ตอนที่ 7 ลงมือ โดย Ink Stone_Fantasy
จอมมารมองดูภารกิจแถวนี้แล้วมุมปากก็ยกยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มของเขาทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ของวังทวีสูญที่อยู่รอบๆ รู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง
“ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ” จอมมารกระซิบเสียงเบา “จักรวาลแรกเริ่มของพวกเรา ในที่สุดหลังจากพวกเราก็มีเจ้าเด็กที่ดูเหมือนจะไม่เลวออกมาสักคนเสียที แต่เขาถึงกับวิ่งมาถึงโลกทิพย์กิเลนบูรพานี่เลยทีเดียว”
“ถึงแม้ว่าจะไกลสักหน่อย รีบเร่งไปก็ยังวุ่นวายอยู่บ้าง แต่ว่าข้าเองก็มิได้ออกไปเดินเล่นนานพอดูแล้วเหมือนกัน ออกไปเดินเล่นสักครา สังหารให้ดีสักรอบ ระหว่างนี้ก็ไปดูสหายตัวน้อยจากบ้านเกิดของข้าผู้นี้สักหน่อย”
จอมมารครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วก็ตอบรับภารกิจ
ข้อมูลเกี่ยวกับภารกิจแถวนั้นที่เดิมทีปรากฏอยู่บนกำแพงแก้วผลึกก็หายวับไปในทันใด พลังยุทธ์ของจอมมารย่อมมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับภารกิจนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนที่เยาว์วัยที่สุดคนหนึ่งในวังทวีสูญ ทว่าพลังยุทธ์ก็มิได้ด้อยไปกว่าขั้นอลวนที่บำเพ็ญมาเป็นระยะเวลานานปีเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย และชื่อเสียงของเขาก็เป็นที่เลื่องลืออีกด้วย!
พรึ่บ จอมมารหมุนกายแล้วก้าวจากไปในทันใด ทำให้ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ค่อยผ่อนลมหายใจได้
******
ณ ดินแดนจอมละโมบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญอยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าจะหยั่งรู้ในระบบผู้ท่องอากาศ วิถีระลอกคลื่น และวิถีโลกเทียม ทว่าจิตใจส่วนใหญ่ของเขาก็ยังอยู่บนสิบสามกระบี่ผลาญโลกาแห่งวิถีเข่นฆ่า ถึงอย่างไรหากพูดว่าระบบผู้ท่องอากาศสามารถทำให้เขามีร่างกายที่น่าหวาดเกรงและมีเกราะพลที่มีพลังโจมตีอันแข็งแกร่ง เช่นนั้นสิบสามกระบี่ผลาญโลกาก็คือการใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ระดับสุดยอด อีกทั้งความเร้นลับของกฎเกณฑ์ยังมีสถานที่ที่ร้ายกาจเป็นที่สุดอยู่แห่งหนึ่งด้วย… เมื่อหยั่งรู้แล้ว ร่างแปรก็จะสามารถสำแดงได้เช่นกัน
“หืม” ร่างแปรตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำกำลังฝึกฝนวิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาอยู่ที่ส่วนลึกของทะเลทรายผืนหนึ่ง ถึงแม้ว่าฝีมือที่ซ่อนเร้นเอาไว้ของเขาจะสูงส่งเป็นที่สุด แต่เมื่อฝึกฝนเคล็ดวิชา ถ้าหากศัตรูกำลังตรวจหาอย่างเอาจริงเอาจังก็ยังสามารถค้นพบได้อย่างง่ายดายยิ่ง ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้อาศัยร่างแปรฝึกวิชาจากที่ห่างไกล มิอาจเปิดเผยร่างจริงได้
“ข้าล่องลอยอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่านอยู่กว่าห้าสิบล้านปี เดิมที่ก็หยั่งรู้เป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว มีเพียงอุปสรรคบางอย่างที่ไม่สามารถรับรู้ได้จริงๆ เท่านั้น ข้าประมือกับบรรดาชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านั้นเพียงไม่กี่ครั้ง กระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาของข้าก็บรรลุตามๆ กันมา ตอนนี้เมื่อคิดทบทวนถึงการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ก็ยังถือว่าบรรลุไปอย่างใหญ่หลวงทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดี “ตอนนี้เมื่อข้าแทงหอกออกไปคราหนึ่ง แต่ก็สามารถควบคุมได้ถึงสามสิบห้ารูแล้ว”
อันที่จริงแล้วธรรมดายิ่งนัก
การปลีกวิเวกเพื่อบำเพ็ญเป็นเวลายาวนานก่อนหน้านี้ เดิมทีก็ตระหนักรู้วิชา ‘กระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา’ ไปถึงระดับขั้นสูงสุดแล้ว เหลือเคล็ดวิชาเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้นที่ต้องการการต่อสู้จริงเพื่อยืนยัน!
……
กาลเวลาเคลื่อนผ่านไป
ณ เมืองแห่งหนึ่งในดินแดนจอมละโมบ ภายในลานบ้านของช่างตีเหล็ก ชายหนุ่มหน้าตาเย็นชาคนหนึ่งกำลังถือค้อนใหญ่ตีใบมีด ทันใดนั้นพละกำลังอันไร้รูปร่างก็เคลื่อนทะลุเข้าไปภายในร่างของชายหนุ่ม ผนึกดวงวิญญาณของเขาเอาไว้ เขานึกอยากจะฆ่าตัวตายก็ไม่สามารถทำได้
ร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะท้านเล็กน้อยแล้ววางค้อนใหญ่ในมือลงเบาๆ
“เทพโลกาตงเย่” ทันใดนั้นชายชราอาภรณ์สีเทาผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นภายในลานบ้าน น้ำเสียงของเขาแหบพร่า “นายท่านเลือกเจ้า”
หนุ่มช่างตีเหล็กหมุนกายมองไปทางชายชราอาภรณ์สีเทาอย่างเงียบสงบ อารมณ์บนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เลือกข้าหรือ เลือกข้าเป็นอาหารหรืออย่างไร”
“ใช่” ชายชราอาภรณ์สีเทาเอ่ยเสียงต่ำ
“ฮ่าฮ่าฮ่า อาหาร อาหาร” หนุ่มช่างตีเหล็กยิ้มอย่างวิปลาส ผิวดินโดยรอบต่างก็สั่นสะเทือน เครื่องไม้เครื่องมือชิ้นแล้วชิ้นเล่าต่างก็ลอยละลิ่วขึ้นมาแล้วระเบิดเสียงดัง ปัง ปัง ปัง แต่ต่อให้เป็นพลังที่แกร่งกล้ากว่านี้ก็ล้วนถูกจำกัดอยู่ภายในบริเวณลานบ้าน ไม่กระทบไปถึงมนุษย์ธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายนอก
“บำเพ็ญจนเป็นเทพโลกาสวรรค์สามชั้น สุดท้ายก็กลายเป็นอาหารอยู่ดี” หนุ่มช่างตีเหล็กมองชายชราอาภรณ์สีเทา นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววยิ้มเย็น “สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ที่สันโดษเช่นพวกเจ้าเหล่านี้ก็จะกลายเป็นเขี้ยวเล็บของสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศเหล่านั้น คอยจับพวกเราให้กับพวกเขา พวกเจ้าก็คือผู้อาวุโสของพวกเรา!”
ชายชราอาภรณ์สีเทาเอ่ยอย่างมืดมน “นายท่านเพียงแค่นึกคิดก็สามารถปกคลุมทั่วทั้งดินแดนอลหม่านได้แล้ว ต่อให้ไม่ส่งพวกเราไปลงมือ เพียงแค่ความคิดเดียว นายท่านก็สามารถจับเจ้าไปได้อย่างง่ายดายแล้ว ที่ส่งข้ามาก็เพียงเพราะคร้านจะลงมือด้วยตัวเองก็เท่านั้น”
“เป็นเพราะพวกเจ้ากลัวตายต่างหากเล่า!” หนุ่มช่างตีเหล็กยิ้มเยาะ “พวกเราเหล่าเทพโลกานี้แทบจะถูกกินกันจนเกลี้ยง แต่พวกเจ้านั้นอย่างมากที่สุดก็แค่ถูกกินร่างแยก พวกเจ้าก็ยังสามารถบำเพ็ญออกมาใหม่ได้อีก”
“ก็ไม่พ้นเป็นแหล่งอาหารที่ยาวนานหน่อยเท่านั้น” ชายชราอาภรณ์สีเทาเอ่ยอย่างเย็นชา
“เช่นนั้นจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมกันเล่า” นัยน์ตาของหนุ่มช่างตีเหล็กเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง “ก็แค่รักตัวกลัวตายเท่านั้น ข้าเกลียด เกลียดเหลือเกิน เกลียดที่มิได้อยู่เห็นวันที่สัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศพวกนี้พินาศย่อยยับ ภรรยาของข้าถูกพวกเจ้าจับตัวไป ท่านอาจารย์ของข้าก็ถูกพวกเจ้าจับตัวไป สหายของข้าก็ถูกพวกเจ้าจับตัวไปเช่นกัน แต่ละคนล้วนถูกสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศกินจนสิ้น สุดท้ายก็ถึงตาข้าแล้วสินะ ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“ข้าแค่เกลียดนัก เกลียดที่มิได้อยู่เห็นวันที่พวกมันถูกผลาญย่อยยับ” หนุ่มช่างตีเหล็กดูราวกับวิปลาส
ชายชราอาภรณ์สีเทาถอนหายใจเบาๆ
เขายื่นมือออกไปจับหนุ่มช่างตีเหล็กเอาไว้แล้วเคลื่อนผ่านอากาศจากไปพร้อมกัน ในเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ ก็เลือกที่จะรอคอย เขาเองก็ชิงชังเหล่าสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศพวกนั้นเข้ากระดูกดำเช่นเดียวกัน! ร่างแยกถูกเขมือบทั้งเป็นครั้งแล้วครั้งเล่า ความรู้สึกเช่นนี้จะมิให้เจ็บปวดขมขื่นได้อย่างไรกัน อยู่ก็มิสู้ตายหรอก!
ทว่าพวกเขาก็อดทน ต้องมีชีวิตรอด! ในใจของพวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยความหวังมาถึง แต่ผู้คนมากมายในบรรดาพวกเขาตั้งตารอวันที่เหล่าสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศถูกผลาญย่อยยับมากยิ่งกว่า! พวกเขาอยากจะแก้แค้นเหลือเกิน!
……
ภายในโถงตำหนัก
ชีวิตแห่งห้วงอากาศที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ตนหนึ่งนั่งอยู่ที่นั่น แขนของเขายาวเป็นอย่างยิ่ง กะโหลกศีรษะก็ผอมยาว นัยน์ตาข้างหนึ่งทอประกายสีเขียวอมฟ้าอันเยียบเย็น มองเหยียดลงไปยังกรงขังแต่ละกรงที่อยู่เบื้องล่าง เทพโลกาจำนวนมากที่ถูกคุมขังอยู่ภายในกรงเหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นมนุษย์ ยังมีสรรพสัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อยู่บางส่วนด้วย พวกเขาแต่ละคนล้วนแสดงสีหน้าโกรธแค้น บ้าคลั่ง และเกลียดชัง
“ฮิๆๆ” ชีวิตแห่งห้วงอากาศผอมสูงตนนี้หัวเราะฮิๆ อย่างแปลกประหลาด เพียงแค่นึกคิด บรรดา ‘อาหาร’ ภายในกรงเหล่านี้แต่ละคนต่างก็รู้สึกว่าสามารถส่งเสียงออกมาได้แล้ว
“สัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศ กินเสียเถิด กินเสียเถิด พวกเราไม่กลัวหรอก!”
“สัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศ ท้ายที่สุดแล้วจะต้องมีผู้บำเพ็ญที่กล้าแกร่งมาถึงแล้วบั่นคอสังหารเจ้า!”
“พวกเราเพียงแค่เดินนำไปก่อนก้าวหนึ่งเท่านั้น อีกไม่ช้าพวกเจ้าก็จะตามมาเช่นกัน!”
“สิ่งมีชีวิตผู้สูงส่งเหนือผู้ใดเอ๋ย ขอร้องท่าน โปรดบั่นคอสังหารสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศเหล่านี้ด้วยเถิด ข้าจะใช้ทั้งชีวิตนี้ของข้าเชื่อฟังและสวามิภักดิ์ต่อท่านไปตลอดกาล” เหล่าเทพโลกาที่อยู่ภายในกรงขังเหล่านี้บ้างก็ด่าทอ บ้างก็เงียบงัน บ้างก็อาละวาดอย่างบ้าคลั่ง
พวกเขาเกลียดนัก
เกลียดสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศเหล่านี้ เพราะสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศเหล่านี้ทำให้ทั่วทั้งแผ่นดินอลหม่านกลายเป็นแดนนรก เพื่อนฝูงที่พวกเขารู้จักมากมาย แม้กระทั่งคนรัก พี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย อาจารย์และเหล่าศิษย์… ล้วนถูกบรรดาสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศเหล่านี้กินเสียจนสิ้น
สำหรับสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ที่สันโดษ เหล่าชีวิตแห่งห้วงอากาศยังสามารถเหลือแสงสุดท้ายแห่งการมีชีวิตเอาไว้ให้ได้ เพราะการกลืนกินสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่นั้นยังมีประโยชน์ต่อพวกเขาอยู่บ้างเล็กน้อย ส่วนเทพโลกาที่อ่อนแอนั้น…สำหรับบรรดาสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศที่อย่างน้อยก็เป็นระดับผู้ปกครองเหล่านี้แล้ว กลืนกินลงไปก็ย่อมมิได้มีส่วนช่วยต่อพลังยุทธ์แต่อย่างใดเลย
สิ่งที่พวกเขาชมชอบยิ่งกว่าก็คือการได้เห็นท่าทีสิ้นหวังของเทพโลกาที่อ่อนแอเหล่านี้
“อืม” ชีวิตแห่งห้วงอากาศร่างผอมสูงหรี่ตาฟังอยู่ที่นั่น “ข้าได้ยินความหวาดหวั่น ได้ยินความโกรธแค้น ได้ยินความสิ้นหวัง ช่างเปี่ยมความหมายเหลือเกิน น่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว”
เหล่าผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างต่างก็เงียบงัน
สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่อย่างพวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้… แต่ทว่าผู้ที่อ่อนแอก็ถูกกินไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แล้วยังมีวิญญาณเทพ เหนือธรรมดา และเหล่ามนุษย์ธรรมดาที่อ่อนแอกว่าอีกเป็นจำนวนมากด้วย บ่อยครั้งที่ถูกกินไปทีละเมือง ทีละเมือง หรือกระทั่งทีละประเทศ ทีละประเทศ ก็ล้วนถูกกลืนกินจนสิ้น เพียงเพราะว่าเหล่าชีวิตแห่งห้วงอากาศรู้สึกว่าทำเช่นนี้แล้วเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง
“เอาล่ะ คงจะถึงเวลามีความสุขกับอาหารอร่อยแล้วสินะ” ชีวิตแห่งห้วงอากาศร่างผอมสูงเอ่ยปากพูด บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข นี่คือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของเขา
“พรึ่บ…”
หอกยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในทันใด หอกยาวหมุนควงเข้ามา บนปลายหอกยังมีประกายอันเยียบเย็นดุจน้ำแข็งสีดำจางๆ ทำให้ชีวิตแห่งห้วงอากาศร่างผอมสูงเผยสีหน้าพรั่นพรึงออกมาในทันใด จากนั้นเขาก็แกว่งแขนเพื่อปัดป้อง เกราะชั้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนท่อนแขน แต่ทว่าหอกครานี้ในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าในตอนแรกเป็นหลายเท่าตัวแล้ว
ฟึ่บๆๆๆๆ…ร่างกายของชีวิตแห่งห้วงอากาศร่างผอมสูงถูกแทงทะลุออกมาเป็นรูยี่สิบหกรูในทันใด จำนวนรูที่ลดลง สวนทางกับพลังคุกคามที่พุ่งพรวดขึ้น ภายในรวบรวมเอาพลังของค่ายสังหารจำนวนนับไม่ถ้วนมาทำลายร่างกายของชีวิตแห่งห้วงอากาศร่างผอมสูงนี้ในทันใด
ในยามนี้เอง ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงค่อยเดินออกมาจากกลางเวหา กุมหอกยาวเล่มหนึ่งเอาไว้พลางมองบัลลังก์ที่กลายเป็นผุยผงไร้มวลสารไปโดยสมบูรณ์แล้วอย่างเย็นชา ด้านข้างบัลลังก์ก็เหลือวัตถุอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
การโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!
ชีวิตแห่งห้วงอากาศตนนั้นก็ถูกผลาญไปเสียแล้ว
“เดิมทีข้าคิดจะบำเพ็ญให้แข็งแกร่งกว่านี้ก่อน คิดจะอดทนไม่ลงมือ เพราะกลัวว่าการลงมือของข้าจะไปยุแหย่ชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านี้แล้วจะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่มากมาย” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีแววอาฆาตเย็นเยียบ “แต่ข้าผิดพลาดเสียแล้ว พอข้าไม่ลงมือ เหล่าเทพโลกา วิญญาณเทพ เหนือธรรมดา และเหล่ามนุษย์ธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วนในดินแดนอลหม่านกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า… ก็กลายเป็นวันสุดท้ายของพวกเขาแล้ว”
“เพื่อชีวิตของสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่กลุ่มเล็กๆ ไม่กี่สิบชีวิต ก็ต้องดูชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนถูกกลืนกินไม่หยุดหย่อน”
“ข้าทำไม่ลงหรอก”
“เช่นนั้นก็สังหารเสียเถิด ด้วยกำลังทั้งหมดของข้า สังหารพวกมันเสียให้สิ้น” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีแววอาฆาตล้นฟ้า
……………………………………………