บทที่ 365.2 สถานการณ์ที่มิอาจคลี่คลาย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ฝูฉีเริ่มเดินขึ้นบันไดไปบนแท่นมังกรแห่งนั้นเพียงลำพัง

บุรพาจารย์ก่อกำเนิดของตระกูลฝูไม่ได้ปรากฏตัว ฝูตงไห่บุตรชายคนโต ฝูชุนฮวาบุตรสาวคนโต และยังมีฝูหนันหัวบุตรชายคนเล็กของฝูฉีซึ่งเป็น ‘เจ้าบ่าว’ คนใหม่ที่เพิ่งจะแต่งงานกับบุตรสาวสายตรงสุกลเจียงหลินอวิ๋น รวมไปถึงฉู่หยางโอสถทองอันดับหนึ่งแห่งนครมังกรเฒ่าที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ และข้ารับใช้ผู้ถวายงานอีกกลุ่มหนึ่งต่างก็ยืนกันอยู่ด้านล่างแท่นมังกร

ฉู่หยางสีหน้าเย็นชา หลังจากที่เขาเปิดศึกกับเจิ้งต้าเฟิงไปครั้งหนึ่งก็ได้รับโชคดีหลังโชคร้าย ฝ่าทะลุคอขวดใหญ่ได้สำเร็จ กลายเป็นเทพเซียนก่อกำเนิด แต่วันนี้ก่อนหน้าที่ฝูฉีจะเดินขึ้นแท่น ผู้ฝึกตนเฒ่ากลับพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ เขาก็จะไม่เข้าร่วมเรื่องเละเทะครั้งนี้อีก คราวก่อนยอมแหกกฎของตัวเองออกจากกระท่อมริมทะเลไปขัดขวางเจิ้งต้าเฟิงที่ตระกูลฝูถือว่าได้ทำหน้าที่ของผู้ถวายงานตระกูลฝูอย่างเต็มที่แล้ว สำหรับเรื่องนี้ฝูฉีไม่มีความเห็นต่าง เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่าวันหน้าฉู่เหล่าแค่ยิ้มมองคลื่นโถมตัวขึ้นลงบนทะเลผืนนี้ก็พอ จะไม่มีความวุ่นวายในโลกมนุษย์มารบกวนการฝึกตนอย่างสงบของฉู่เหล่าอีกแล้ว

ฝูตงไห่สีหน้าไร้อารมณ์ มองไม่ออกว่าดีใจหรือเสียใจ

เดิมทีเขาคิดว่าในช่วงเวลาที่ฝูหนันหัวลำพองใจมากที่สุด ตนวางแผนเล่นงานเจิ้งต้าเฟิงคือการสร้างคุณความชอบที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กให้แก่ตระกูลฝู สามารถข่มกำราบพลังอำนาจของฝูหนันหัวน้องชายลงได้บ้าง

ไหนเลยจะรู้ว่าเรื่องจะลุกลามมาถึงขั้นนี้ หลังจากที่เขาถูกเจิ้งต้าเฟิงทำร้ายให้บาดเจ็บหนักอยู่หน้าจวน ฝูฉีบิดาผู้เป็นเจ้านครถึงขั้นไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็น ทั้งไม่ลงโทษและไม่มีคำปลอบใจ ราวกับเห็นบุตรชายคนโตอย่างเขาเป็นคนตายไปแล้ว นี่ต่างหากที่ทำให้ฝูตงไห่คลุ้มคลั่งมากที่สุด ในฐานะเจ้าประมุขตระกูลฝู อีกทั้งยังสวมตำแหน่งเจ้านครมังกรเฒ่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกิจธุระในตระกูลหรือสถานการณ์ต่างๆ ในนครมังกรเฒ่า ฝูฉีล้วนเป็นคนที่ ‘พูดง่ายมาก’ มาโดยตลอด ยกตัวอย่างเช่นเขาไม่เคยข่มเหงหรือรังแกเพื่อห้ามปรามไม่ให้แซ่ใหญ่แซ่อื่นเจริญรุ่งเรือง สำหรับพวกเศษสวะที่ไม่อาจฝึกตนในตระกูลก็ยิ่งปฏิบัติด้วยเป็นอย่างดี แต่ในช่วงเวลาที่ฝูฉีพูดไม่ง่ายนั้น แม้แต่ผู้สืบทอดสายตรงอย่างฝูตงไห่ ฝูชุนฮวา เห็นแล้วก็ยังรู้สึกเหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจ

ฝูชุนฮวาเงยหน้ามองแผ่นหลังสูงใหญ่ที่กำลังเดินขึ้นสู่ที่สูงทีละก้าวนั้นด้วยสายตาเลื่อนลอย

นางยังจำภาพเหตุการณ์ตอนนั้นที่บิดาพานางไปหาเจิ้งต้าเฟิงได้ดี ทั้งสองฝ่ายไม่ถือว่าพูดคุยกันถูกคอ แต่ก็ไม่ถึงขั้นแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์ เพียงแค่ปณิธานแตกต่างไม่อาจร่วมทางก็เท่านั้น และนับแต่วันนั้นมาทั้งสองฝ่ายก็เป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง

ทว่าการกระทำเล็กๆ ของฝูตงไห่ในครั้งนี้กลับก่อให้เกิดคลื่นลมมรสุมใหญ่ถึงเพียงนี้ ในฐานะคนนอกสถานการณ์ครึ่งตัว ฝูชุนฮวากลับมองเหตุการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งกว่าฝูตงไห่ที่กระวนกระวายไม่เป็นสุข อันที่จริงฝูฉีผู้เป็นบิดาไม่ได้โกรธที่ครั้งนี้ฝูตงไห่ทำตัวอวดฉลาด กลับยังคล้ายจะดีใจอยู่เนืองๆ ด้วยซ้ำ เหมือนคนโง่เขลาคนหนึ่งที่ไม่เคยฝากความหวังไว้ให้ วันหนึ่งกลับจับผลัดจับผลูช่วยคนฉลาดที่รอคอยอย่างยากลำบากมานาน แต่กลับไม่อาจเข้ามาข้องเกี่ยวในเรื่องนี้ให้ทำเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งได้สำเร็จ

ฝูหนันหัวบุตรชายคนเล็กของฝูฉีที่ถูกคนเรียกขานว่า ‘เจ้านครน้อย’ มาโดยตลอดรู้สึกเบื่อหน่ายที่สุด

เจิ้งต้าเฟิงย่อมต้องตายอยู่บนแท่นมังกรอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงคนนั้น ได้แต่งงานกราบไหว้ฟ้าดินกันอย่างยิ่งใหญ่ก็จริง แต่หลังจากเข้าห้องหอกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ฝูหนันหัวรู้สึกว่าสามารถรับได้ เพียงแต่ว่าหน้าตาของนางอยู่นอกเหนือจากการคาดการณ์ของผู้คน ไม่ได้อ้วนฉุอัปลักษณ์อย่างที่เล่าลือกันภายนอก ต่อให้เปรียบเทียบกับจินซู่แห่งเกาะกุ้ยฮวาที่เขาเคยชอบในอดีตก็มีแต่จะเหนือกว่า ไม่มีด้อยกว่า แต่ฝูหนันหัวกลับไม่ได้สัมผัสความงามของนางเลยสักนิดเดียว เพราะว่าตอนนั้นที่คู่แต่งงานใหม่ซึ่งในนามถือว่าเป็นคู่สร้างคู่สมเข้าห้องหอกัน นอกจากบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงที่ถอดชุดแต่งงานเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงอย่างในเวลาปกติแล้ว ด้านหลังยังมีหมัวมัวผู้อบรมยืนอยู่อีกคน

ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดมากประสบการณ์ท่านหนึ่งที่สกุลเจียงเลี้ยงเอาไว้

ฝูหนันหัวหรือจะกล้าทำอะไร แค่มองบุตรสาวสกุลเจียงหรือภรรยาของตัวเองนานหน่อยก็ถูกหมัวมัวผู้อบรมท่านนั้นตวัดสายตาคมกริบมองมา มีเรื่องด้วยไม่ได้แล้วยังจะหลบเลี่ยงไม่ได้อีกหรือ ดังนั้นหลังจากนั้นมาฝูหนันหัวก็ไม่หาเรื่องน่าเบื่อใส่ตัวอีก นอกจากบางสถานการณ์ที่ต้องรักษาหน้าตาแล้วก็มีน้อยครั้งที่เขาจะหาเรื่องไปอยู่กับนางและหมัวมัวเฒ่าให้ตัวเองอึดอัดใจ ส่วนสตรีผู้นั้นก็เป็นคนรักษาคำพูด ต่อให้เป็นเงินที่ฝูหนันหัวออกไปดื่มเหล้ากับเพื่อน นางก็เป็นคนออกให้

ฝูหนันหัวรู้สึกว่าชีวิตแต่งงานใหม่เช่นนี้ดีมากแล้ว คนเราต้องรู้จักพอ

เดิมทีเขาก็แค่แต่งกับสถานะของบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงเท่านั้น สำหรับสตรีที่หน้าตางดงามเช่นนาง อยู่ในนครมังกรเฒ่าขอแค่ยอมทุ่มเงินก็หาได้หลายคน

ตระกูลติงยืนอยู่ตรงกลาง ตระกูลฟางและตระกูลโหวยืนขนาบอยู่ฝั่งซ้ายขวา

เพียงแต่ว่าวันนี้ตู้เหยี่ยน ‘ลูกเขย’ ของตระกูลติงที่มีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่จากสำนักใบถงกลับไม่ได้เผยโฉม

ไม่มาก็ดีเหมือนกัน บุคคลจากสามสกุลใหญ่ของนครมังกรเฒ่าที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกันนี้จะได้พูดคุยกันผ่อนคลายมากขึ้น ไม่ต้องคอยคาดเดาจิตใจของผู้สืบทอดสายตรงสำนักใบถงผู้นั้นตลอดเวลา กลัวว่าหากไม่ทันระวังพูดผิดไป หายนะจะมาเยือน

ถึงอย่างไรสำนักใหญ่ตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทวีปใหญ่ก็มีรากฐานลึกล้ำ ต่อให้ตระกูลใหญ่ทั้งหมดของนครมังกรเฒ่าซึ่งถือว่าเป็นเศรษฐีในแจกันสมบัติทวีปมารวมตัวกันก็ยังไม่อาจต้านทานได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่แต่ไหนแต่ไรมา ‘ลูกหลานตระกูลพ่อค้า’ ที่ถูกเยาะหยันว่าเป็นพวกฉวยโอกาสแสวงหากำไรอย่างพวกเขาก็เป็นดั่งเม็ดทรายกระจัดกระจายที่ไม่อาจรวมตัวกันได้อยู่แล้ว

เดิมทีแจกันสมบัติทวีปก็เป็นทวีปที่เล็กที่สุดในเก้าทวีปอยู่แล้ว แต่สำนักใบถงกลับเป็นสำนักตระกูลเซียนที่ใหญ่ที่สุดของใบถงทวีปซึ่งอยู่ทางทิศใต้

แขนใหญ่สู้ต้นขาไม่ได้ (เปรียบเปรยว่าอ่อนแอสู้แข็งแกร่งไม่ได้) ตระกูลฟางและตระกูลโหวต่างก็แอบดีใจ ถึงอย่างไรตู้เหยี่ยนที่สถานะสูงศักดิ์ยอมปกป้องตระกูลติงก็เพียงแค่เพื่อสตรีแซ่ติงคนหนึ่ง ไม่ใช่บุรพาจารย์ผู้เต็มไปด้วยตำนานอันน่าสนใจที่อยู่เบื้องหลังเขาผู้นั้นที่เกิดความสนใจในนครมังกรเฒ่า

ตอนนี้ตระกูลติงตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถมากที่สุด ถูกเจิ้งต้าเฟิงคนเดียวเล่นงานจนจวนเกือบจะทะลุพังถล่ม

แต่วันนี้ลูกหลานตระกูลฟางที่เป็นตัวการของเรื่องร้ายกลับโอหังลำพองใจอย่างยิ่ง ไม่มีท่าทางห่อเหี่ยวเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้กำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานอยู่กับคนของตระกูลโหวซึ่งเป็นสหายที่นิสัยชั่วร้ายพอๆ กับเขา

เขาจะไม่อารมณ์ดีได้อย่างไร เจ้าคนบ้าแซ่เจิ้งผู้นั้นใกล้จะถูกซ้อมตายอยู่บนแท่นมังกรแล้ว เขายังเตรียมเงินก้อนใหญ่ไว้แล้วด้วย ขอแค่กลับไปถึงเมืองก็จะจัดงานเลี้ยงใหญ่ทันที สตรีคนใดก็ตามที่เคยเป็นลูกจ้างในร้านยาฮุยเฉินมาก่อน ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อย หน้าตางดงามหรืออัปลักษณ์ก็จะต้องถูกโยนเข้าไปในซ่องชั้นต่ำที่สุดของนครมังกรเฒ่าเพื่อเป็นหญิงคณิกา เจ้าเจิ้งต้าเฟิงทำเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ก็เพียงแค่เพื่อนางแพศยาในโคลนตมคนหนึ่งไม่ใช่หรือ ตอนนี้เสียใจภายหลังแล้วหรือไม่?

ตระกูลซุนกับตระกูลฟ่านอยู่ห่างจากคนสองกลุ่มจากตระกูลฝูและตระกูลติงฟางโหวไปไกลมาก

อีกทั้งคนของทั้งสองตระกูลที่มาร่วมความครึกครื้นครั้งนี้ก็มีน้อยมาก

ซุนเจียซู่เจ้าประมุขตระกูลซุนไม่ได้ปรากฏตัว ตระกูลฟ่านก็มีแค่ผู้เฒ่าที่ดูแลควันธูปในศาลบรรพชนคนเดียวที่มา คนอื่นๆ ล้วนเป็นลูกหลานสายรองที่ความสามารถพอจะโดดเด่นอยู่บ้าง

เมื่อรถม้าสามคันขับเคลื่อนเข้ามาในม่านสายตา

กลุ่มของสกุลใหญ่ที่ต่างก็มีกิจการอยู่ในนครมังกรเฒ่าไม่ได้ส่งเสียงดังเอะอะใดๆ ไม่ได้ชี้ไม้ชี้มือใส่ ต่อให้เป็นลูกหลานตระกูลฟางที่มั่นใจว่าเจิ้งต้าเฟิงต้องตายอยู่บนแท่นมังกรก็ยังกลั้นหายใจทำสมาธิ หุบรอยยิ้มลง

ไม่ว่าจะนิสัยดีหรือชั่วร้าย

วันนี้คนที่สามารถยืนอยู่ที่นี่ล้วนเป็นหน้าเป็นตาของตระกูลได้ไม่มากก็น้อย ไม่มีใครที่เป็นคนโง่จริงๆ

ก็เหมือนกับการชมศึกครั้งนี้ เหตุใดทุกตระกูลถึงไม่ได้ให้เซียนดินเรียกสมบัติอาคมออกมาใช้ ไม่ยืนอยู่ในศาลา หอเก๋ง เรือข้ามฟากขนาดเล็ก ไม่บินทะยานไปกลางอากาศ ให้ทุกคนได้มองเห็นสนามรบอย่างชัดเจนและสบาย? แต่ยอมยืนอยู่ด้านล่างหอมังกรแต่โดยดี เพียงแค่ใช้เวทคาถาบนภูเขาที่คล้ายคลึงกับ ‘บุปผาในกระจกจันทราในธารา’ มาชมศึกแทนเท่านั้น?

ถึงขั้นไม่มีใครกล้าเสนอความเห็นนี้

นี่ก็คือพลังอำนาจยิ่งใหญ่ที่ตระกูลฝูสะสมมานานเป็นพันปี และยังเป็นความฉลาดเฉลียวที่คนของตระกูลใหญ่และตระกูลพ่อค้าในนครมังกรเฒ่าสมควรมี

รถม้าสามคันจอดลงช้าๆ อยู่ใกล้กับแท่นมังกร

สายตาของคนในตระกูลฝูคลุมเครือ แน่นอนว่าไม่มีใครกระโดดออกมาพูดจาท้าทายใส่กลุ่มของเจิ้งต้าเฟิง เพราะอาจจะตายได้ อีกทั้งยังทำให้ตระกูลฝูขายหน้า หากเป็นอย่างนั้นแม้แต่คนตระกูลฝูเองก็ยังรู้สึกว่าคนผู้นั้นตายไปก็ไม่น่าเสียดาย อย่าได้อยู่ให้สิ้นเปลืองเงินทองของตระกูลอีกเลย

เจิ้งต้าเฟิงเดินขึ้นไปบนแท่นสูงเพียงลำพัง

ไม่ได้มีคำบอกลาใดๆ กับพวกเฉินผิงอัน แค่เดินก้าวยาวๆ ขึ้นไปยังที่สูงเท่านั้น

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน ไม่นานก็ดึงสายตากลับมา เพียงแค่เงยหน้ามองไปตามขั้นบันไดเท่านั้น

ฝูหนันหัวที่อยู่ห่างไปไกลจ้องมองเจ้าหมอนี่ด้วยความประหลาดใจอย่างหนัก เด็กหนุ่มผอมดำแห่งตรอกหนีผิงในปีนั้นโชคดีไม่น้อยเลยจริงๆ หลังออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีก็มีพื้นฐานเช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่ไม่อ้อมผ่านเขาฝูหนันหัวและนครมังกรเฒ่าไป กลับกันยังบุกเข้ามาก่อกวนสถานการณ์ อีกทั้งคราวก่อนในกลุ่มคนที่เดินทางมาอวยพร ไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรืองทีเดิมทีควรตายจนตายไปมากกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว ไม่เพียงแต่มีชีวิตรอดออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู พอกลับไปถึงภูเขาเมฆาเรือง ตบะของนางไม่เพียงไม่ถอยกลับยังรุดหน้า อีกทั้งวันนั้นหลังจากที่นางพบตน ท่าทางของไช่จินเจี่ยนก็มีค่าพอจะให้คนขบคิด

หลังจากที่เจิ้งต้าเฟิงเดินเข้าไปยังจุดที่สูงที่สุดของแท่นมังกรแล้ว

เส้นสายตาของเฉินผิงอันจึงมองเลยไปยังจุดที่สูงยิ่งกว่า ตรงนั้นคือทะเลเมฆผืนหนึ่ง เพียงแต่ว่าเมื่อตัวอยู่ในอาณาเขตของนครมังกรเฒ่า เงยหน้ามองไปกลับมองไม่เห็น มีเพียงนั่งโดยสารเรือข้ามฟาก หลุบตามองลงมาจากที่สูงเท่านั้นถึงจะเห็นทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่และงดงามนี้

ตามคำบอกของเจิ้งต้าเฟิง ทะเลเมฆผืนนี้ต่างหากถึงจะเป็นรากฐานที่ทำให้ตระกูลฝูหยัดยืนอยู่ในนครมังกรเฒ่ามานานนับพันปีได้อย่างแท้จริง

มีประวัติศาสตร์ยาวนานจนสามารถย้อนทวนไปถึงช่วงเวลาที่มังกรแท้จริงตัวสุดท้ายบนโลกขึ้นฝั่งที่แจกันสมบัติทวีปได้เลย

หลังจากนั้นมาถึงได้มีเส้นทางมังกรเดินใต้ดินสายนั้น มีการเข่นฆ่านองเลือดที่ผู้ฝึกตนใหญ่ของถ้ำสวรรค์หลีจูตายกันเป็นใบไม้ร่วง มีซุ้มประตูก้ามปูและเมืองเล็กแห่งนั้น มีบ่อน้ำ มีค่ำคืนที่หิมะใหญ่ตกกระหน่ำ มีเด็กสาวที่เกือบจะแข็งตายมาล้มลงหน้าประตูบ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอันในตรอกหนีผิง มีเหตุการณ์ที่เฉินผิงอันช่วยนางไว้โดยบังเอิญ แต่นางกลับไปอยู่บ้านข้างๆ ไปเป็นสาวใช้ของซ่งจี๋ซิน

นักพรตเฒ่าตงไห่พาเฉินผิงอันเดินท่องไปในพื้นที่มงคลดอกบัวไม่รู้กี่ปี ไม่รู้ว่าเป็นระยะทางกี่หมื่นลี้ ระหว่างนั้นผู้เฒ่าเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘เรื่องราวบนโลก ล้วนมีเส้นสายที่สามารถมองเห็น ทุกความคิดของคนบนโลก ล้วนมีแนวทางให้สืบเสาะ’

เพียงแต่ว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ที่เฉินผิงอันยังไม่อาจศึกษาใคร่ครวญได้อย่างลึกซึ้ง

เหนือศีรษะของทุกคน บนทะเลเมฆผืนใหญ่ยักษ์มีสตรีสวมชุดกระโปรงสีเขียวคนหนึ่งนอนอยู่ นางเหม่อมองม่านฟ้าเบื้องบนที่ปกป้องอาณาประชาราษฎร์ของใต้หล้าเอาไว้ หากสามารถมองไปได้ไกลกว่านี้อีกหน่อยก็คงดี

เพียงแต่ว่ามองเห็นแล้วอย่างไร ราชวงศ์บนโลกมนุษย์ แคว้นล่มสลาย แต่แม่น้ำและภูเขายังคงอยู่ ถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ใบหญ้าก็ยังคงแผ่ปกคลุมเมือง นาง ซุนเจียซู่ในนครมังกรเฒ่าที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า สตรีคนนั้นที่เคยพบหน้ากันครั้งหนึ่งริมลำคลองหลงซวี และน่าจะมีคนอีกบางส่วน แต่พวกเขาล้วนทำไม่ได้

ส่วนนังหนูผู้นั้นที่ก่อนหน้านี้เดินขึ้นมาบนแท่นมังกร หวังจะช่วงชิงทะเลเมฆ น่าจะเป็นเพราะต้องการซ่อมแซมชุดคลุมมังกรที่ตระกูลฝูสร้างขึ้นชิ้นนั้นให้สมบูรณ์ ถึงเวลานั้นก็มีหวังว่าจะขยับชุดคลุมมังกรเฒ่าที่เป็นอาวุธกึ่งเซียนให้กลายเป็นอาวุธเซียนที่สมชื่อชิ้นหนึ่งได้สำเร็จ

นี่เป็นเรื่องที่ฟ่านจวิ้นเม่าสนใจอย่างยิ่ง

การช่วงชิงบนมหามรรคามีอันตรายรายล้อมรอบด้านยิ่งกว่าการเดิมพันด้วยชีวิต

เหมือนกับนาง ตายไปหนึ่งครั้ง ไม่นับเป็นอะไรได้

ขอแค่ควันธูปบนมหามรรคายังไม่ขาดสาย ย่อมสามารถหวนกลับมาใหม่ได้อีกครั้ง

ดังนั้นผู้เฒ่าในร้านตระกูลหยางจึงเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่อาจตาย ขอแค่ผู้เฒ่ายังสามารถพ่นควันโขมงอยู่ที่นั่นได้ นางที่ชีวิตนี้อาศัยเรือนกายของฟ่านจวิ้นเม่า หลี่หลิ่วบุตรสาวของหลี่เอ้อร์ คนทุกคนที่ผู้เฒ่าเลือกไว้ แม้ตัวตาย แต่มรรคาก็ไม่ต้องดับสลาย

ดังนั้นหากพูดถึงใต้หล้าแห่งนี้ นอกจากผู้เฒ่าแล้ว ฟ่านจวิ้นเม่ายังจะกลัวใครอีกเล่า

คำตอบคือไม่มี

ต่อให้เป็นบรรพจารย์สามลัทธิที่เดินไปถึงปลายทางบนมรรคาแล้ว หากพวกเขาทั้งสามคนมาเยือนนครมังกรเฒ่า ใช้วิชาอภินิหารที่สูงส่งยิ่งกว่าของผู้เฒ่า เพียงแค่ดีดนิ้วนางก็สามารถแหลกสลายกลายเป็นผุยผงได้ตามความหมายที่แท้จริง ถึงอย่างนั้นนางก็คงแค่เคียดแค้นอยู่ในใจ แต่ไร้ซึ่งความเคารพยำเกรง

ในข้อนี้ ฟ่านจวิ้นเม่ากับจื้อกุยที่เดินขึ้นบนหอสูง มหามรรคาแตกต่าง แต่จิตใจกลับเชื่อมโยงถึงกัน

นางพลันลุกขึ้นยืน มองฝูฉีที่อยู่บนแท่นมังกรด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ

เจิ้งต้าเฟิงเดินไปถึงยอดบนสุดแล้ว

ฝูฉีตั้งมั่นพร้อมต่อสู้

—–