บทที่ 96 มามีลูกสาวกันเถอะ โดย EnjoyBook
บทที่ 96 มามีลูกสาวกันเถอะ
พวกเขาทานอาหารกลางวันกันที่บ้านของสะใภ้สี่
หลินชิงเหอไม่ขี้เหนียวแต่อย่างใด เธอทำอาหารจานใหญ่จำนวน 2-3 จานเลี้ยงคู่บ่าวสาว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูชื่นมื่นกลมเกลียวยิ่งนัก
ขณะที่ซูต้าหลินปั่นจักรยานพาโจวเสี่ยวเม่ยกลับ เขาก็พูดตะกุกตะกัก “พี่…พี่ชายสี่…กับ…พี่สะใภ้สี่…ใจดี…มาก ๆ ครับ”
โจวเสี่ยวเม่ยกอดเอวสามีไว้ด้วยความรักใคร่ “แน่อยู่แล้วค่ะ ต้าหลิน พี่สะใภ้สี่บอกกับฉันว่าเราต้องประหยัดเงินบ้างแล้ว เราจะได้มีโอกาสซื้อบ้านหลังใหญ่อยู่กันน่ะค่ะ”
ซูต้าหลินเห็นด้วย แม้ครั้งนี้เขาจะใช้เงินเป็นจำนวนมากในการแต่งภรรยา แต่เขาก็ยังมีเงินเก็บในบัญชีมากกว่า 1,000 หยวน ซึ่งในยุคนี้ถือว่าครอบครัวนี้รวยมากแล้ว
คู่สามีภรรยากลับบ้านไปแล้ว ขณะที่ทางฝั่งคู่ของหลินชิงเหอกำลังหารือกันอยู่
“ถึงเขาจะพูดติดอ่างไปหน่อย แต่ตราบใดที่เขาดูแลเสี่ยวเม่ยด้วยใจทั้งหมดที่มี มันก็คงจะไม่มีปัญหานะคะ” หลินชิงเหอบอกโจวชิงไป๋
“อืม” ชายหนุ่มส่งเสียงเป็นการรับรู้
เขาไม่มีความรังเกียจน้องเขยคนนี้ ยิ่งกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีเยี่ยม
“พี่สาวใหญ่กับพี่สาวรองไม่มีเวลากลับมาตอนที่เสี่ยวเม่ยแต่งงานแล้ว พวกหล่อนคงจะได้กลับมาในวันที่สองของปีใหม่หน้าแน่เลยค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ย
ครั้งนี้โจวเสี่ยวเม่ยแต่งงานแล้ว พี่สาวใหญ่บ้านโจว โจวเสี่ยวเจวียน กับพี่สาวรองบ้านโจว โจวเสี่ยวจวี ไม่ได้กลับมาบ้าน
ตอนนี้โจวเสี่ยวเจวียนเป็นหวัดหนักมาก แต่หล่อนก็ฝากเงินแสดงความยินดีจำนวน 5 หยวนมากับสามีเพื่อเป็นการแสดงน้ำใจจากหล่อน
ส่วนโจวเสี่ยวจวีก็ไม่มีทางเลือกต้องดูแลแม่สามีที่ป่วยเป็นหวัดหนัก เพราะสามีเป็นลูกชายคนเดียวของนาง หล่อนเองก็ให้สามีส่งเงิน 5 หยวนมาเป็นเงินแสดงความยินดีด้วยเช่นกัน
พี่สาวใหญ่กับพี่สาวรองคือลูกสาวคนโตสองคนของบ้านตระกูลโจวที่อาวุโสกว่าพี่ชายใหญ่ หากนับรวมกันแล้ว พี่ชายใหญ่จะเป็นลูกคนที่สาม
แต่ที่นี่ไม่ได้นับญาติรวมกันแบบนั้น พวกเขานับเฉพาะฝั่งผู้ชายกับฝั่งผู้หญิงแยกกัน
“คุณอยากเข้าอำเภอไหมครับ?” โจวชิงไป๋มองภรรยาอย่างเข้าใจ
“ไปวันที่สามของช่วงปีใหม่แทนวันที่สองดีกว่าค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยหลังตัดสินใจ
ถ้าโจวเสี่ยวเม่ยอยากมาเยี่ยม ดังนั้นปีนี้พวกเขาต้องอยู่ที่บ้าน ส่วนพี่สาวใหญ่กับพี่สาวรองจะมาหรือไม่นั้นไม่สำคัญ เพราะหลินชิงเหอไม่รู้จักมักจี่กับพวกหล่อน
จากนั้นหลินชิงเหอก็หยิบรูปถ่ายของเมื่อปีที่แล้วขึ้นมาดู
เจ้าใหญ่ เจ้ารอง และเจ้าสามมาห้อมล้อมรอบเธอ พวกเขาชอบรูปถ่ายของตัวเองมาก
“แม่ครับ ปีนี้เราจะยังได้ถ่ายรูปตอนเข้าไปในเมืองไหมครับ?” เจ้าใหญ่มองแม่ของตนอย่างคาดหวัง
“ถ่ายไหมครับแม่?” เจ้ารองมองแม่อย่างมีความหวังเช่นกัน
“อยากถ่ายรูป!” เจ้าสามพยักหน้า
หลินชิงเหอพยักหน้า “ในเมื่อปีนี้ลูก ๆ ทำตัวดีมาก เราก็จะถ่ายรูปสำหรับปีหน้ากันนะ”
เด็กชายทั้งสามส่งเสียงร้องลิงโลด
หลินชิงเหอยังคงดูรูปถ่ายจนถึงเย็น หลังจากดูรูปตัวเองจนหนำใจแล้ว เธอก็ชื่นชมรูปของโจวชิงไป๋บ้าง
โจวชิงไป๋ในรูปถ่ายยังคงดูเคร่งขรึม ต่อให้หลินชิงเหอจะขอให้เขามีท่าทีอ่อนลงก็ตาม เขาก็ยังไม่ยิ้ม มันคงเป็นบุคลิกของผู้ชายอย่างเขาเอง
“เหลือแค่กรอบรูปแล้วล่ะที่เรายังไม่มี ไม่อย่างนั้นฉันคงใส่รูปพวกนี้ลงในกรอบรูปแล้ว” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้น
สายตาของโจวชิงไป๋ดูอ่อนลง “งั้นผมจะขอให้ช่างทำให้นะ”
“ช่างเถอะค่ะ ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตแล้วกัน ถ้าเราถ่ายรูปกันทุกปีเราก็จะมีรูปอยู่เยอะมาก อย่าเพิ่งทำอะไรที่มันกินพื้นที่เลยค่ะ” หลินชิงเหอเปลี่ยนใจอีกครั้ง
โจวชิงไป๋จึงปล่อยให้เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของเธอ
ตอนนี้หิมะกำลังตก ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องทำ โจวชิงไป๋จึงทำเพียงนำลูกหมูตัวใหม่สองตัวมาเลี้ยง ส่วนหลินชิงเหอก็ปรุงอาหารทุกวัน
อาหารที่เธอทำก็มีหมั่นโถวฟักทอง หมั่นโถวข้าวโพดบด หมั่นโถวถั่วแดง จ้านโถวเปา และโจ๊กแปดสมบัติ ซึ่งหญิงสาวทำทุกสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ในคราวเดียว
ของเหล่านี้เป็นอาหารจานหลัก นอกนั้นยังมีกับข้าวที่เป็นเนื้อตุ๋นและแกงจืดหลากหลายชนิด
ร่างกายไม่ต้องการอะไรบำรุงเพิ่มเติมในช่วงฤดูหนาวแล้ว หลังทำงานหนักมาตลอดหนึ่งปี มันก็ได้เวลาพักผ่อน
เด็ก ๆ ต่างพอใจกับอาหาร โจวชิงไป๋เองก็เช่นกัน
พลังงานของเขาไม่หมดง่าย ๆ ไปกับการตื่นแต่เช้าเพื่อลุกมาวิ่งออกกำลังกาย หลินชิงเหอเลยต้องทนเป็นคู่กิจกรรมให้เขาในตอนกลางคืนอยู่เสมอ
“คืนนี้คุณนอนดี ๆ ไปนะคะ อย่าทำอะไรห่าม ๆ ล่ะ ได้ยินไหม?” หลินชิงเหอเตือนโจวชิงไป๋ เมื่อคืนนี้พวกเขาทำกันแรงไปหน่อยจนเจ้าใหญ่เกือบตื่นกลางดึก
เด็กชายทั้งสามนอนหลับกันเร็วมากในฤดูหนาว
“คุณเองก็ทนไม่ไหวจนต้องร้องออกมาไม่ใช่เหรอ” โจวชิงไป๋มองเธอด้วยแววตาขบขัน
‘ก็คุณทำแรงขนาดนั้น ฉันจะทนยังไงไหว!’ หลินชิงเหอคิด
พอถึงตอนเย็น หลินชิงเหอก็สอนการบ้านให้เจ้าใหญ่ ซึ่งเด็กชายได้เอ่ยขึ้นมาว่า “แม่ครับ ในปีหน้านี้ผมอยากเรียนให้ถึงป.สามเลย ป.สองมันง่ายเกินไป”
“ก็ได้จ้ะ เมื่อเวลานั้นมาถึงก็ให้พ่อพาไปนะ เมื่อไหร่ที่ลูกสอบผ่านก็จะได้เรียนชั้นป.สาม” หลินชิงเหอยังคงรับฟังความคิดเห็น
จากการที่แม่ของตนติวให้ทุกคืน เจ้าใหญ่ก็มีความรู้อยู่ในระดับกึ่งป.สาม จนระดับป.สองดูง่ายเกินไปสำหรับเขา ปีนี้เขาสอบได้ 100 คะแนนเต็มทุกรอบ ชี้ให้เห็นว่าเขาเก่งกาจในด้านการเรียนขนาดไหน
มันจึงไม่มีปัญหาเลยหากเขาจะเลื่อนไปเรียนชั้นป.สาม ในตอนนี้โรงเรียนประถมศึกษาทั่วประเทศเป็นหลักสูตร 5 ปี ยังไม่ใช่หลักสูตร 6 ปีแต่อย่างใด
“พ่อครับ พ่อได้ยินที่แม่พูดแล้วใช่ไหมครับว่าปีหน้าผมจะขึ้นชั้นป.สาม” เจ้าใหญ่บอกกับผู้เป็นพ่อ
โจวชิงไป๋เองก็ไม่คัดค้าน
เขาไม่ค่อยเข้ามายุ่งกับการเรียนของเด็ก ๆ เท่าไรนัก จะเข้ามาสอนพวกเขาตอนที่เด็ก ๆ ทำผิดเท่านั้น
ดังนั้นเรื่องที่เจ้าใหญ่จะเลื่อนชั้นไปอยู่ระดับประถมศึกษาปีสามในปีหน้าจึงเป็นเรื่องแน่นอน
ซึ่งหลินชิงเหอก็มีส่วนช่วยให้เจ้าใหญ่ได้เลื่อนชั้น
ในปีหน้าเจ้าใหญ่จะมีอายุ 7 ขวบ ถือว่ายังเร็วเกินไปที่จะเรียนในระดับประถมศึกษาปีที่สาม แต่ในเมื่อเขาสามารถเรียนได้มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีมาก
เพราะว่ามันจะมีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีค.ศ. 1977 ตอนนี้เป็นปีค.ศ. 1970 และจะเป็นปี 1971 หลังปีใหม่นี้
เขาอาจจะไม่ทันสอบเข้ามหาวิทยาลัยในรอบแรก แต่คงมีสิทธิ์สอบในรอบที่สองหรือสามก็ได้เมื่อเวลานั้นมาถึง
ถึงตอนนั้นเจ้าใหญ่คงจะมีอายุ 14 หรือ 15 ปี ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีหากเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
เธอเชื่อว่าเด็ก ๆ ที่เธอสอนนั้นสามารถดูแลตัวเองและพึ่งพาตัวเองได้ ต่อให้มีอายุ 14 หรือ 15 ปีก็ตาม
“แม่ ผมจะได้ไปโรงเรียนไหมครับ?” เจ้ารองถาม
หลังปีใหม่นี้ เขาก็จะมีอายุครบ 5 ขวบ
“เอาไว้เมื่อลูกอายุ 6 ขวบแล้วค่อยพูดกันนะ ตอนนี้ลูกเรียนอยู่ที่บ้านไปก่อน หลังปีหน้าลูกก็จะได้ไปโรงเรียนและก็จะได้เลื่อนชั้นเหมือนพี่ชายของลูกไง” หลินชิงเหอกล่าว
เจ้ารองพยักหน้าเมื่อได้ยินดังนี้
หลังส่งเจ้ารองเข้านอนแล้ว เจ้าสามก็หันมามองเธอ ทำให้หลินชิงเหอยิ้มกริ่ม “เจ้าสามยังเล็กนัก ลูกอยู่กับแม่ที่บ้านไปก่อนนะ รอจนกว่าลูกจะโตมากกว่านี้แล้วแม่ค่อยส่งลูกเข้าเรียน”
“ผมอยากได้กระเป๋านักเรียนครับ” เจ้าสามบอก
เด็กน้อยหมายตากระเป๋านักเรียนของพี่ชายมานานแล้ว
“ได้จ้ะ เมื่อไหร่ที่ลูกไปโรงเรียน แม่จะเย็บกระเป๋านักเรียนให้ลูกนะ” หลินชิงเหอตกลง
เจ้าสามได้ยินแล้วก็รู้สึกพอใจ
สามพี่น้องเล่นกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลับไป ซึ่งทั้งสามคนมีนิสัยเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เมื่อใดที่ง่วงนอนแล้ว พวกเขาก็จะหลับไปในเวลาไม่นาน
“เด็กชายทะโมนตัวเหม็นสามคนนี้นี่” หลินชิงเหอพึมพำขณะห่มผ้านวมให้พวกเขา
“ภรรยาครับ เรามามีลูกสาวกันเถอะ” โจวชิงไป๋ดึงหญิงสาวเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนและเอ่ยเสียงทุ้มพร่า
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียวค่ะ ชีวิตคุณถูกกำหนดให้มีแต่ลูกชายเท่านั้น” หลินชิงเหอตอบ
โจวชิงไป๋ยิ้มกริ่มขณะทาบทับเธอไว้ใต้ร่างจนหญิงสาวเอ่ยอย่างกระวนกระวาย “อย่าทำบ้า ๆ นะคะ ปลุกปล้ำฉันทุกวันแบบนี้คุณไม่กลัวไตเสื่อมบ้างเหรอ?”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มีตัวละครใหม่เพิ่มมาอีกสองคนแล้วค่ะ พี่สาวใหญ่กับพี่สาวรองบ้านโจวจะมีบทบาทอย่างไร ติดตามตอนต่อ ๆ ไปนะคะ
เจ้าใหญ่เก่งมากลูก อายุเจ็ดขวบก็ได้ขึ้นชั้นป.สามแล้ว ผู้แปลตอนเจ็ดขวบยังอยู่ชั้นป.สองอยู่เลย
พ่อไม่แผ่วเลยค่ะ กะทำจนได้เจ้าสี่เจ้าห้าเลยใช่ไหมคะเนี่ย พ่อจะได้ลูกสาวสมใจไหม คงต้องติดตามต่อไปค่ะ
ปล. ผู้อ่านหลายคนอาจสงสัยว่าทำเรื่องอย่างว่าบ่อย ๆ แล้วมันจะทำให้ไตเสื่อมได้อย่างไร อันนี้เป็นความเชื่อทางการแพทย์แผนจีนน่ะค่ะ ที่เชื่อว่าหากมีกิจกรรมอย่างว่ามากเกินไปแล้วพลังงานในไตจะลดลง ส่งผลให้ไตเสื่อม ประมาณนี้
ไหหม่า (海馬)