรไม่เป็นยังพอว่า ยังไม่ยอมที่จะเรียนรู้อีก ต่างก็บอกว่าตัวเองเป็นขุนนางที่มีความชอบ พูดแค่ว่าการใช้หินสร้างบ้านจะทำให้บรรพบุรุษเสียหน้า” อย่างไรเสียหลี่เค่อก็เป็นเพียงเด็กชายอายุเพียงสิบสองปี โหดไม่ถึงที่สุด ตัดสินใจให้เด็ดขาดไม่ได้ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้คงต้องออกหน้าช่วยเขาแล้ว
“อย่างนั้นหรือ เรื่องนี้ข้าไม่สนใจ ข้าแค่ต้องการให้เหล่าอาจารย์ย้ายเข้าไปอยู่ได้ก่อนที่หิมะจะตกรอบแรก เจ้าจะสร้างออกมาเป็นอย่างไร เหล่าอาจารย์ก็ต้องอาศัยอยู่ในอาคารเช่นนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลังคาก็เป็นเรื่องของเจ้า เรื่องของเจ้า เจ้าก็ต้องจัดการกับมันเอง” หลังจากพูดจบแม้แต่หน้าที่ยู่ยี่ของหลี่เค่อก็ยังไม่มองแล้วหันหลังเดินจากไป
เป็นจริงดังคาด วันที่สอง หลี่เค่อแสดงแสนยานุภาพแล้ว เขาสั่งย้ายเจ้าหน้าที่แต่ละสายงานจำนวนสิบเอ็ดคน สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือการถูกปลดออกจากตำแหน่งและกลับบ้านเกิด ไม้พลองถูกยกขึ้นสูง ถลึงตาด้วยแววตาโกรธเคือง มองเจ้าหน้าที่เหล่านั้นที่กำลังสั่นเทาไปทั้งตัว หลี่เค่อจึงค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้น
ระยะนี้ทุกอย่างไม่เป็นที่น่าพอใจ ใช้ชีวิตแต่ละด้านด้วยความอึดอัด มีเพียงการได้เห็นหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นค่อยๆ เจริญรุ่งเรือง เริ่มอุดมสมบูรณ์และมีประชากรเพิ่มขึ้น ในใจของอวิ๋นเยี่ยจึงได้ค่อยรู้สึกดีขึ้นบ้าง เดิมตั้งใจไว้ว่าจะใช้ชีวิตคนรวยที่ร่ำรวย แต่สุดท้ายเพราะความต้องการส่วนตัวเพียงเล็กน้อยทำให้ต้องวุ่นวายไม่มีวันเป็นสุข
ต้นข้าวฟ่างในที่นาเพิ่งจะออกรวงอ่อน เมื่อมองไปที่ผืนนาที่เขียวอ่อนแต่ไกลๆ สีหน้าความทุกข์เศร้าของชาวบ้านค่อยๆ หายไป แม้แต่ผู้ลี้ภัยมาจากที่อื่นก็ไม่มีแววตาเศร้าโศกแล้ว เด็กๆ มีสุขภาพแข็งแรงเหมือนลูกวัว บรรดาหญิงที่ออกเรือนแล้วก็เก็บตัวอยู่ที่บ้านนับเหรียญทองแดงในมือของพวกนางทีละเหรียญๆ ทุกครั้งที่เพิ่มขึ้นหนึ่งเหรียญก็ดีใจขึ้นหนึ่งส่วน
นี่เป็นผลมาจากการทำงานหนักของฉันในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา อวิ๋นเยี่ยพูดกับตัวเองเช่นนี้
ความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองจึงเกิดขึ้น คิดๆ ดูที่หลายวันก่อนโกรธอย่างไม่มีสาเหตุก็รู้สึกตลกมาก ก็เพียงแค่หยวนไว่หลางเพียงคนเดียวก็ทำให้ฉันคิดอยากจะฆ่าคนได้ ชีวิตทั้งสองภพของตัวเองไม่เคยถูกเลือดคนเลย ตอนนี้กลับอยากฆ่าคนเป็นเรื่องที่โง่เพียงใดกัน ถึงแม้ว่าจะมีวิธีการที่ทำให้คนตายอย่างเงียบๆ จำนวนนับไม่ถ้วน แต่คุณก็ไม่ควรใช้เรื่อยเปื่อย เมื่อฆ่าคนแรกก็จะฆ่าคนที่สอง สมมติว่ามีเพียงค้อน เช่นนั้นวิธีเดียวที่จะใช้ในการแก้ปัญหาก็คือการทุบลงไป วิธีการนี้ช่างน่ากลัวนัก ฉินซีฮ่องเต้ก็ทำเช่นนี้ สุดท้ายก็คือจิตใจมุ่งสู่มุมมืด ถูกสิ่งชั่วร้ายครอบงำทำให้มองตัวตนเบื้องหน้าของตัวเองไม่ชัดเจน ภาพเบลอที่สะท้อนในกระจกทองเหลืองมองเห็นเพียงโครงร่างอยู่รางๆ ปีศาจที่อยู่ก้นบึ้งของหัวใจถูกปลดปล่อยออกมาและไม่สามารถสยบมันได้แล้ว
ซีถงเจ้าหนุ่มนี่ก็ยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าไปสืบถามได้ความชัดเจนหรือยัง ไม่รู้หรือว่าฉันอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับนักดาบพเนจรมากเพียงไหน รอให้เจ้ากลับมาตอบอยู่นะ
แท้ที่จริงแล้วจะมีสองคนโง่ที่เฉือนเนื้อที่ต้นขาของตัวเองแกล้มเหล้าหรือไม่ นักดาบพเนจรผู้กล้าหาญในบทกวีของหลี่ไป๋มีจริงหรือไม่กันแน่ ตอนนี้คนที่คล้ายคลึงที่สุดก็คือซีถงที่ดูโง่อย่างน่ารัก เห็นชายที่แต่งตัวเป็นนักดาบพเนจรอยู่เต็มท้องถนน
ในหัวเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย แต่ร่างกายกลับรู้สึกผ่อนคลาย มีความรู้สึกประเภทกระหยิ่มยิ้มย่อง
เฉียนทงยืนอยู่ด้านหลังของโหวเหยียมาโดยตลอด เห็นโหวเหยียยืนยิ้มตาหยีอยู่ในภวังค์ โดยรู้ว่านี่เป็นวิชาเลือกบังคับประจำวันของเขาและเป็นเวลาที่มีความสุขที่สุดของเขา จึงขัดจังหวะไม่ลงได้เพียงรออยู่ด้านหลังรอให้โหวเหยียตื่นขึ้นเอง
รอจนโหวเหยียถอนหายใจยาวๆ ก็รู้ว่าเขาสามารถพูดได้แล้ว
“โหวเหยีย หนิวโหวเหยียกลับมาแล้ว”
“อะไรนะ เจ้าบอกว่าหนิวโหวเหยียกลับเมืองหลวงแล้วหรือ ทำไมข้าไม่รู้” อวิ๋นเยี่ยมีความสุขเกินกว่าจะบรรยายได้ เขามีความรักและเคารพต่อหนิวจิ้นต๋าจากก้นบึ้งของหัวใจ สำหรับพฤติกรรมของเขาก็สอดคล้องกับความคิดของตาเฒ่า
จึงรีบกลับบ้าน เมื่อก้าวเข้าประตูก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสะใจของเหล่าหนิวทันที ความมืดมนในใจก็มลายหายสิ้นไปในพริบตา เหล่าหนิวและเหล่าเฉิงไม่อยู่ที่ อวิ๋นเยี่ยมักมีความรู้สึกว่าตัวเองต้องสู้รบอย่างโดดเดี่ยว ตอนนี้เขากลับมาแล้ว ความยากลำบากทั้งหมดดูเหมือนจะไม่หลงเหลืออยู่เลย เหล่าหนิวนั้นคงไว้ซึ่งความแข็งแกร่งดังเช่นเสาเทพค้ำยันมหาสมุทร
ซินเย่ว์กำลังคารวะเหล่าหนิวอยู่ ด้วยกิริยาขี้อายทำให้เหล่าหนิวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง หนิวฮูหยินที่อยู่ข้างๆ ได้หยิบปิ่นที่ประณีตออกมาและปักเฉียงๆ ไว้บนศีรษะของซินเย่ว์ จากนั้นดึงซินเย่ว์ที่เอาแต่ก้มศีรษะไม่พูดอะไรไปที่ลานด้านหลัง
“ข้าน้อยคารวะท่านลุงหนิว” คำพูดนั้นยังไม่ทันจบ เหล่าหนิวก็คว้าตัวอวิ๋นเยี่ยไว้ มองบนมองล่างพินิจพิเคราะห์อยู่พักหนึ่ง
“ไม่เลว สูงขึ้นอีกหน่อยแล้ว ทั้งยังหมั้นหมายแล้วด้วย ดีมาก หากเหล่าเฉิงรู้เข้าคงต้องมีความสุขมาก” แววตาของเหล่าหนิวเต็มไปด้วยความอบอุ่น
“ท่านไม่ได้ยกทัพไปที่อวิ๋นจงหรือ เหตุใดตอนนี้ได้กลับมา เดือนหน้าก็จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญแล้ว ท่านกลับเมืองหลวงคราวนี้ มีภารกิจสำคัญหรือ” อวิ๋นเยี่ยนึกถึงสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ จึงรีบถามวัตถุประสงค์ที่เหล่าหนิวกลับมา
“ยังไม่เก่งขนาดนั้น สงครามใหญ่ไม่ใช่ว่าคิดจะรบก็รบได้ มีสงครามใหญ่ครั้งใดบ้างที่ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนแล้วจึงค่อยเปิดศึกกัน คราวนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น เจ้าคิดว่าอยู่ในยุคสมัยจั้นกั๋วหรืออย่างไร การลอบจู่โจมเพียงครั้งเดียวก็จะสามารถชี้ผลแพ้ชนะได้หรือ การลอบจู่โจมต้องทำหลังจากสามารถตัดกำลังหลักของศัตรูได้แล้ว การโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่ารังแต่จะเป็นการสิ้นเปลืองกำลังอย่างไร้ประโยชน์เท่านั้น ศึกในตอนนี้ มีเพียงสิ่งเดียวคือดาบจริงหอกจริง ต้องใช้กำลังที่แท้จริงเท่านั้น”
สมองของเหล่าหนิวไม่เคยคิดอ้อมค้อม คราวนี้หลี่จิ้งอาศัยทหารม้าเพียงสามพันคนลอบจู่โจมกำหนดชัยชนะของการรบในครั้งนี้
“ที่กลับมาคราวนี้ จะมาตามเจ้ากลับไปแนวหน้า ชาวเผ่าทูเจวี๋ยเริ่มใช้กลยุทธ์ต่ำช้าโดยใช้โรคระบาด กฎเรื่องสุขอนามัยในกองทัพเจ้าเป็นคนกำหนด คิดว่าเจ้าน่าจะรู้วิธีว่าจะป้องกันอย่างไร หลี่จิ้ง หวังว่าเจ้าจะไปที่กองทัพเพื่อดูว่ามีวิธีที่ดีหรือไม่”
คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้มีโอกาสเข้าร่วมในสงครามใหญ่แห่งมั่วเป่ย เมื่อนึกถึงว่าจะได้ขี่ม้ากรำศึกไปทั่วทุ่งหญ้า อวิ๋นเยี่ยก็ตื่นเต้นดีใจจนตัวสั่น
“จะดีใจอะไรนักหนา เจ้าไม่มีส่วนในสนามรบหรอก เจ้าต้องเก็บตัวอยู่ด้านหลังในเขตคูเมือง คิดหาวิธียับยั้งโรคระบาดนั่นจึงจะเป็นสิ่งที่เจ้าต้องทำ” เหล่าหนิวดูถูกกำลังในการรบของอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก
“ชาวเผ่าทูเจวี๋ยก็เพียงแค่ใช้ลูกเล่นของชาวเผ่าซยงหนู ใช้ซากศพวัว ม้าและแพะที่ตายแล้วทำให้แหล่งต้นน้ำสกปรก ใช้สัตว์ที่เป็นโรคร้ายตายมาทำร้ายทหารต้าถังของพวกเราเท่านั้นเอง” อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างดูถูกความคิดเหลวไหลไม่เอาไหนพวกนี้ ตราบใดที่มีการบังคับใช้กฎด้านสุขอนามัยอย่างเคร่งครัดในกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้าย ของพวกนี้ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
“ฮึ อย่าเพิ่งได้ใจไป ฮั่วชวี่ปิ้งเองก็พลาดท่าอยู่ที่นั่น บนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ที่ใดมีแหล่งน้ำก็ตั้งค่ายที่นั่นนี่เป็นเรื่องปกติทั่วไป เจ้าหนุ่ม หากเจ้ามีความคิดเช่นนี้แล้วแนวหน้าไม่ต้องไปก็ได้”
“แน่นอนว่าข้าก็อยากจะเห็นกองทัพอาชาเหล็กของต้ากังสยบชาวทูเจวี๋ยได้อย่างไร เพียงแต่ในสำนักศึกษามีแมลงเหม็นเน่าอยู่หนึ่งตัว ต้องฆ่ามันให้ตายก่อนจึงจะวางใจไปที่ทุ่งหญ้าด้วยได้ มิฉะนั้น สิ่งที่ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจไปก็จะสูญเปล่า”
“เจ้าหมายถึงสวี่จิ้งจงล่ะสิ ฎีกาที่เจ้าถวายให้ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงไม่เห็นด้วย ดังนั้นข้าจึงขอให้ส่งสวี่จิ้งจงมาที่แนวหน้า ให้เจ้าหมอนี่อยู่ในกองทัพ ข้าจะดูว่าเขาจะเล่นลูกไม้อะไร ขอเพียงจับจุดอ่อนเขาได้ ก็จัดการในดาบเดียว ฝ่าบาทก็คงไม่รู้จะตรัสอะไรแล้ว” เหล่าหนิวพูดอย่างโหดเ**้ยม
ความดีใจในใจของอวิ๋นเยี่ยแทบจะพุ่งออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ คนที่ทำให้ตัวเองต้องกุมขมับเมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งของเหล่าหนิวแล้วจะจัดการได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ใช่แล้ว ตราบใดที่อยู่ในกองทัพ สวี่จิ้งจงก็เป็นเพียงมดตัวหนึ่งที่สามารถบี้ให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้
หวังว่าเขาจะไม่ทำอะไรที่เหลวไหล ทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่ในค่ายทหารกับตัวเองคอยช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บก็แล้วกัน หากมีความคิดเป็นอื่นตายไปก็สมควรแล้ว
เมื่อเขานึกถึงสวี่จิ้งจงคิดจะลี้ภัยจนต้องไปสนามรบ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกทุกข์ใจแทนพี่ชายคนนี้ คนคนนี้โชคร้ายมากมายเพียงใด จึงต้องพบจุดจบเช่นนี้