“นี่เจ้ายังไม่เข้ามาช่วยข้าอีกหรอ?”

 

หวังเฟิงมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันทีเมื่อเขาเห็นความเสียใจบนหน้าของจ้าวเสี่ยวหยา และยื่นมือออกมาอย่างเย้ยหยัน

 

อย่างไรก็ตาม จ้าวเสี่ยวหยาอารมณ์ไม่ดีจริงๆ หลังจากที่เห็นหน้าของหวังเฟิง เธอก็ถูกครอบงำด้วยความโกรธแล้วส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชาในขณะที่หันหลังเดินหนีไป และหายไปจากสายตาของหวังเฟิงในเวลาไม่นาน

 

เมื่อเห็นภาพนี้ความปั่นป่วนก็แสดงออกมาทางสีหน้าของหวังเฟิง เขาออกไปจากสำนักเทียนหยุนมาได้พักนึงและคนของสำนักเทียนหยุนก็เริ่มแสดงความเคารพกับเขาน้อยลง

 

‘ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะลืมความยิ่งใหญ่ของข้าไปแล้วสินะ!’

 

ในตอนที่หวังเฟิงเริ่มใช้สมองคิดหาวิธีก่อเรื่องวุ่นวาย เหรียญสื่อสารในแขนของเขาก็สั่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขารู้สึกได้ถึงมันแล้วหยิบออกมาในทันที ในตอนนั้นเองเขาก็ได้เห็นออร่าแผ่ออกมาจากเหรียญและก่อตัวขึ้นเป็นตัวอักษร

 

“จงไปตรวจสอบว่าที่ผู้สืบทอดคนใหม่ของสำนักเทียนหยุน เฉินเฉิน”

 

พอเห็นประโยคนี้ ดวงตาของหวังเฟิงก็เปล่งประกายด้วยความประหลาดใจ เขาไปอยู่ในโลกมนุษย์มาพักนึงดังนั้นเขาจึงไม่รู้เลยว่าสำนักเทียนหยุนมีผู้สืบทอดแล้ว!

 

 

ในอีกด้านนึง หลังจากที่จ้าวเสี่ยวหยาออกไปจากสวนของยอดเขาหลัก เสียงของเซี่ยวอู่โยวก็ดังก้องเข้ามาในหูของเฉินเฉิน

 

“ศิษย์เอ๋ย มาที่ตำหนักหลักซะ”

 

พอได้ยินเช่นนี้ เฉินเฉินก็ไม่มีทางเลือกนอกจากรีบไปที่ตำหนักหลักของเจ้าสำนัก

 

“ท่านอาจารย์ มีเหตุอะไรถึงเรียกข้ามาหรอครับ? ท่านอยากมอบหินวิญญาณให้ข้าขนาดนั้นเลยหรอ?”

 

ในขณะที่มองเซี่ยวอู่โยวที่กำลังยืนอยู่ เฉินเฉินก็พูดติดตลก

 

ซึ่งเขาก็ต้องประหลาดใจ เซี่ยวอู่โยวโยนกระเป๋าเก็บของมาให้เขาโดยไม่พูดอะไร หลังจากได้รับมันมาแล้ว เฉินเฉินก็เริ่มตรวจสอบมันแล้วตระหนักได้ว่ามีหินวิญญาณ 1,000 ก้อนอยู่ข้างในจริงๆ

 

“ข้ารับไม่ได้หรอกครับ….” เฉินเฉินพูดด้วยความเกรงใจ

 

เซี่ยวอู่โยวสะบัดมือเพราะเขาไม่อยากจะสนใจคำพูดของเขา ‘เจ้าเด็กนี่พูดเหมือนเกรงใจแต่กลับแบกกระเป๋าเอาไว้ที่แขนของเขาแล้ว’

 

“พอเถอะ เจ้าไม่ต้องสุภาพกับข้าก็ได้ ช่วงนี้เจ้าจงอยู่ในสวนของยอดเขาหลักเพื่อทำการฝึกตนซะ เจ้าอย่าออกไปที่ไหนเลยจะดีที่สุด”

 

“ได้ครับ” เฉินเฉินตอบ

 

“เจ้าจะไม่ถามหรอว่าทำไม?”

 

“ท่านอาจารย์ต้องมีเหตุผลของท่านอยู่แล้วครับ”

 

เมื่อได้ฟังคำตอบของเฉินเฉิน เซี่ยวอู่โยวก็ยิ้มอย่างพอใจแล้วคิดในใจ ‘เจ้าศิษย์คนนี้มีวาทศิลป์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าข้าอีกหล่ะมั้ง’

 

“จริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ก็แค่สำนักอู๋ซินได้ทิ้งสายลับเอาไว้ในสำนักเทียนหยุน จากการคาดเดาของข้า เขาคงจะทำการสืบค้นคุณสมบัติและต้นกำเนิดของเจ้า เจ้าไม่ไปยุ่งกับเขาจะดีกว่า สนใจแต่การฝึกตนตามที่ข้าบอกเถอะ”

 

เมื่อได้ฟังคำพูดของเซี่ยวอู่โยว เฉินเฉินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

พวกเขาเป็นหนึ่งใน 36 สำนักของรัฐจินกันทั้งคู่ แต่อู๋ซินกลับส่งสายลับเข้ามาในสำนักเทียนหยุน ดูเหมือนว่าความขัดแย้งระหว่างสำนักในรัฐจินจะหนักข้อกว่าที่ฉันจินตนาการเอาไว้เยอะเลยสินะ

 

“ไม่ต้องห่วงครับอาจารย์ ตอนนี้ข้าสามารถควบคุมการดูดซับและการปลดปล่อยพลังปราณได้อย่างสบายแล้ว แม้กระทั่งผู้อาวุโสที่อยู่ขั้นสร้างรากฐานก็อาจจะไม่สามารถบอกระดับพลังของข้าได้ ถ้าข้าแค่อยู่ห่างจากเขา เขาก็จะยอมถอดใจไปเองใช่ไหมครับ?”

 

เซี่ยวอู่โยวส่ายหัวหลังจากได้ฟังคำถามของเฉินเฉินแล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “เขาเป็นพวกไม่เอาไหนและดีแต่เที่ยวสนุกไปวันๆ เขาไม่สามารถอยู่ในสำนักเทียนหยุนได้นานนักหรอก อีกไม่นานเขาก็จะกลับไปที่โลกมนุษย์อีกครั้ง”

 

แม้ว่าเซี่ยวอู่โยวจะพูดเช่นนั้น แต่สีหน้าของเฉินเฉินยังคงจริงจังยิ่งขึ้นอีก

 

‘อาจารย์กำลังสื่อว่าถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าสำนัก เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ยกเว้นแต่รอให้เขาออกไปเองหรอ?’

 

‘สำนักอู๋ซินแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรอ? พวกเขาส่งไอ้ขี้แพ้มาที่นี่แต่เจ้าสำนักก็ยังไม่กล้าแตะต้องเขาเลยเนี่ยนะ?’

 

ด้วยการมองเพียงปาดเดียว เซี่ยวอู่โยวก็เข้าใจความคิดของเฉินเฉินในทันที จากนั้นเขาก็หัวเราะคิกคักแล้วพูด “ถ้าเจ้าทำอะไรที่เป็นอันตรายกับเขาจริงๆ สำนักอู๋ซินจะไม่ต่อสู้กับสำนักเทียนหยุนในทันทีหรอก แต่ในตอนที่เวลามาถึงและพวกเราต้องสู้กับสำนักมาร ความสูญเสียทางฝั่งเราจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้พวกเรายังต้องส่งทรัพยากรให้มากกว่าปกติด้วย ก็แค่เพราะมันไม่คุ้มที่จะต้องทำอะไรถึงขนาดนั้นโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย”

 

“เข้าใจแล้วครับ” เฉินเฉินตอบอย่างจริงจัง

 

อย่างไรก็ตาม เขาได้ขึ้นบัญชีสำนักอู๋ซินเอาไว้ในใจแล้ว

 

มันคือสำนักที่เอาเปรียบสำนักของเขา เขาสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะทำให้พวกเขาต้องชดใช้สำหรับทุกอย่างที่พวกเขาทำไปในไม่ช้าก็เร็ว!

 

 

ที่ตีนเขาของยอดเขาหลัก หวังเฟิงได้เดินทางมาถึงภูเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่ก่อนที่เขาจะได้เดินเข้าไป เขาก็ถูกชายแก่คนนึงที่กำลังกวาดพื้นอยู่ตีนเขาขวางเอาไว้

 

“ตาแก่ ข้าอยากจะขึ้นเขาไปพบผู้สืบทอดของเจ้า หลีกทางไปซะ”

 

หวังเฟิงมองคนที่เข้ามาขวางทางเขาแล้วสบถในทันที

 

“ผู้สืบทอดอยู่ในระหว่างการเก็บตัวฝึกฝนอยู่ครับ เขาจะไม่ออกมาเจอใคร” ชายแก่พูดอย่างใจเย็นด้วยดวงตาที่หลับอยู่

 

“ไร้สาระ อยู่แค่ขั้นฝึกพลังปราณเก็บตัวไปจะได้อะไร? หรือเจ้าคิดว่าข้าซึ่งเป็นศิษย์แลกเปลี่ยนจากสำนักอู๋ซินไม่มีค่าพอให้ไปเจอผู้สืบทอดของเจ้า?”

 

ใบหน้าของหวังเฟิงเดือนดาลด้วยความโกรธ เขามาที่นี่เพื่อทำเรื่องสำคัญและไม่ได้เตรียมใจมาเจอสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ อย่างไรก็ตาม การไม่ยอมทำตามและให้ความร่วมมือของสำนักเทียนหยุนนั้นทำให้เขาคิดว่าพวกเขาหยิ่งยโสขึ้นกว่าเมื่อก่อน

 

ชายแก่ยังคงนิ่งอยู่ เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรเลย

 

ซึ่งนี่ทำให้ใบหน้าของหวังเฟิงขุ่นมัวและเต็มไปด้วยความโกรธในทันที เขารู้ระดับการฝึกตนของชายแก่คนนี้ดีและรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะใช้กำลังฝ่าเข้าไป

 

“เจ้าจะไม่ให้ข้าได้ไปเจอผู้สืบทอดจริงๆหรอ?”

 

“ท่านผู้สืบทอดอยู่ในระหว่างการเก็บตัวและจะไม่ออกมาในเร็วๆนี้ครับ”

 

“ถ้างั้นก็ได้ เอาหินวิญญาณมาให้ข้า 100 ก้อนสิแล้วข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลย” หวังเฟิงแบมือออกมาต่อหน้าชายแก่

 

ครู่ต่อมา หินวิญญาณมากมายก็ถูกนำมาวางในมือของเขา

 

หลังจากได้รับหินวิญญาณแล้ว หวังเฟิงก็หันหลังกลับแล้วจากไปโดยไม่พูดอะไร มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารับสินบนใคร และชายแก่ก็ได้ทำความเข้าใจบางอย่างกับเขาไปโดยปริยาย

 

เขาไม่ได้ภัคดีต่อสำนักอู๋ซินขนาดนั้นและเป้าหมายหลักของเขาก็คือการหาประโยชน์ให้ตัวเอง

 

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เดิน เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

 

วันนี้ชายแก่ว่าง่ายเกินไป ในอดีตนั้น เขามักจะมีท่าทีลังเลก่อน

 

‘หรือว่าจะมีเรื่องเหม็นคาวบางอย่างเกี่ยวกับผู้สืบทอดคนนี้จริงๆ?’

 

หลังจากที่คิดถึงมัน หวังเฟิงก็จมอยู่ในความคิด และในที่สุดก็อดหัวเราะลั่นออกมาไม่ได้

 

อันที่จริง เขากลัวว่าสำนักเทียนหยุนจะทำตัวดีเกินไปเพราะนั่นจะทำให้เขาไม่มีอะไรทำ

 

ถ้าพวกเขาไม่เชื่อฟัง เขาก็จะสามารถหาผลประโยชน์เพิ่มเติมจากมันได้

 

ในขณะที่คิดเกี่ยวกับมัน หวังเฟิงก็อดนึกถึงร่างกายที่งดงามของจ้าวเสี่ยวหยาไม่ได้ เมื่อเทียบกับผู้หญิงในโลกมนุษย์ เซียนหญิงอย่างจ้าวเสี่ยวหยานั้นมีเสน่ห์กว่ามาก

 

“นังสารเลว! ถึงจะไม่มีหลักฐานเล่นงานสำนักเทียนหยุนข้าก็ไม่สนหรอก แต่ตอนนี้ข้าหมายตาเจ้าแล้ว เจ้าก็ยังกล้าแสดงท่าทีเย่อหยิ่งแบบนั้นกับข้า! หึ! คอยดูให้ดีเถอะว่าข้าจะจัดการกับเจ้ายังไง!”

 

หลังจากที่สบถออกมา หวังเฟิงก็เริ่มเดินตรงไปทางยอดเขาดาบสวรรค์ของสำนักภายใน

 

เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปที่ยอดเขาหลัก แต่ถ้าเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปที่ยอดเขาดาบสวรรค์ด้วย มันก็คงจะเกินไปแล้ว

 

โดยที่ถูกครอบงำด้วยความโกรธ หวังเฟิงก็เร่งฝีเท้าของเขา อย่างไรก็ตาม หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็เจอกับศิษย์หญิงกลุ่มนึง พวกเธอทุกคนนั้นมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์สำหรับเขา

 

“นักพวกศิษย์ใหม่ของปีนี้หรอ? น่าเสียดายที่มีแต่พวกขี้เหร่”

 

หวังเฟิงขมวดคิ้วในขณะที่เขาเดินผ่านศิษย์หญิงกลุ่มนี้

 

ถึงแม้ว่าเขาจะหื่นกาม แต่เขาก็ยังเลือกผู้หญิง

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็เปลี่ยนใจแล้วตัดสินใจมุ่งหน้าไปที่ยอดเขาเทียนฉินซึ่งเป็นที่อยู่ของศิษย์ภายนอกแทน

 

เมื่อเทียบกับศิษย์ภายใน ศิษย์ภายนอกนั้นรังแกได้ง่ายกว่ามาก โดยเฉพาะพวกที่พึ่งเข้ามาใหม่

 

ด้วยความคิดที่ว่าอาจจะมีสาวหน้าตาน่ารักอยู่ในกลุ่มศิษย์ใหม่ เขาจึงตัดสินใจว่าจะต้องไปดูให้ได้

 

ความคิดนี้ทำให้เขายิ้มกว้าง ก่อนที่เขาจะมาสำนักเทียนหยุนนั้น เขาได้ถูกสั่งมาว่าให้ก่อปัญหาได้ตามใจชอบเลย เพื่อทำลายความสงบเรียบร้อยของสำนักเทียนหยุนและขัดขวางการพัฒนาของพวกเขา

 

ดังนั้น ถ้าให้สรุปง่ายๆ เขานั้นถูกสั่งให้มาสร้างปัญหา!