บทที่ 433 เกิดเรื่อง

บัลลังก์พญาหงส์

​ถาวจือมาถึงก็สังเกตเห็นเทียบเชิญในมือของเจียงอวี้เหลียนทันที แน่นอนว่าไม่มีทางพลาดสีหน้าเคร่งขรึมบนใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนไปเป็นแน่ หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็ยิ้มและพูดว่า “ดูท่าทีของชายารองเหมือนว่ากำลังคิดมากเรื่องอะไรอยู่นะเจ้าคะ”

เจียงอวี้เหลียนโยนเทียบเชิญใบนั้นให้ถาวจือ “เจ้าเอาไปดู”

ถาวจือรับมาถือไว้ มองเพียงปราดเดียวเห็นว่าเป็นกระดาษชั้นดี ก็ส่งเสียงจิ๊ปากออกมาทีหนึ่ง พอมองข้างบนที่เขียนเอาไว้ว่าเป็นอันหย่วนโหวสกุลกู้ ทันใดนั้นก็จิ๊ปากออกมาอีกครั้ง พอดูเนื้อหาแล้วก็ส่งเสียงไม่พอใจออกมาอีก

เจียงอวี้เหลียนได้ยินก็รำคาญ จึงพูดด้วยท่าทีไม่ค่อยดีนัก “จะพอได้แล้วหรือยัง?”

ถาวจือก็ไม่หงุดหงิดหรือประหม่า ยิ้มพลางวางเทียบเชิญนั้นลงถามว่า “ชายารองเจียงกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่หรือเจ้าคะ? ไม่ใช่ว่าคนของตระกูลกู้ต้องการเข้ามาเยี่ยมเยียนชายารองถาวหรือเจ้าคะ? ในเมื่อเป็นญาติกันทั้งหมด ย่อมไม่มีเหตุผลที่ขวางกั้นเอาไว้อยู่แล้ว”

เจียงอวี้เหลียนแค่นหัวเราะ “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าแสร้งทำเป็นเลอะเลือนทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ? หากมาเยี่ยมดูอาการป่วยก็แล้วไป กู้ซีเป็นใคร เจ้าไม่รู้จักจริงหรือ?”

ถาวจือย่อมต้องรู้ว่ากู้ซีเป็นใคร ลูกสาวจากชายาเอกของอันหย่วนโหวกู้อวี่จื๋อ ด้วยสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง จนตอนนี้จึงยังไม่ได้ออกเรือน มองดูก็จะกลายเป็นหญิงสาวอายุมากแล้ว ตอนนี้ตระกูลกู้ดูคิดหนักเรื่องการแต่งงานของบุตรสาว

อีกทั้งกู้ซีก็ยังเป็นญาติผู้น้องอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของหลี่เย่อีกด้วย

เมื่อถาวจือได้ยินคำถามของเจียงอวี้เหลียน ก็ยิ้มออกมา “นี่ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลนี่เจ้าคะ ตอนนี้ภายในจวนของพวกเราคนที่มีเกียรติมากที่สุดก็คือชายารองถาว” ความหมายของคำพูดนี้เป็นการเตือนเจียงอวี้เหลียน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางที่นางจะไปแย่งชิงตำแหน่งนั้น ดังนั้นย่อมไม่จำเป็นต้องคิดเช่นนี้

“คนที่ควรต้องเป็นกังวลไม่ใช่ชายารองเจียงเจ้าค่ะ” ถาวจือหยุดไปครู่หนึ่ง พลางพูดอย่างแฝงนัย

เมื่อเจียงอวี้เหลียนถูกเตือนเช่นนี้ ก็ตกอยู่ในภวังค์เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หัวเราะเยาะออกมา “ก็ไม่ใช่น่ะซี แต่ข้ากลับเสียเวลาคิดไปโดยเปล่าประโยชน์ คนที่ต้องเป็นกังวลไม่ใช่ข้าเสียหน่อย ข้าเป็นใครกัน?”

สุดท้ายแล้วเจียงอวี้เหลียนก็ส่งเทียบเชิญนี้ไปให้ถาวจวินหลัน แต่กลับแสร้งทำเป็นลืมเรื่องที่หลี่เย่พูดว่าไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้าไปรบกวนความสงบของถาวจวินหลัน เจียงอวี้เหลียนยิ้มเย็นครุ่นคิดด้วยประสงค์ร้าย น้องสาวของตนเองจะถือว่าเป็นคนอื่นได้อย่างไรกัน?

ถาวจวินหลันเห็นเทียบเชิญนี้ กลับไม่ได้มีทีท่าเหมือนที่เจียงอวี้เหลียนคาดการณ์เอาไว้ตอนแรก เพียงแค่พยักหน้าพูดเล็กน้อย “เข้าใจแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้อนรับให้ดีเสียหน่อยเถิด” นอกจากนั้นแล้วก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอื่นใดอีก

พอเจียงอวี้เหลียนรู้ว่านางมีท่าทางเช่นนี้ นางก็เริ่มสงสัย หรือว่าถาวจวินหลันจะไม่รู้จุดประสงค์ของตระกูลกู้อย่างนั้นหรือ? หลายปีมานี้ที่ไม่ได้ไปมาหาสู่ แต่ตอนนี้กลับส่งลูกสาวมา นี่แสดงความหายให้เห็นชัดอยู่แล้ว อีกทั้งญาติผู้พี่ญาติผู้น้องก็ใกล้ชิดกันอยู่แล้ว เรื่องนี้ยิ่งสำเร็จได้ง่ายไปอีก

ทางด้านนี้หงหลัวเองก็แอบเตือนถาวจวินหลันเช่นกัน เพียงแต่พูดอย่างปิดบัง “ในใจของชายารองเข้าใจดี คุณหนูกู้มานั้นไม่ใช่แค่มาเยี่ยมอาการป่วยง่ายๆ เท่านั้นแน่นอนเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินหงหลัวพูดเตือนแล้ว ถาวจวินหลันก็ยิ้มน้อยๆ วางหนังสือในมือลง “ถ้าเช่นนั้นแล้วอย่างไร? เราจะระแวงจนไม่ให้นางเข้ามาก็ได้ด้วยหรือ? อีกทั้งหากท่านอ๋องเองก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน ใครก็ไม่อาจขัดขวางได้ หากท่านอ๋องไม่ได้คิดเช่นนี้ ตระกูลกู้ก็คงส่งสายตาหว่านเสน่ห์ให้คนตาบอดดูแล้ว”

ที่สำคัญที่สุดก็คือต่อให้ตอนนี้ทุกคนอยากจะปลดหลิวซื่อออก และแต่งตั้งชายาเอกตวนชินอ๋องใหม่อีกครั้ง แต่ก็ไม่มีทางเป็นกู้ซีหญิงสาวอ่อนแอคนหนึ่ง แต่เดิมก็รองรับตำแหน่งชายาเอกตวนชินอ๋องไม่ได้อยู่แล้ว แม้ว่าอำนาจของตระกูลกู้จะมีมาก แต่ก็ไม่ได้ถือว่าแข็งแกร่งมากนัก แม้แต่ไทเฮาเองก็ไม่แน่ว่าจะชอบใจ

ดังนั้นกู้ซีจึงไม่ได้ถือเป็นศัตรู นางจึงไม่ต้องกังวล

และยิ่งไปกว่านั้น หลิวซื่อชายาเอกตวนชินอ๋องต่างหากถึงเป็นคนที่ควรกังวลมากที่สุด อย่างไรหากมีชายาเอกตวนชินอ๋องมาใหม่จริง ตำแหน่งฐานะของนางก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นางยังคงเป็นชายารองคนหนึ่ง เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของซวนเอ๋อร์ และเป็นผู้หญิงที่หลี่เย่ใส่ใจมากที่สุดเหมือนเดิม

แน่นอนว่าด้วยสถานการณ์ตอนนี้จึงยังจัดชายาเอกตวนชินอ๋องคนใหม่ให้หลี่เย่ไม่ได้ ต่อให้คิดจะทำเช่นนี้ ก็ต้องรอให้มหันตภัยครั้งนี้ผ่านไปก่อน

เมื่อพูดถึงมหันตภัย ถาวจวินหลันก็อดถอนหายใจไม่ได้ นี่ถือเป็นมหันตภัยที่ร้ายแรงที่สุดในรอบสิบกว่าปี ก่อนหน้านี้แม้ว่าจะมีมหันตภัยมาบ้าง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีครั้งไหนรุนแรงจนไม่มีพืชพันธุ์ให้เก็บเกี่ยว บีบบังคับให้ประชาชนคนธรรมดาต้องหนีตาย ถ้าเทียบกับครั้งนี้แล้ว ภัยหิมะคราวที่แล้วกลับเล็กน้อยจนไม่อาจเอามาเปรียบได้

อีกทั้งได้ยินมาว่าฝนที่ทางเหอเป่ยก็ยังไม่หยุดตก จนแทบจะท่วมมิดเกือบทุกที่

ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ผู้ลี้ภัยมีแต่จะมากขึ้นเท่านั้น แต่สิ่งที่ราชสำนักทำได้นั้นกลับมีขีดจำกัด อย่างไรท้องพระคลังก็ไม่ได้มีให้ใช้อย่างไม่หมดสิ้น

ที่สำคัญที่สุดก็คือคำร้องเรียนของประชาชน ในสถานการณ์เช่นนี้หากทำไม่ดีก็กลัวว่าจะมีการประท้วงครั้งใหญ่เกิดขึ้น อย่างไรก็ไม่มีใครยอมนอนรอความตาย เพื่ออาหารการกินสักมื้อ เพื่อเงินจำนวนน้อยนิดก็พร้อมจะลุกขึ้นมาต่อต้านทั้งนั้น

หลายครั้งที่ราชสำนักถูกปฏิวัติล้วนมีเหตุมาจากภัยพิบัติ ซึ่งส่งผลให้ประชาชนไม่อาจดำรงชีวิตต่อไปได้ บ้านเมืองลุกเป็นไฟและการนิ่งเฉยของราชการทำให้เกิดการต่อต้านและประท้วง

แม้จะบอกว่าสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ก็ถือว่าไม่ดีเท่าไรนัก คนที่ชักนำผู้ลี้ภัยเหล่านี้อยู่เบื้องหลัง จนตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวไม่ใช่หรือไร? เมื่อมีครั้งแรกก็อาจจะมีครั้งที่สองและครั้งที่สามตามมา

พอเห็นถาวจวินหลันเริ่มตกอยู่ในภวังค์เป็นกังวล หงหลัวจึงรีบเอ่ยปากเตือนถาวจวินหลัน “คุณหนูกู้เพียงแค่มานั่งพูดคุยเท่านั้น หรือว่าคิดจะมาอาศัยอยู่สองสามวันเจ้าคะ?”

“คิดแล้วก็น่าจะมาพักอยู่สองสามวัน” ถาวจวินหลันยิ้ม “ให้ชายารองเจียงจัดการเรื่องสถานที่พัก จะต้องจัดเก็บให้เรียบร้อยเหมาะสม อย่าให้แขกอึดอัดลำบากใจ”

หงหลัวรับปาก สุดท้ายแล้วก็พูดเรื่องจิปาถะอีกเล็กเล็กน้อย ก่อนพูดกล่อมว่า “ชายารองก็อย่าอ่านหนังสืออีกเลยเจ้าค่ะ ดูแลสุขภาพให้ดี จะได้ดีขึ้นในเร็ววัน แบบนี้ดีกว่าอะไรทั้งนั้นนะเจ้าคะ”

ถาวจวินหลันวางหนังสือลงอย่างจนปัญญา ยิ้มและพูดว่า “บ่าวเช่นเจ้ากลับมายุ่งเรื่องของเจ้านายเสียแล้ว”

หงหลัวพูดด้วยสีหน้าดำคล้ำ “ชายารองต้องเห็นใจข้าบ้าง หากข้าปรนนิบัติไม่ดี ท่านอ๋องก็คงไม่อนุญาตให้ข้ามาดูแลปรนนิบัติท่านอีกต่อไป” คราวที่แล้วต้องนั่งคุกเข่าอยู่นานกว่าครึ่งชั่วยาม หัวเข่าบวมแดง หลังจากนั้นเป็นต้นมาบรรดาบ่าวรับใช้ในเรือนเฉินเซียงแต่ละคนก็ละเอียดรอบคอบขึ้นมา กลัวว่าปรนนิบัติไม่ดีแล้วหลี่เย่รู้เข้าจะถูกทำโทษ

พูดไปแล้ว ปกติหลี่เย่ก็ถือว่าเป็นคนที่อบอุ่นอ่อนโยน แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อเกี่ยวข้องกับถาวจวินหลันกลับกลายเป็นเทพแห่งความตายที่เ**้ยมโหดได้ทันตา

ตกดึกหลี่เย่กลับมา ถาวจวินหลันก็ส่งเทียบเชิญให้หลี่เย่ดู ยิ้มและพูดว่า “ภายในจวนจะมีแขกผู้หญิงมา และยังเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน คงไม่ดีถ้าท่านจะไปไหนมมาไหนทั่วอีก ข้างกายนั้นมีขันทีติดตามอยู่ตลอดถึงจะดี มิเช่นนั้นมีคนเห็นเข้าจะคิดว่าพวกเราไม่มีกฎเกณฑ์นะเพคะ”

หลี่เย่มองถาวจวินหลันอย่างจริงจัง จากนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าพูดเช่นนี้เหมือนมีความหมายแอบแฝงเสียแล้ว”

ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของหลี่เย่ แต่กลับไม่ยอมรับ เพียงแค่กลอกตามองเขา “มีความนัยแฝงอะไรเล่าเพคะ? เพียงแค่เอ่ยกำชับเท่านั้นเอง”

หลี่เย่ก็ไม่จี้จุด เพียงแค่แอบหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งถึงพอใจ จากนั้นก็พูดว่า “ให้แค่เจียงซื่อคอยดูแลก็พอแล้ว เจ้าไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ตอนนี้เจ้ายังป่วยอยู่ ไม่อนุญาตให้คิดเยอะ”

ใจของถาวจวินหลันอบอุ่น ยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า พูดว่า “อย่างไรก็คงต้องพบหน้าบ้าง มิเช่นนั้นนางคงคิดว่าข้าไม่มีมารยาทเป็นแน่เพคะ”

วันรุ่งขึ้นกู้ซีก็มาตั้งแต่เช้า และนำของขวัญจำนวนมากมาให้ แทบจะมีของทุกคนภายในจวน  แต่ด้วยมาเยี่ยมไข้ ของบำรุงเช่นรังนกต่างๆ จึงมีมากเลยทีเดียว

หลังจากกู้ซีพบถาวจวินหลันแล้ว ก็ทำความเคารพอย่างถูกกฎ และถามไถ่สุขภาพของถาวจวินหลันเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งเขินอายอยู่ตรงนั้นไม่รู้จะพูดอะไร

เมื่อเทียบกับคราวที่แล้ว สุขภาพของกู้ซีก็เหมือนว่าจะดีขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าก็มีสีชมพูระเรื่อสดใสดั่งที่หญิงสาวควรจะมี

ถาวจวินหลันลอบสังเกตเงียบๆ พอเห็นว่ากู้ซีเริ่มเขินอาย นางก็อดหัวเราะไม่ได้ “อยู่ที่นี่ไม่จำเป็นต้องเขินอาย ทำตัวให้เหมือนอยู่ที่บ้าน มิเช่นนั้นก็จะยิ่งรู้สึกประหม่ามิใช่หรืออย่างไร?”

ใบหน้าของกู้ซีนั้นแดงก่ำ พลางพูดอย่างขลาดกลัว “ท่านแม่บอกว่าชายารองถาวดูแลจวนเป็นอย่างดี จึงให้ข้ามาเรียนรู้ และช่วยเหลือ”

ถาวจวินหลันลอบคิดในใจว่า ช่างพูดจาได้ตรงเสียเหลือเกิน มาช่วยอย่างนั้นหรือ? ให้ญาติผู้น้องมาคอยช่วยพี่ชายดูแลบ้านอย่างนั้นหรือ? นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?

แต่พอเห็นดวงตาสดใสของกู้ซี นางย่อมต้องไม่แสดงอะไรออกมา เพียงแค่ยิ้มและพูดว่า ข้าก็ไม่ได้ดีเหมือนที่ท่านป้าบอกหรอก ตอนนี้ชายารองเจียงจัดการดูแลจวน อีกเดี๋ยวข้าจะไปช่วยพูดเรื่องนี้ให้ เจ้าอยู่ข้างกายนางก็จะได้เรียนรู้ไม่น้อย ไม่แย่ไปกว่าข้า ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมสอนเจ้า แต่ตอนนี้ร่างกายของข้าไม่สู้ดีนัก ไม่มีวิธีจริงๆ”

ที่พูดเช่นนี้ก็ด้วยกลัวจะมีคนหาเรื่อง อย่างไรแล้วกู้ซีแม้ดูแล้วจะเป็นคนที่บริสุทธิ์ เขินอาย แต่กู้ฮูหยิน…

กู้ซีได้ยินถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ ก็รีบพูดว่า “การรักอาการป่วยของชายารองถาวย่อมสำคัญอยู่แล้ว”

ถาวจวินหลันยิ้มพลางถามกู้ซีถึงสถานการณ์อื่น หลังจากแสดงความใส่ใจอย่างเหมาะสมแล้วนั้น หงหลัวก็ก้าวเข้ามาเตือนว่า “ชายารอง ถึงเวลาดื่มยาแล้วเจ้าค่ะ”

ดังนั้นกู้ซีจึงหลบออกไป แล้วถาวจวินหลันก็เรียกให้คนพานางไปหาเจียงอวี้เหลียน นิสัยเขินอายเช่นนี้ของกู้ซี หากในวันปกติก็คงไม่มีอะไร นางหาเรื่องพูดให้เยอะเสียหน่อยก็พอแล้ว แต่ว่าตอนนี้นางกลับไม่มีอารมณ์จะทำเช่นนั้น

ดังนั้นปล่อยให้เจียงอวี้เหลียนไปจัดการถึงจะดีที่สุด นางทำแค่เพียงสะบัดมือให้คนอื่นจัดการเท่านั้นพอ

ทางด้านนี้เพิ่งจะดื่มยา ถาวซินหลันก็มาหาพอดี

ถาวจวินหลันได้ยินคำรายงานก็ตะลึงไปในทันใด “นี่เพิ่งกลับบ้านไปได้กี่วันกัน? ทำไมถึงมาอีกแล้วเล่า?” หรือว่าตระกูลเฉินจะเกิดเรื่องขึ้น หรือว่านางได้รับความไม่ยุติธรรมอะไรอย่างนั้นหรือไร?

เมื่อคิดเช่นนี้ในใจก็รู้สึกไม่สงบขึ้นมา รีบเรียกคนให้ไปเชิญถาวซินหลันเข้ามา

เมื่อถาวซินหลันเข้ามา ถาวจวินหลันก็เห็นว่าสีหน้าของนางไม่ดีมาก นางใจหล่นตุบ รีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

เมื่อครู่นี้ถาวซินหลันเดินทางมาอย่างเร่งรีบ ตอนนี้บริเวณหน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดอยู่เต็มไปหมด นางเองก็ไม่สนใจเช็ด ก่อนนั่งลงและดื่มน้ำชาเพื่อให้ชุ่มคอ แล้วถึงได้เอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”

ได้ยินเพียงแค่นี้ ถาวจวินหลันก็รู้สึกร้อนรนในทันที จึงรีบถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? รีบพูดเร็วเข้า! อย่าชักช้า!”

“โรงยาเกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ” ถาวซินหลันเม้มปากพูดออกมาด้วยสีหน้าตึงเครียด