โลกาวินาศล่มสลาย ตอนที่ 730 ทําความเคารพฉันสิ
ท่ามกลางความเงียบสนิทเสี่ยวเย่ยืนอยู่ตรงประตูเข้าค่าย สีหน้าดูน่าตลกอย่างมาก เขาตาโตจนแทบถลนออกมาจากเบ้า รูจมูกขยายเพราะตะลึงกับเรื่องน่าตกใจที่เกินกว่าจะรับได้ ส่วนฮวงชูเจิ้นที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้นก็ตะลึงไม่ต่างกัน เขาจำชูฮันและคนของชูฮันได้ อย่างไรก็ตามเขาคิดว่าเป็นชูฮันคนเดียวที่มีฝีมือ แต่ไม่เคยเลยว่าคนที่อยู่ในชุดเหมือนกับผู้ลี้ภัยจะน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้
แล้วที่ต้องรู้ก็คือทหารหลายสิบคนของเสี่ยวเย่ที่โดนโจมตีจนล้มไปกองกับพื้น ทั้งหมดนั้นคือมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ทั้งหมด
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจและพูดไม่ออกเพราะความกลัวเสี่ยวเย่ที่ตะลึงค้างไปนาน ทันทีที่ได้สติเขาก็ตะคอกออกมาเสียงดังตามอารมณ์ที่รุนแรง “เป็นผู้ลี้ภัยที่กล้าดีนี่ แม้แต่ทีมทหารมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ของค่ายหนานตู้แกยังกล้าทำร้าย พวกแกก่ออาชญากรรมมีโทษถึงตาย ยังไม่รีบก้มหัวอีก”
ทันทีที่เสี่ยวเย่ตะโกนออกมาไม่ได้มีเพียงแค่หัวเราะเยาะจากฝูงชน แต่มันยังมีเสียงชื่นชมผสมอยู่ด้วย
”แม้แต่ทีมมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ยังถูกเขาจัดการได้ภายในพริบตาคนคนนี้ทรงพลังเกินไป?”
”เขาน่าจะบนอันดับรายชื่อว่ามั้ย?”
ฟานเจี้ยนนิ่วหน้าเมินเฉยต่อเสี่ยวเย่อย่างสิ้นเชิง
ชายร่างยักษ์ที่ก่อนหน้านี้ผลักหลูปิงเซ่อกลัวจนเหงื่อแตกเขาคิดว่าฟานเจี้ยนคงเป็นคนแข็งแรงแต่ไม่คิดเลยว่าจะทรงพลังขนาดนี้ ถึงขั้นจัดการทีมมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ตัวคนเดียวได้ภายในแค่พริบตาเดียว
เขาเก่งกาจขนาดไหนกัน?!
เมื่อได้ยินเสียงถกเถียงรอบๆมันก็ยิ่งทวีคูณความโกรธของเสี่ยวเย่เข้าไปอีก ความอับอายขายหน้าที่ทั้งคู่สร้างให้เสี่ยวเย่ ทำให้เสี่ยวเย่เคียดแค้นจนอยากจะฆ่าทั้งสองทิ้งซะตอนนี้
”เร็วสิ!”ภายใต้ความเกรี้ยวกราดจนขาดสติที่ยั้งคิดเหตุผลไปแล้วสิ้นเชิง “รีบประกาศให้ฉันสิ รีบกองกำลังบังคับใช้กฏหมายมาจากตัวไอ้สองคนนี้ไปให้ฉันเดี๋ยวนี้ เอาพวกมันไปเข้าคุก!”
เสียงฮือฮาและพูดคุยของฝูงชนเริ่มขึ้นอีกครั้ง
”ทีมบังคับใช้กฎหมายของค่ายหนานตู้?พระเจ้า เราควรหนีไปตอนนี้เลยมั้ย?”
”อย่าโง่แกทำอะไรผิดรึไงถึงต้องหนี? ยังไงก็ตามฉันได้ยินว่าทีมบังคับใช้กฏหมายของหนานตู้ค่อนข้างแข็งแกร่งพอตัว”
”ทีมบังคับใช้กฏหมายใช้เก่งกาจขนาดนั้นเลยเหรอ?”
”ทีมบังคับใช้กฏหมายมีอำนาจอย่างเป็นทางการพวกเขาจะมาจัดการเรื่องเล็กๆแบบนี้เหรอ?”
”ไม่จำเป็นพวกเขาไม่มาแค่เพราะไอ้เด็กเสี่ยวเย่นี่เรียกมาหรอก ฉันได้ยินว่าผู้นำสูงสุดของทีมบังคับใช้กฏหมายคือพลโทเสี่ยว”
”หรือพวกเขาจะเกี่ยวข้องกันเป็นพ่อกับลูก!”
เจ้าหน้าที่รักษาประตูพึ่งจะได้สติกลับมาเมื่อตอนเสียงตะคอกของเสี่ยวเย่เขาไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับสถานการณ์ตอนนี้ดี เขาควรหรือไม่ควรรายงานทีมบังคับใช้กฏหมายและควรรายงานเรื่องนี้ต่อพ่อของเสี่ยวเย่หรือไม่
ส่วนเสี่ยวเย่ในตอนนี้ยิ่งเมื่อเจอกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบๆ และมีคนเอ่ยถึงตำแหน่งของพ่อเขา เสี่ยวเย่ก็ยืดอกอย่างอวดๆ เขายืนอยู่ตรงกลางของประตูเข้าค่ายโดยมีฮวงชูเจิ้นอยู่ข้างๆ ห่างออกไปตรงข้ามมีฟานเจี้ยนและหลูปิงเซ่อ เสี่ยวเย่เชิดหน้าและพูดจาข่มด้วยเพราะคิดว่าตัวเองมีอำนาจเหนือกว่า “ไม่ได้ยินเหรอไง พ่อของฉันเป็นพลโท พวกผู้ลี้ภัยน่าสมเพชแบบแก เป็นขยะที่ต่ำที่สุดในสังคมไม่มีวันที่จะขึ้นมาถึงระดับนี้ได้! ถ้ารู้จุดยืนของตัวเองแล้ว ก็คุกเข่า ขัดรองเท้าของฉันสิ แล้วฉันอาจจะอารมณ์ดีไว้ชีวิตพวกแกให้”
เมื่อได้ยินคำพูดดูถูกเหยียดหยามแววตาของหลูปิงเซ่อก็เปลี่ยนไปทันที ทันใดนั้นเขายกมือขึ้นแตะไหล่ฟานเจี้ยนเบาๆและเอ่ยถาม “เฮ้ เอ่อ หัวหน้าบอกว่าฉันเป็นกัปตันของทีม งั้นตำแหน่งฉันก็เทียบเท่าใช่มั้ย??”
ฟานเจี้ยนขมวดคิ้วและปัดมือหลูปิงเซ่อออกน้ำเสียงติดรำคาญ “นั่นหัวหน้านาย ไม่ใช่หัวหน้าฉัน นายไม่มียศตำแหน่งทางทหารเฉพาะเจาะจง แต่อำนาจของนายในค่ายเขี้ยวหมาป่าก็เทียบเท่ากับพลโท อยู่ในระดับผู้นำ”
หลังจากฟานเจี้ยนพูดจบมันก็มีเสียงหัวเราะสนั่นลั่น หน้าของเสี่ยวเย่ก็หงิกงอ “พวกแกคุยอะไรกัน?! ตำแหน่งเท่ากับพ่อฉัน?!”
หลูปิงเซ่อพยักหน้ารับอย่างจริงจัง”คุณควรจะทำความเคารพฉันซะดีกว่า”
มันเป็นเรื่องยากที่ใครจะได้เจอทั้งสามทีมจากกองทัพเขี้ยวหมาป่าดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่รู้จักหน้าตาหรือชื่อเสียง อีกทั้งพวกเขาไม่ได้เปิดเผยตัวต่อสาธารณะด้วย ทว่าตำแหน่งของพวกเขาไม่ได้ต่ำเลย โดยเฉพาะกัปตันของทั้งสามทีมที่มีอำนาจเทียบเท่ากับพลโทของจีน
ทีมหลงยาและฮูหยานั้นมีตัวตนและเป็นที่รู้จักดีสำหรับซางจิงอยู่แล้วแม้พวกเขาเองก็ไม่มียศตำแหน่งทางทหาร ทว่าพลเอกของจีนหลายคนก็ยังต้องรักษามารยาทและทำตัวสุภาพต่อหน้ากัปตันของทั้งสองทีมอย่างเหอเฟิงกลับ นั่นเพราะเหอเฟิงรับคำสั่งโดยตรงจากผู้บัญชาการมู๋คนเดียวเท่านั้น
ในทางเดียวกันตำแหน่งในค่ายเขี้ยวหมาป่านั้นถือว่าสูงยิ่งกว่าทีมหลงยาและฮูหยาที่ซางจิงซะอีก ท้ายที่สุดแล้ว ค่ายเขี้ยวหมาป่าคือสถานที่พัฒนาฐานทัพทหารที่ชูฮันสร้างขึ้นมาเอง และทหารของชูฮันทุกคนเหนือกว่าทหารของซางจิงอย่างทิ้งฝุ่น
และในกองทัพเขี้ยวหมาป่าทั้งหมดผู้บัญชาการสูงสุดคือตำแหน่งพเอก และมีเฉินช่าวเย่รับตำแหน่งพลโทแห่งจีนรองลงมือและยังเป็นกัปตันทีมยิงปืน รอลงมาก็คือทั้งสามทีมที่แข็งแกร่งที่สุดกว่าทุกคนในทุกๆด้าน ซึ่งกัปตันของทั้งสามทีมจึงน่าจะมีตำแหน่งและอำนาจพอๆกับพลโทไม่ใช่เหรอไง?
และถึงแม้อีกฝ่ายจะมีตำแหน่งสูงกว่าพวกเขายังไงยังไงก็ยังอยู่ภายใต้พลเอก!
คำพูดของหลูปิงเซ่อนั้นถูกต้องแล้วมันไม่ได้เป็นการกล่าวเกินจริงเลย กัปตันของทีมบังคับใช้กฏหมายของค่ายหนานตู้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม ก็ต้องยอมให้ชูฮัน
แต่เสี่ยวเย่ที่ได้ยินคำพูดของหลูปิงเซ่อนั้นโกรธจนหน้าดำหน้าแดงเขามองว่าอีกฝ่ายจงใจยั่วยุและเขาทนไม่ไหวอีกต่อไป เลือดวิ่งขึ้นหน้าจนแดงก่ำ
และในจังหวะนั้นก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจดังสะท้อนก้องมาจากทางประตูของค่าย “ไหนใครใหญ่มาจากไหน จนฉันต้องทำวันทยาหัตถ์ให้?”
”พ่อ”เสี่ยวเย่มีสีหน้าประหลาดใจกับเสียงที่ได้ยิน หากก็รีบหันกลับไปเรียกพ่อตัวเองอย่างตื่นเต้น
ฮวงชูเจิ้นที่ยืนอยู่ข้างๆเสี่ยวเย่ขมวดคิ้วหลังจากได้เห็นหลูปิงเซ่อ ในใจของฮวงชูเจิ้นก็เต็มไปด้วยข้อสงสัยมากมาย และมันก็เป็นครั้งแรกที่ฮวงชูเจิ้นต้องทำวันทยาหัตถ์ตามแหล่งที่มาของเสียง “ท่านพลโทเสี่ยวรุ่ย”
เสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นเป็นจังหวะจากที่ไกลและเริ่มเข้ามาใกล้เรื่อยๆจากภายในค่ายมุ่งหน้ามาที่ประตูมันแสดงถึงความผิดปกติอย่างชัดเจนและในเวลาเดียวกันก็มีเสียงทรงอำนาจดังขึ้น พร้อมกับเท้าที่ก้าวออกมาเผยให้เห็นร่างของคนที่ส่งเสียงขึ้น
เขาคือหนึ่งในพลโทที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งที่ค่ายหนานตู้หลังจากการเกิดปะทุของโลกาวินาศขึ้นเขาสวมชุดเครื่องแบบเต็มยศ สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย ผมถูกหวีเรียบแปล้อย่างดี รองเท้าบู้ทขัดมันวาววับสะท้อนแสง เพียงแค่มองแวบแรกก็รู้ได้เลยว่าพลังการต่อสู้ไม่ธรรมดา
ทันทีหลังจากการปรากฏตัวของพลโทเสี่ยวรุ่ยด้านหลังของเขาก็มีทีมทหารที่เดินตามมาเป็นขบวนอย่างพร้อมเพรียง ทุกคนมีสีหน้าภาคภูมิและเย่อหยิ่งในตัวเอง ที่เอวของทุกคนมีกุญแจที่ทำจากวัสดุพิเศษสำหรับโลกาวินาศ ซึ่งสามารถจับกุมได้ถึงมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ได้ถึงระยะ 3
เมื่อได้เห็นภาพนี้ทุกคนรอบๆต่างส่งสายตาเห็นใจมาให้หลูปิงเซ่อและฟานเจี้ยนกันใหญ่ ส่วนเสี่ยวเย่ก็มองอย่างเหยียดหยามและสะใจไปให้ทั้งคู่ ถ้าอยากจะรอดไปได้ก็เอาชนะทีมของพ่อเขาให้ได้สิ หึ ทีมที่ขึ้นชื่อของค่ายหนานตู้ คิดว่าจะรอดได้งั้นเหรอ!