สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนมืดครึ้มลง ทั้งตัวของเขาแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบออกมา

 

 

สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงเป็นปกติ

 

 

พระชายาฉีเองก็ไม่เปลี่ยนสีหน้า รอยยิ้มไม่รีบไม่ร้อนถูกยกขึ้นก่อนจะถามออกไปว่า “เมื่อไหร่กันที่พระชายารองสามารถเดินเข้าออกห้องของข้าได้ตามอำเภอใจ”

 

 

พระชายารองตะลึงไป จากนั้นก็ฉีกยิ้มจอมปลอมออกมา “ข้าได้ยินว่าพี่สาวฟื้นแล้ว รู้สึกมีความสุขมาก จึงได้ผลีผลามเข้ามาจนลืมกฎไปเลย ขอพี่สาวอย่าได้ตำหนิ”

 

 

แม้จะพูดแบบนี้ แต่สีหน้าของนางกลับไม่มีวี่แววของความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย

 

 

พระชายาฉียังคงยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “น้องสาวลืมกฎไม่เป็นไร แต่บ่าวรับใช้ลืมกฎสมควรตาย”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของพระชายารองแข็งค้างไปแล้ว

 

 

พระชายาฉีหันไปสั่งสาวใช้คนสนิทอีกคนด้วยน้ำเสียงไม่หนักไม่เบานนัก “หลิงหลง วันนี้ใครยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู กระทั่งคนมาก็ไม่แจ้งให้ทราบสักคำ ในสายตายังเห็นข้าคนนี้เป็นนายหรือไม่”

 

 

หลิงหลงรีบร้อนตอบว่า “เหนียงเหนียง คนที่เข้าเวรวันนี้คือหลันฮวาเจ้าค่ะ”

 

 

“เรียกนางเข้ามา ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าใครเป็นคนอบรมสั่งสอนกฎเกณฑ์ให้นาง” พระชายาฉีพูด

 

 

หลิงหลงรับคำ จากนั้นก็เดินออกไปแล้วเรียกหลันฮวาเข้ามา

 

 

หลันฮวาเดินตามหลิงหลงเข้ามาในห้อง รู้สึกได้ว่าบรรยากาศข้างในห้องเวลานี้ไม่ถูกต้องนัก จึงรีบก้มหัวลงแล้วถามออกไปว่า “เหนียงเหนียง มีอะไรอยากจะสั่งบ่าวหรือเจ้าคะ”

 

 

สีหน้าของพระชายาฉีไม่ได้เปลี่ยนแปลง นางถามออกไปด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ข้าถามเจ้า ใครเป็นคนสั่งสอนกฎระเบียบของจวนให้เจ้า เรือนของข้าไม่ว่าใครก็สามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ”

 

 

หลันฮวาได้ยินคำถามก็เงยหน้าขึ้นมองพระชายาด้วยความประหลาดใจ ฉับพลันคล้ายกับเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา จึงได้คุกเข่าลงกับพื้นดัง “ตึก” ร้องขอความเมตตาออกไปว่า “พระชายาโปรดไว้ชีวิตด้วย แต่ก่อนตอนที่พระชายารองมาก็ไม่เคยขานชื่อเลยสักครั้ง วันนี้พอบ่าวเห็นนางเข้ามาจึงปล่อยให้เข้ามาในเรือนโดยไม่ได้แจ้งให้พระชายาทราบ บ่าวผิดไปแล้ว ขอพระชายาโปรดยกโทษให้ด้วย”

 

 

พระชายารองรับหน้าที่ดูแลจวนมาหลายปี เรื่องน้อยใหญ่ทั้งหลายรวมถึงกิจการทั้งหมดล้วนเป็นนางที่ตัดสินทั้งนั้น ประกอบกับแต่ก่อนร่างกายของพระชายาฉีอ่อนแอมาก ทั้งยังไม่มีใจสนใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ คนในจวนจึงเดินไปตามที่พระชายารองว่าจนหมด นางอยากไปไหนก็ไปไหน กระทั่งเรือนของพระชายาฉีก็สามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจ ซึ่งในอดีตพระชายาฉีเองก็ไม่เคยตำหนิว่ากล่าว ปล่อยให้นางเข้ามาตามที่นางต้องการ เวลาล่วงนานไป บ่าวรับใช้ในเรือนเลยคุ้นเคยชินไปแล้ว คิดว่าเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นทุกครั้งที่พระชายารองมาจึงไม่เคยเรียกขานชื่อเลย หลันฮวาซึ่งรับหน้าที่เฝ้าประตูในวันนี้จึงไม่ได้แจ้งให้พระชายาที่อยู่ในเรือนทราบ

 

 

พอได้ยินพระชายาตำหนินางเรื่องนี้อย่างกะทันหัน จู่ๆ หลันฮวาก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในใจ จึงรีบร้อนขอความเมตตาออกไป

 

 

พระชายาฉีเพิกเฉยต่อใบหน้าที่น่าเกลียดของพระชายารองโดยสมบูรณ์ พูดออกไปว่า “ปกติข้าเป็นคนง่ายๆ ไม่ใช่คนที่ชอบใช้อารมณ์ในการตัดสิน เห็นว่าพวกเจ้ากว่าจะผ่านไปในแต่ละวันนั้นก็ไม่ง่ายเลย จึงไม่คิดตำหนิหรือต่อว่าให้ลำบากใจ คิดไม่ถึงกลับกลายเป็นว่าทำให้พวกเจ้าเหิมเกริมไม่รู้จักกฎเกณฑ์เสียอย่างนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะขอใช้ประโยชน์จากการที่น้องสาวอยู่ที่นี่แสดงให้พวกเจ้าได้เห็นว่ากฎก็คือกฎ ไม่อาจเพิกเฉยหรือมองข้ามได้ อีกหน่อยพวกเจ้าจะได้ระวังไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้ซ้ำอีก”

 

 

หลันฮวาหวั่นวิตกจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว หัวใจเต้นแรงไปด้วยความไม่สบายใจ ร้องขอความเมตตาออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “เหนียงเหนียงโปรดไว้ชีวิต เหนียงเหนียงโปรดไว้ชีวิต”

 

 

พระชายาฉีราวกับไม่ได้ยินคำร้องขอของนางอย่างไรอย่างนั้น สั่งหลิงหลงออกไปว่า “หลิงหลง ไปเรียกพ่อบ้านมา”

 

 

หลิงหลงรับคำ จากนั้นก็เดินออกไปหาพ่อบ้าน

 

 

พ่อบ้านคือคนที่รับหน้าที่จัดการดูแลบ่าวรับใช้ในจวนทั้งหมด หากถูกเรียกตัวมา นั่นหมายความว่าสาวใช้จะต้องทำผิดร้ายแรง โทษหนักคือถูกขายออกนอกจวนไป หลันฮวาวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง โขกหัวกับพื้นซ้ำๆ แล้วร้องขอความเมตตาไม่หยุด

 

 

พระชายารองไม่อาจระงับสีหน้าของตัวเองได้อีกต่อไป นางเข้าไปขอร้องแทนหลันฮวาว่า “พี่สาว ไม่ใช่สาวใช้นางนี้ไม่ต้องการรายงาน แต่เป็นข้าที่หยุดนางไว้เอง”

 

 

พระชายาฉีดึงมือของเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นมา อิริยาบถของนางไม่ได้เปลี่ยนไปเลย นางยิ้มแล้วมองไปทางพระชายารองพลางพูดว่า “เป็นสาวใช้ในเรือนข้าแต่กลับฟังคำสั่งของเจ้า ยิ่งสมควรลงโทษให้หนัก”

 

 

พระชายารองรู้สึกกระอักจนพูดไม่ออก ใจพลันบังเกิดความตกตะลึงขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าวันนี้พระชายาฉีเป็นบ้าอะไรอยู่ๆ ถึงมาจับผิดสาวใช้นางหนึ่ง

 

 

พ่อบ้านเดินตามหลิงหลงมาด้วยความรีบร้อน ทันทีที่เข้ามาในห้องเขาก็โค้งคำนับพระชายาฉีและพระชายารอง จากนั้นสายตาก็เหลือบมองไปทางหลันฮวาที่กำลังโขกหัวไม่หยุดครั้งหนึ่ง ก่อนจะถามออกไปด้วยความเคารพว่า “เหนียงเหนียง มีอะไรให้รับใช้หรือขอรับ”

 

 

“พ่อบ้าน ข้าจำได้ว่าสาวใช้ในเรือนของข้าเป็นเจ้าที่อบรมและส่งมา แต่เหตุใดนางถึงไม่รู้กฎเกณฑ์เช่นนี้” พระชายาฉีถามออกไปอย่างใจเย็น

 

 

พ่อบ้านหลังจากที่ถูกเรียกตัวมาโดยหลิงหลงเขาก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้น ยังไม่ทันได้สอบถามถึงต้นสายปลายเหตุดี พอยามนี้ถูกพระชายาฉีถามขึ้นมาจึงรีบพูดออกไปด้วยความเคารพว่า “บ่าวชราไม่เข้าใจ เหนียงเหนียงโปรดชี้แนะ”

 

 

“วันนี้ข้ากำลังคุยอยู่กับแขกคนสำคัญ จู่ๆ น้องสาวก็พรวดพราดเข้ามา สาวใช้ที่ยืนอยู่นอกห้องไม่มีใครแจ้งให้ข้าทราบสักนิด ทำเอาแขกของข้าตกใจกับการบุกเข้ามาของน้องสาวไม่น้อย ไหนเจ้าบอกเปิ่นกงข้ามาสิ เจ้าอบรมสั่งสอนสาวใช้พวกนี้อย่างไร”

 

 

เสียงของพระชายาฉีไม่เบาหรือว่าหนักจนเกินไปนัก แต่กลับสามารถสั่นคลอนหัวใจของพ่อบ้านได้อย่างรุนแรง เสียงเต้นตุบๆ ที่เหมือนกับเสียงกลองหนักๆ ดังต่อเนื่องไม่หยุด พ่อบ้านปาดเหงื่อเม็ดโตที่ผุดซึมขึ้นมาบนหน้าผาก โค้งตัวตอบกลับไปว่า “บ่าวชราอบรมสั่งสอนพวกบ่าวไพร่ได้ไม่ดี ขอพระชายาโปรดอภัยด้วย”

 

 

น้ำเสียงของพระชายาฉีไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ยังคงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ช่างเถิด เห็นแก่ที่เจ้าอุทิศตัวทำเพื่อจวนอ๋องฉีแห่งนี้มามากมาย ครั้งนี้ข้าจะละเว้นเจ้าสักครั้ง”

 

 

พ่อบ้านรีบกล่าวขอบคุณออกไป “ขอบพระทัยเหนียงเหนียง”

 

 

“ทีนี้รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าสมควรจะทำอะไรต่อ”

 

 

พ่อบ้านตอบอย่างลนลาน “บ่าวชราผู้นี้ทราบแล้วขอรับ ลงโทษโบยยี่สิบไม้ จากนั้นขายนางออกนอกจวนขอรับ”

 

 

หลังจากได้ยินคำพูดของพ่อบ้าน ดวงวิญญาณของหลันฮวาก็หลุดออกจากร่างไปโดยสมบูรณ์ เสียงร้องขอความเมตตาดังขึ้นกว่าเก่ามาก

 

 

ขณะที่พ่อบ้านกำลังเรียกคนให้เข้ามาลากตัวหลันฮวาออกไปนั้นเอง

 

 

เสียงของพระชายาฉีก็ดังขึ้นอีกครั้ง “พ่อบ้าน อย่างไรนางก็ตามรับใช้ข้ามาหลายปี โทษโบยลดลงเหลือเพียงครึ่งเดียวก็พอแล้ว แล้วก็สั่งให้บ่าวรับใช้ทั้งหมดในจวนไปดูการลงโทษครั้งนี้ด้วย”

 

 

“ขอรับ เหนียงเหนียง” พ่อบ้านรับคำ จากนั้นองครักษ์ประจำจวนสองนายก็ถูกเรียกเข้ามา หลันฮวาถูกปิดปากไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมาอีก จากนั้นก็โดนลากตัวออกไป

 

 

ภายในห้องพริบตากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

 

 

พระชายารองตอนนี้รู้สึกวางตัวไม่ถูกเป็นอย่างมาก จะยืนก็ไม่ดี จะนั่งก็ไม่ดี

 

 

พระชายาฉีเองก็รู้สึกเมื่อยขึ้นมาบ้างแล้ว จึงเปลี่ยนท่าเป็นพิงไปข้างหลัง ทุกอิริยาบถเต็มไปด้วยความเกียจคร้าน นางถามออกไปว่า “น้องสาวรีบร้อนมาพบข้าเช่นนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด”

 

 

พระชายารองยังคงถูกอิทธิพลของเรื่องเมื่อสักครู่ทำให้ตกใจอยู่ จึงฝืนยิ้มขึ้นแล้วตอบกลับไปอย่างมีกฎเกณฑ์ว่า “ได้ยินมาว่าพี่สาวฟื้นแล้ว ข้ารู้สึกดีใจยิ่งนักจึงได้รีบร้อนเข้ามาหา ขอพี่สาวอย่าได้ตำหนิไป”

 

 

“หากเป็นในยามปกติ เจ้าเข้ามาเยี่ยมข้าเช่นนี้พี่สาวอย่างข้าคงรู้สึกดีใจมาก แต่วันนี้ข้ากำลังสนทนากับแขกคนสำคัญอยู่ จู่ๆ เจ้าก็พรวดพราดเข้ามา แบบนี้ออกจะไร้กฎเกณฑ์เกินไปหน่อยหรือไม่” น้ำเสียงของพระชายาฉียังคงฟังดูเป็นปกติทุกอย่าง

 

 

แต่หัวใจของพระชายารองกลับเต้น “ตึกๆ” ดังผิดจังหวะขึ้นมา จู่ๆ ลางสังหรณ์ไม่ดีก็ผุดขึ้นอย่างรุนแรง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ พระชายาฉีพูดต่อว่า “เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนี้แพร่งพรายไปถึงหูของผู้อื่น เกิดเป็นคำครหาที่ว่าคนในจวนอ๋องฉีไม่รู้จักกฎเกณฑ์ วันนี้คงต้องให้น้องสาวกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมลงไปสักหน่อยแล้ว”

 

 

พระชายารองเบิกตาโพลง จ้องพระชายาฉีกลับไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ โดยไม่ทันให้นางหาปฏิกิริยาตอบสนองของตัวเองเจอดีแล้วถามอีกฝ่ายไปว่าที่ต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมนั้นจะเกิดขึ้นตอนไหน พระชายาฉีก็ตะโกนออกไปว่า “หลิงหลง!”

 

 

“บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ”

 

 

“พาตัวพระชายารองกลับไปที่เรือน ลงโทษคุกเข่าเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป”

 

 

นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่หวงฝู่อี้เซวียนหายตัวไป สาวใช้ข้างกายของพระชายาฉีทั้งหมดก็ถูกอ๋องฉีสังหารจนหมดเกลี้ยง หลิงหลงคือสาวใช้ที่แม่ทัพฉู่ส่งมาปรนนิบัติอยู่ข้างกายพระชายาโดยเฉพาะ ติดตามอยู่ข้างกายพระชายาฉีมาโดยตลอดนับตั้งแต่เหตุการณ์นั้น ดังนั้นเรื่องทั้งหมดในจวนตลอดหลายปีที่ผ่านมา เรื่องที่พระชายาไม่เคยแข่งขันหรือแย่งชิงอำนาจความโปรดปรานเลย ปล่อยให้พระชายารองกดหัวตัวเองอยู่เสมอจึงเห็นอยู่ในสายตามาโดยตลอด ซ้ำยังรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทนอีกฝ่ายไม่น้อย มาวันนี้เห็นว่าเจ้านายของตัวเองในที่สุดก็แสดงอำนาจในฐานะของพระชายาออกมาเสียที กดข่มความหยิ่งผยองพระชายารองลงไป มีหรือที่นางจะไม่ให้ความร่วมมือ หลิงหลงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพระชายารองด้วยหัวใจที่มีความสุขยิ่ง กล่าวกับอีกฝ่ายไปด้วยน้ำเสียงเคารพว่า “พระชายารอง เชิญเจ้าค่ะ”

 

 

พระชายารองมาตอนนี้ถึงเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝัน พูดออกไปด้วยความตกใจว่า “พี่สาว ท่าน ท่าน…”

 

 

“มีอะไรหรือ หรือว่าข้าทำอะไรผิดไป” พระชายาฉีถามกลับ

 

 

นางคือพระชายาเอก ส่วนตัวเองเป็นเพียงแค่พระชายารอง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตัดสินใจอย่างไรนางก็ไม่อาจคัดค้านหรือโต้แย้งได้ทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องในครั้งนี้เป็นความผิดของนางจริงๆ พระชายารองจึงได้แต่อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว

 

 

น้ำเสียงของพระชายาฉีหนักขึ้นไปอีกส่วน ตะโกนออกไปว่า “หลิงหลง!”

 

 

หลิงหลงเข้าใจเจตนาของเจ้านายตนอย่างชัดเจน พูดออกไปด้วยความสุภาพว่า “พระชายารอง ท่านอยากให้บ่าวเรียกคนมาช่วยเชิญท่านออกไปหรือเจ้าคะ”

 

 

“พวกเจ้ากล้าหรือ” ในที่สุดพระชายารองก็เค้นเสียงออกมาได้ ทำท่าทีหยิ่งยโส แล้วกล่าวอย่างถือดีว่า “เวลานี้ในจวนข้ามีสิทธิ์ชี้ขาดทุกอย่าง พวกเจ้ากล้าลงมือหรือ”

 

 

พระชายาฉีเหยียดยิ้ม กล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “เช่นนั้นหรือ”

 

 

หลายปีที่ผ่านมาแม้พระชายารองจะวางอำนาจใหญ่โตภายในจวน ต่อหน้ามีท่าทีนอบน้อมต่อชายาอ๋องฉี ถึงแม้ลับหลังจะทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าไว้ไม่น้อย แต่ทว่าพระชายาฉีก็ไม่เคยว่าอะไรนาง จนทำให้นางยิ่งเหิมเกริมมากขึ้น คิดว่าพระชายาฉีเป็นเพียงคนป่วยที่ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นตนจึงได้ดูแลภายในบ้านมาตั้งหลายปี มาตอนนี้ได้ยินว่าจะลงโทษให้นางต้องคุกเข่า ในใจก็รู้สึกไม่ยอม ท่าทีนอบน้อมที่เสแสร้งแสดงต่อหน้าก็ไม่อาจฝืนทำได้ต่อ เช่นนั้นก็แสดงโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาเลย จึงร้องเอะอะโวยวายต่อหน้าพระชายาฉี