ตอนที่ 497 ขอรับโทษ / ตอนที่ 498 บึ้งตึง

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 497 ขอรับโทษ

 

 

คำแนะนำพวกนี้ล้วนมาจากประสบการณ์ตรงของซย่าเสี่ยวมั่ว

 

 

เมื่อก่อนเธอเคยถูกสวีรั่วชีโกรธโดยไม่มีเหตุหลายครั้ง ซย่าเสี่ยวมั่วเป็นคนใจอ่อน แม้ไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกโกรธ แต่ถ้าบอกว่าเธอคือคนผิดเธอก็พร้อมจะขอโทษ แต่ถ้าบางครั้งสวีรั่วชีไร้เหตุผลมากเกินไป เธอก็จะไม่คุยด้วย สุดท้ายแล้วสวีรั่วชีก็จะเป็นฝ่ายเข้ามาหาเธอเองพร้อมกับถาม ‘เธอไม่รู้ว่าตัวเองผิดหรือไง’

 

 

โดยส่วนใหญ่ซย่าเสี่ยวมั่วจะส่ายหน้าอย่างใสซื่อ ‘ไม่รู้อ่ะ’ เมื่อสวีรั่วชีเห็นเธอเป็นแบบนี้หล่อนก็จะหายโกรธไปโดยปริยาย จากนั้นก็จะบอกให้เธอฟังว่าทำไมหล่อนถึงโกรธ แม้บางครั้งซย่าเสี่ยวมั่วจะไม่ได้รู้สึกว่าเธอทำผิด แต่เธอก็จะยอมปล่อยไปและคืนดีกัน มีหลายครั้งๆหากสวีรั่วชีกำลังโมโหมากๆแล้วเราไปยอมรับผิดขอโทษจะยิ่งทำให้หล่อนโมโหมากกว่าเดิม

 

 

สวีอันหรานทนทำหน้านิ่งๆใส่สวีรั่วชีไม่ได้ สำหรับเขาแล้วการที่ทำให้สวีรั่วชีโมโหเท่ากับเป็นการทรมานตัวเอง

 

 

“ขอบคุณมาก” แม้จะเอาไปใช้ไม่ได้ แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกขอบคุณที่ซย่าเสี่ยวมั่วพยายามช่วยคิดหาหนทาง

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วก็รู้ว่าวิธีของตนคงใช้ไม่ได้ผลกับสวีอันหราน จึงตอบรับตามมารยาท “ไม่เป็นไร ถ้ามีเรื่องอะไรอีกก็โทรมาหาฉันได้”

 

 

“ครับ” สวีอันหรานถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมียตัวเองก็คงต้องใช้วิธีของตัวเอง ถามคนอื่นไม่ได้เรื่องสักคน

 

 

ความจริงสิ่งที่ซย่าเสี่ยวมั่วพูดนั้นดูเหมือนจะไปจี้จุดสำคัญอยู่ ถ้าสวีอันหรานรู้ว่าเอาไปใช้แล้วได้ผล ไม่รู้ชายหนุ่มจะเสียดายจนร้องไห้ไหม

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่ววางโทรศัพท์ นั่งนิ่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

 

 

สวีรั่วชีโมโหยังมีสวีอันหรานมาคอยตามงอนง้อ ส่วนตนเองต้องโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวแม้แต่เพื่อนชายรู้ใจสักคนยังไม่มีเลย เธอนี่มันเป็นไอ้ขี้แพ้จริงๆ

 

 

เมื่อก่อนใช้เรียนวาดรูปไปด้วยกันกับเซียวอู๋อี้ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ใครจะคิดว่าตอนนี้จะมาพบกันในฐานะศัตรู

 

 

การพึ่งพาตัวเองนั้นดีที่สุดแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วรวบรวมสติ แล้วหันไปวาดรูปต่ออย่างตั้งใจ

 

 

เรื่องที่ เบลล์ทำผิด แม้จะตำหนิตัวเองไปหลายครั้งแล้ว แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจโทรหาเหยียนเค่อเพื่อขอรับโทษจะดีกว่า

 

 

เธอไม่เพียงเปิดเผยตัวเร็วไป แต่ยังทำให้ซย่าเสี่ยวมั่วเข้าใจผิดเรื่องเธอกับเหยียนเค่ออีก โทรไปขอรับโทษเองยังดูเหมือนจะไม่สาสมเลย

 

 

หญิงสาวรวบรวมความกล้าอยู่สักพัก ถ้าจะตาย ตายด้วยน้ำมือของชายหนุ่มหล่อก็ไม่มีอะไรต้องเสียดาย สุดท้ายก็ตัดสินใจกดโทรหาเหยียนเค่อ

 

 

ตอนนี้เหยียนเค่อถือได้ว่าอารมณ์ค่อนข้างดี กดรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงปกติ “ฮัลโหล”

 

 

เบลล์ไม่เคยตื่นเต้นเวลาคุยกับเหยียนเค่อเท่าครั้งนี้มาก่อน กลัวว่าชายหนุ่มจะโมโหจนจับเธอไปโยนทิ้งทะเลให้ปลากิน แต่ว่าก็ต้องควบคุมน้ำเสียงตนเองให้ปกติแล้วกล่าวทักทาย “”สวัสดีค่ะประธานเหยียน”

 

 

“โทรหาฉันมีเรื่องอะไร”

 

 

“วันนี้ตอนเช้า ซย่าเสี่ยวมั่วมาบริษัทแต่เช้า” สมองต้องประมวลผลคิดคำพูดอย่างรวดเร็ว กลัวว่าหากพูดผิดไปสักหน่อยคงจะตายแน่ๆ

 

 

“อืม” ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจที่วันนี้หล่อนดูใส่ใจโทรมารายงานพฤติกรรมของซย่าเสี่ยวมั่วให้เขาฟัง

 

 

“แล้วไงต่อ” เขาอดทนรอฟังประโยคต่อไป

 

 

จากนั้น ก็ไม่มีอะไรต่อแล้ว เบลล์คิดว่าตนเองชักแม้น้ำทั้งห้าไม่ได้แล้ว จึงพูดออกไปตรงๆ

 

 

“จากนั้น ฉันก็เจอกับเธอที่หน้าประตูบริษัท”

 

 

เหยียนเค่อขมวดคิ้วเล็กน้อย มีลางสังหรณ์ว่ามันไม่ใช่แค่นี้ จึงถามกลับไปอย่างเริ่มหงุดหงิด “ไม่ใช่แค่เจออย่างเดียวใช่ไหม” ถ้าแค่เจออย่างเดียวก็คงไม่โทรมาเล่าให้เขาฟังอย่างละเอียดแบบนี้

 

 

เจ้านาย ช่างเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมจริงๆ เบลล์หลับตาพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างปวดหัว “ซย่าเสี่ยวมั่วเข้าใจผิดเรื่องของเราสองคน”

 

 

“เธอกับฉันเป็นอะไรกันหรือไง” เหยียนเค่อเอ่ยอย่างเยือกเย็น น้ำเสียงเต็มไปด้วยอำนาจต่างจากน้ำเสียงเมื่อครู่

 

 

เบลล์ก็รู้ว่าปกติที่เธอแกล้งหยอกล้อชายหนุ่ม ชายหนุ่มไม่ได้ถือสา แต่ครั้งเธอไปแตะซย่าเสี่ยวมั่วซึ่งเป็นขีดความอดทนของชายหนุ่ม ถ้าเธอเป็นชายหนุ่มอาจทำยิ่งกว่านี้

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 498 บึ้งตึง

 

 

ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากให้คนที่ตนรักได้ยินข่าวของตนไปเกี่ยวพันกับผู้หญิงคนอื่น เหยียนเค่อเองก็เช่นเดียวกัน

 

 

ลำพังแค่เรื่องเขากับสวีอิ๋งอิ๋งก็แย่เต็มทนแล้ว ตอนนี้ดันมีเบลล์เพิ่มขึ้นมาอีก ชายหนุ่มคิดว่าชาติที่แล้วตนกับเหยียนเฟิงคงมีเวรกรรมต่อกัน ไม่อย่างนั้นผู้หญิงที่อยู่รอบตัวของเหยียนเฟิงคงไม่มาก่อความวุ่นวายให้กับซย่าเสี่ยวมั่ว

 

 

หลังจากที่เบลล์เล่าเรื่องที่คุยกับซย่าเสี่ยวมั่วทั้งหมดให้เหยียนเค่อฟังอย่างไม่ตกหล่นสักตัวอักษร ชายหนุ่มก็เอาแต่เงียบเบลล์รู้สึกผิด แต่ก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบตามชายหนุ่ม

 

 

ความจริงคำพูดที่เบลล์พูดก็ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่พอไปอยู่ในช่วงเวลานั้นเลยทำให้เข้าใจผิดได้ง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดร้ายแรงอะไร ต่างกับซย่าเสี่ยวมั่วที่พูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยคแต่กลับทำร้ายใจคนฟังได้เป็นอย่างดี

 

 

“ฉันรู้แล้ว ต่อไปไม่ต้องรายงานเรื่องของซย่าเสี่ยวมั่วให้ฉันฟังอีก” เราสองคนไม่ได้สนิทกัน มีแค่เขาที่คิดไปเองคนเดียวสินะ

 

 

เบลล์ไม่รู้ว่าเรื่องกลับกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร พอจะเอ่ยถามออกไปก็พบว่าชายหนุ่มวางสายไปแล้ว

 

 

สรุปมันเกิดอะไรขึ้น ไม่โกรธเธอสักนิด แต่กลายเป็นโกรธซย่าเสี่ยวมั่วแทน?เบลล์ไม่ได้รู้สึกโล่งใจกลับรู้สึกผิดมากกว่าเดิม ไปทำให้คนรักกันต้องแตกแยก หากทั้งคู่ต้องเลิกรากันไปจริงๆ เธอจะชดใช้ความผิดนี้เท่าไหร่ถึงจะสาสม

 

 

เหยียนเค่อรู้ตัวว่าน้ำเสียงที่ตนใช้โทรหาหญิงสาวเมื่อวานไม่ค่อยดีนัก ไม่รู้ว่าทำร้ายจิตใจหล่อนมากแค่ไหน แต่ซย่าเสี่ยวมั่วกลับไปบอกกับคนนอกอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่าไม่สนิทกับเขา เขาไม่คาดหวังให้หล่อนหึงหรือโมโห แต่ก็ไม่คิดว่าหล่อนจะไม่มีแม้แต่ปฏิกิริยาอะไรเลย นี่เขากำลังคาดหวังอะไรลมๆแล้งๆอยู่กันเนี่ย

 

 

เหยียนเค่อจมอยู่กับอารมณ์โมโหอยู่ครู่หนึ่ง จนทนไม่ไหวจริงๆ จู่ชายหนุ่มก็นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เจอซย่าเสี่ยวมั่วครั้งก่อนที่บนรถเมล์ ชายหนุ่มก็ไม่ได้ออกไปลองใช้ชีวิตแบบนั้นอีกเลย

 

 

เมื่อครู่เขาเพิ่งเหวี่ยงกุญแจรถไปที่โต๊ะ เมื่อคิดได้จึงหมุนตัวกลับไปหยิบ ชายหนุ่มไม่กล้ามากพอที่จะไปขึ้นเบียดบนรถไฟฟ้าดิน อีกอย่างจุดประสงค์ของการไปยืนเบียดบนรถไฟฟ้าใต้ดินครั้งนี้กับการยืนเบียดบนรถเมล์ครั้งที่แล้วมันต่างกัน เขาไม่อยากไปบังเอิญเจอซย่าเสี่ยวมั่วบนรถไฟฟ้าเลยสักนิด

 

 

“กำลังทำวิจัยอยู่หรือเปล่า”

 

 

เสิ่นมั่วหลีบอกที่อยู่ของตนหลังจากรับโทรศัพท์ของเหยียนเค่อ “ถ้านายว่างก็มาได้นะ” เขาเคยรับปากเหยียนเค่อว่าจะพามาดูศูนย์วิจัย แม้ศูนย์วิจัยจะถือเป็นเขตหวงห้ามแต่ก็สามารถพาคนเข้ามาดูงานได้

 

 

“ได้ ผมกำลังออกไป” ตอนนี้เหยียนเค่อเพียงแค่อยากหาอะไรทำเพื่อให้ลืมในสิ่งที่เบลล์พูด

 

 

เสิ่นมั่วหลีก็ไม่ได้กลัวว่าเหยียนเค่อจะมาสร้างความวุ่นวายให้ ชายหนุ่มถูกเสิ่นจิ้งเฉินทดสอบต่อหน้าเขามาหลายรอบแล้ว ซึ่งถ้าเทียบกับเสิ่นจิ้งเฉินแล้วชายหนุ่มดูน่าจะเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปมากกว่า

 

 

“ถึงแล้วบอกกแล้วกัน เดี๋ยวออกไปรับที่หน้าประตู”

 

 

เสิ่นมั่วหลีเปลี่ยนชุดในห้องเก็บเอกสารสำคัญ ถ้าเหยียนเค่อโทรมาช้ากว่านี้อีกหน่อย คงต้องรอเขาเลิกงานถึงจะรับสายได้

 

 

เพื่อนร่วมงานเห็นเสิ่นมั่วหลีเปลี่ยนชุดจากแล้วนั้นก็ถอดเปลี่ยนอีกจึงไม่เข้าใจ

 

 

“อาจารย์เสิ่นเปลี่ยนชุดทำไมครับ”

 

 

“ออกไปรับคน” เสิ่นมั่วหลีถอดถุงมือออกแล้วเก็บไว้ในล็อกเกอร์ตน

 

 

พนักงานที่อายุมากกว่าเสิ่นมั่วหลีแต่กลับเรียกชายหนุ่มอย่างไม่ตะขิดตะขวงว่าอาจารย์เอ่ยแซวขึ้น

 

 

“อาจารย์ออกไปรับแฟนหรอ”

 

 

เสิ่นมั่วหลีแสยะมุมปาก ไม่เอ่ยอะไร เดินผ่านสายตาสอดรู้สอดเห็นของพนักงานออกไปรับเหยียนเค่อ

 

 

เลขาของสวีอันหรานมาหาเหยียยนเค่อเซ็นเอกสาร แต่เคาะประตูเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ นึกว่าประธานเหยียนเป็นอะไรไป แต่พอเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องทำงานไม่มีคนอยู่สักคน เก้าอี้ที่ควรมีคนนั่งอยู่ก็ว่างเปล่า เขาปิดประตูแล้วเดินออกไปเงียบๆ ถ้าไม่ใช่ประธานสวีเป็นคนลากตัวมาเองเขาคงคิดว่านี่เป็นคนอื่นที่แอบสวมรอยเป็นประธานเหยียนแน่ๆ