บทที่ 93 จับทุ่มลงพื้น โดย EnjoyBook
บทที่ 93 จับทุ่มลงพื้น
ครั้งนี้โจวเสี่ยวเม่ยกลับมาเพื่อช่วยซูต้าหลินส่งสารว่าเขาตั้งใจมาพบกับพ่อแม่ของหล่อน จากนั้นก็เป็นการหาฤกษ์ยามจัดงานแต่งงาน เป็นแบบนี้แล้วพวกเขาถึงจะแต่งงานได้
การแต่งงานในยุคนี้รวดเร็วอย่างมาก
เมื่อใดที่เห็นพ้องต้องใจร่วมกันทั้งสองฝ่าย พวกเขาก็สามารถจัดงานแต่งงานได้ในวันรุ่งขึ้น ทุกอย่างช่างง่ายดายเหลือเกิน
ต่อให้พวกเขาต้องการอะไรบางอย่างที่ซับซ้อนมากกว่านี้ มันก็ไม่มีปัญหา
หลินชิงเหอเตรียมตัวพร้อมสำหรับงานนี้แล้ว ขณะที่บ้านตระกูลโจวก็เตรียมแยกครอบครัวกันในเร็ว ๆ นี้
และเรื่องของโจวเสี่ยวเม่ยก็มาได้จังหวะเหมาะพอดี
ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวเลยตัดสินใจว่าจะรอจนกว่าจะจัดงานแต่งงานให้ลูกสาวคนเล็กเสร็จแล้วถึงค่อยแยกครอบครัวกัน
ซูต้าหลินมาที่หมู่บ้านนี้ในวันถัดมาพร้อมกับลุงและป้าของเขา พวกเขาต่างเตรียมสินสอดของหมั้นไว้พรั่งพร้อม มีทั้งน้ำตาล ขนมขบเคี้ยว และอื่น ๆ สรุปได้ว่าการพบปะครั้งนี้ช่างประจวบเหมาะแก่เวลาและมีความสำคัญ ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเขาคงไม่เตรียมของขวัญดี ๆ แบบนี้มาหรอก
แม้ท่านพ่อกับท่านแม่โจวจะรู้สึกว่าอาการติดอ่างของซูต้าหลินเป็นข้อด้อย แต่ทั้งสองก็รู้ตัวดีว่าถ้าหากไม่ใช่เพราะข้อด้อยเรื่องนี้ของเขาแล้ว ลูกสาวของพวกเขาจะได้แต่งงานกับครอบครัวนี้หรือ?
เขามีบ้านขนาด 40 ตารางเมตรพร้อมกับมีงานทำเป็นหลักแหล่ง เมื่อแต่งงานเข้าไปแล้วหล่อนก็จะกลายเป็นคุณนาย แถมทางครอบครัวฝั่งเจ้าบ่าวยังมีของขวัญแต่งงานชั้นยอดสี่อย่างมามอบให้อีก ซึ่งได้แก่วิทยุ จักรยาน จักรเย็บผ้า และนาฬิกา
พวกเขาไม่ต้องพูดอะไรมากเกี่ยวกับการแต่งงานของโจวเสี่ยวเม่ยเลย เงื่อนไขทุกอย่างถือว่าอยู่ในขั้นยอดเยี่ยมหมด
หลังซูต้าหลินกับคุณลุงคุณป้าของเขากลับไปแล้ว ท่านแม่โจวก็มีท่าทางยินดีปรีดา “ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมแม่เจ้าใหญ่ถึงบอกว่างานแต่งงานนี้จะยิ่งใหญ่ ผู้ชายที่แกจะแต่งงานด้วยถือว่าเป็นหนุ่มชั้นยอดจริง ๆ”
“แต่เสียดายที่เขาพูดติดอ่างไปหน่อย” ท่านพ่อโจวเอ่ย
“พูดติดอ่างแล้วมันจะเป็นอะไรล่ะ? เขาไม่ได้เป็นใบ้สักหน่อย ยิ่งกว่านั้นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตก็คือการทำงานหาเงิน ที่เหลือก็ไม่สำคัญแล้ว” ท่านแม่โจวแย้ง
ทั้งหมดทั้งมวลก็คืองานแต่งงานจะถูกจัดขึ้นในวันสิ้นเดือนนี้
แม้หลินชิงเหอจะเคยเห็นคนในยุคนี้จัดงานแต่งงานกันไวมากมาแล้ว แต่เธอก็ยังตกใจกับความเร็วในการจัดงานอยู่ดี
ขั้นต่อไปก็คือสินสอด
ในวันนั้นเองหลินชิงเหอก็กลับมาจากในอำเภอพร้อมกับผ้านวมใหม่เอี่ยมผืนหนึ่ง
เธอได้เตรียมฝ้ายไว้ล่วงหน้าและสั่งซื้อมันมาเรียบร้อยแล้ว แม้มันจะมีน้ำหนักเพียง 5 ชั่ง แต่มันก็เป็นผ้านวมใหม่คุณภาพดี
“ฉันจะให้ผ้านวมใหม่ผืนนี้กับเสี่ยวเม่ยเป็นสินสอดน่ะค่ะ แล้วฉันก็เตรียมสบู่สองก้อนนี้ไว้ให้หล่อนด้วย เมื่อถึงเวลานั้นก็ให้หล่อนรับไปด้วยกันนะคะ” หลินชิงเหออธิบายหลังปั่นจักรยานไปที่บ้านตระกูลโจวแล้วมอบผ้านวมกับสบู่ที่เธอหยิบออกมาจากในมิติให้กับท่านแม่โจว
“เธอไม่ต้องให้มากขนาดนี้ก็ได้” ท่านแม่โจวเอ่ย นางไม่คิดว่าเธอจะให้ของเนื่องในโอกาสแต่งงานหลายอย่างกับเสี่ยวเม่ย
เหลือบมองครู่เดียวก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ของราคาถูกเลย ไม่ว่าจะเป็นผ้านวมหรือสบู่สองก้อนนี้ พวกมันล้วนเป็นของคุณภาพดีเยี่ยม
“มันดูมากเกินไปหน่อยนะ” สะใภ้ใหญ่เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางไม่สบายใจเล็กน้อย
“เราจะเทียบกับแม่เจ้าใหญ่ได้อย่างไรคะ? ก็ดูสิคะว่าหล่อนมีชีวิตอยู่อย่างไรเมื่อเทียบกับพวกเรา?” สะใภ้รองเอ่ย
สะใภ้สามยังคงเงียบไม่พูดอะไร
หลินชิงเหอได้ยินแล้วจึงเหลือบมองสะใภ้รองด้วยสายตาเคร่งขรึม “ถ้าพี่มีอะไรอยากจะพูดก็พูดมาค่ะ อย่ามาอมพะนำไว้แบบนี้ ถ้าพี่มีความสามารถพอก็ขอให้สามีพี่ออกเงินให้พี่ใช้จ่ายสิคะ ถ้าพี่ไม่มีความสามารถก็จงหุบปากเงียบ ๆ ไปค่ะ”
สะใภ้รองหน้าชาไปทันที “สะใภ้สี่ เธอกล้าพูดแบบนี้ได้ยังไง!”
“ไม่ว่าฉันจะพูดยังไงมันก็ยังเป็นภาษาที่มนุษย์พูดกัน ซึ่งคนปากสุนัขบางคนไม่สามารถออกเสียงได้ถูกต้องและพูดไม่ได้แม้กระทั่งภาษามนุษย์น่ะค่ะ” หลินชิงเหอกวาดสายตาดูถูกใส่หล่อน
“เธอจะสู้ฉันเหรอ?” สะใภ้รองผลักอกเธอในทันที
เห็นชัดว่าสะใภ้รองชักหมดความอดทนกับหลินชิงเหอแล้ว
“คุณแม่ พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้สาม พวกคุณเห็นใช่ไหมคะ? ว่าเป็นพี่สะใภ้รองที่ลงมือกับฉันก่อน” พอพูดจบ หลินชิงเหอก็จับตัวสะใภ้รองเหวี่ยงข้ามบ่าทุ่มลงบนพื้นในทันที
โครม!
ผู้หญิงทุกคนในบ้านต่างตะลึงค้าง ไม่ใช่แค่พวกหล่อนเท่านั้น แม้แต่ท่านพ่อโจวที่กำลังสูบบุหรี่มวนใหญ่อยู่ก็ถึงกับอึ้ง
สีหน้าของท่านแม่โจวตะลึงงัน ขณะที่สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามต่างตื่นตกใจ
“โอ๊ย เจ็บชะมัดเลย สะใภ้สี่ เธอจะฆ่าฉันเหรอ!” สะใภ้รองนอนครางโอดโอยอยู่บนพื้น ส่งเสียงร้องคราวใดร่างกายก็ปวดแปลบขึ้นมาเมื่อนั้น หล่อนไม่อาจทำอะไรได้เลยแม้แต่จะลุกขึ้นด้วยตัวเอง
“ฉันเรียกพี่ว่าพี่สะใภ้รองนี่ก็ถือว่าไว้หน้ากันแล้วนะคะ แต่พี่ก็ยังระรานไม่เลิกงั้นเหรอ? พี่รู้ไหมว่าตัวพี่หนักแค่ไหน? พี่คิดว่าภรรยาของโจวชิงไป๋เป็นคนที่จะหาเรื่องด้วยยังไงก็ได้งั้นสิ?” หลินชิงเหอมองหล่อนด้วยท่าทีเหนือกว่า
หลังจากนั้นท่านแม่โจวก็ได้สติกลับมาและส่งเสียงร้องในทันที “เร็วเข้า มาพยุงสะใภ้รองขึ้นเร็ว”
สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามต่างคืนสติได้เช่นกัน พวกหล่อนจึงรีบไปประคองร่างสะใภ้รองขึ้น
“พาหล่อนไปพักที่ห้องนะ” ท่านแม่โจวเอ่ยสั่ง
สะใภ้ทั้งสองรับคำและประคองร่างสะใภ้รองกลับเข้าไปในห้อง
หลินชิงเหอเห็นแล้วก็ไม่สนใจ อย่าว่าแต่สะใภ้รองทนเธอมานานมากแล้วเลย เธอเองก็ทนสะใภ้รองมานานแล้วเหมือนกัน ครั้งนี้หล่อนถึงกับลงไม้ลงมือก่อน เธอยังจะสุภาพต่ออีกฝ่ายได้อีกงั้นเหรอ?
ดังนั้นเธอต้องลงมือเมื่อเห็นสมควร!
เมื่อสองสะใภ้กลับมา หลินชิงเหอก็พูดเรื่องเมื่อก่อนหน้านี้กับท่านแม่โจวและพวกหล่อนต่อ “คุณแม่คะ ของพวกนี้ฉันให้ไว้สำหรับงานแต่งของเสี่ยวเม่ยนะคะ ฉันจะทิ้งไว้ที่นี่ ส่วนพี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้สามไม่ต้องให้ของตามฉันแล้วนะคะ เสี่ยวเม่ยรู้ดีค่ะว่าแต่ละครอบครัวมีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร แค่ให้ความหวังดีกับหล่อนก็พอแล้ว เพราะฉันเคยเห็นบ้านใหม่ของเสี่ยวเม่ยมาแล้วน่ะค่ะว่าทุกอย่างมีพร้อมสมบูรณ์ดี สิ้นเดือนนี้ทุกคนก็จะมีความสุขที่ได้ส่งเสี่ยวเม่ยออกเรือนแล้ว อย่าขุ่นข้องหมองใจเพราะของขวัญแต่งงานชิ้นนี้กันเลยค่ะ”
หลังเอ่ยแบบนี้แล้ว หลินชิงเหอก็กลับบ้านไปอย่างอารมณ์ดีสุดขีด
“อะแฮ่ม สะใภ้รองยังสบายดีใช่ไหม?” หลังจากนั้นเอง ท่านแม่โจวก็หันมาถามสะใภ้ทั้งสอง
“ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ หล่อนแค่ปวดบ้าง” สะใภ้สามตอบ
สะใภ้ใหญ่พยักหน้าเช่นกัน สะใภ้รองสบายดีไม่มีปัญหา แต่ถูกจับฟาดพื้นแบบนั้นมันก็เจ็บอยู่เหมือนกัน
“ไปบอกสะใภ้รองให้ทำตัวดี ๆ ซะ เรื่องนี้หล่อนเป็นคนผิดตั้งแต่แรก หลายคนก็เห็นอยู่ว่าหล่อนหาเรื่องแม่เจ้าใหญ่ก่อน ไม่มีใครกล่าวหาหล่อนเลย” ท่านแม่โจวสั่ง
สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามมองหน้ากัน ในใจทั้งคู่ต่างคิดว่าต่อให้ก่อนหน้านี้ท่านแม่โจวจะไม่พอใจกับสะใภ้สี่ แต่นางก็ยังเข้าข้างสะใภ้สี่อยู่ดี
เมื่อออกมาจากห้องแล้ว สะใภ้ใหญ่ก็ถอนหายใจ “พี่ไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าแม่เจ้าใหญ่ต่อสู้เก่งขนาดนี้”
สะใภ้สามเองก็ขนลุกเกรียวจนถึงตอนนี้ “เหมือนกันค่ะ ฉันก็ไม่นึกว่าแม่ของเจ้าใหญ่จะแข็งแกร่งปานนี้”
การจับทุ่มข้ามบ่าตอนนั้นช่างลื่นไหลไม่สะดุด และสะใภ้สามก็รู้สึกว่าหลินชิงเหอสามารถจับสะใภ้รองทุ่มฟาดพื้นได้มากกว่าสองครั้งด้วย
นั่นหมายความว่าแม่ของเจ้าใหญ่สามารถต่อสู้ได้บ้าง
“ดูท่าแล้วหล่อนอาจจะเรียนรู้มาจากน้องเขยสี่ก็ได้นะคะ” สะใภ้สามแสดงความเห็น
“พี่ก็เดาว่าอย่างนั้น” สะใภ้ใหญ่กล่าวขณะรู้สึกดีใจที่ตัวเองไม่มีเรื่องบาดหมางร้ายแรงใด ๆ กับสะใภ้สี่
สะใภ้สามก็รู้สึกโชคดีเหมือนกันที่หล่อนมีความสัมพันธ์อันดีกับสะใภ้สี่
ขณะที่บรรดาสะใภ้ออกไปแล้ว ท่านแม่โจวก็มองหน้าสามี และเขาก็มองกลับมาหานาง
“สะใภ้สี่ไปเรียนวิชาต่อสู้นั่นมาจากอาสี่หรือเปล่านะ?” ท่านแม่โจวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยพึมพำ
ท่านพ่อโจวเดาว่าเป็นลูกชายคนเล็กที่สอนเธอ ท่านแม่โจวจึงเอ่ยขึ้นมา “จะว่าไปแล้ว ทำไมอาสี่ถึงสอนเรื่องแบบนี้ให้ภรรยากันนะ?”
“ผมว่าเป็นความคิดที่ดีนะ” ท่านพ่อโจวสูบบุหรี่ต่อและเอ่ยตอบ
หลังเจอบทเรียนคราวนี้แล้ว สะใภ้รองยังจะกล้าหาเรื่องสะใภ้สี่อีกหรือไม่?
แม้ท่านพ่อโจวจะไม่ได้ถามอะไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้ เขารู้สึกได้ว่าเรื่องในครั้งนี้คงจะเป็นขีดสุดความอดทนของสะใภ้ทั้งสองที่ในที่สุดมันก็ระเบิดออกมาหลังข่มกลั้นมานาน
ซึ่งใครแข็งแกร่งกว่าหรือใครอ่อนแอกว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
โอ้…มิติใหม่แห่งการฉะกันระหว่างนางเอกกับนางร้ายจริง ๆ ค่ะ ตบกันจิกหัวกันน่ะเหรอ ลืมไปได้เลย ต้องจับทุ่มลงพื้นเท่านั้น
ผู้แปลเองแปลตอนนี้ยังรู้สึกอึ้งไปพักใหญ่เลยค่ะ ไม่ยักรู้ว่านางเอกจะบู๊เป็นด้วย แต่ที่แน่ ๆ หลังจากนี้สะใภ้รองคงหลังเดี้ยงไม่กล้าหาเรื่องใครไปอีกนาน