ช่างโง่เง่านัก เพิ่งจะมารู้ว่าเสียเขาไปไม่ได้ ก็เอาเมื่อตอนที่กำลังจะเสียเขาไปแล้ว แม้จะหวาดกลัว และเหนื่อยยากเพียงใด แม้จะต้องฝืนธรรมชาติ นางคิดเพียงว่าจะเสียเขาไปไม่ได้ กโยซึลที่สติหลุดลอยไป ในที่สุดนางก็สามารถระงับว้าวุ่นที่เกิดขึ้นได้
“เราจะทำอย่างไรดี” จะสงบใจแล้วรอคอยผลการไต่สวนดี หรือ…
“หากเรามีสิ่งที่เราพอจะทำได้อยู่บ้างล่ะก็”
กโยซึลที่เคยตัวสั่นเทา เกิดมีแววตาเป็นประกายขึ้นมา ราวกับว่าความยุ่งยากลำบากใจและความเคียดแค้นที่เคยเอ่อล้นทั้งหมดนั้น ได้ถูกหลอมรวมเป็นเม็ดสีเข้มที่อยู่ลึกในดวงตาของกโยซึล
***
กโยซึลตั้งสติขึ้นมาได้ นางรีบหยุดความว้าวุ่นใจ แล้วเร่งรุดมุ่งไปยังตำหนักบุกบี กโยซึลสรุปเอาเองว่าการที่จะช่วยให้รูแฮหลุดพ้นข้อกล่าวหาเท็จนี้ได้เร็วที่สุดนั้น ก็คือคำให้การจากปากเหยื่อในเหตุการณ์นี้ ซึ่งก็คือฮเยจินนั่นเอง
“ห้ามเข้าพ่ะย่ะค่ะ”
ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวข้ามประตูใหญ่ของวังเหนือไป นางก็ถูกขัดขวางด้วยหอกและดาบของทหารราชองครักษ์เสียแล้ว แม่นมที่เดินตามกโยซึลมา ออกไปยืนข้างหน้า พร้อมพูดตำหนิทหารเหล่านั้น
“เสียมารยาท! ทราบหรือไม่ว่าท่านผู้นี้เป็นใคร!”
“พระชายาฮวางแทจา ข้าน้อยต้องขออภัยยิ่ง แต่นี่คือคำสั่งขององค์จักรพรรดิพ่ะย่ะค่ะ” ทหารก้มหัวขอโทษกโยซึล
“เนื่องจากมีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น การเข้าพบชายาเซจาจึงเป็นเรื่องยากสินะ”
ด้วยความใจร้อน กโยซึลจึงไม่ทันได้คิด แต่ไหนๆ ก็ออกมาถึงขนาดนี้แล้ว จะให้กลับไปมือเปล่าไปได้อย่างไรกัน กโยซึลมองตำหนักบุกบีซึ่งถูกห้อมล้อมไปด้วยเหล่าทหารราชองครักษ์ด้วยสายตาว่างเปล่า จากนั้นจึงหันหลังกลับไป
“แม่นมบอกว่าฝ่าพระบาทฮวางแทจาเป็นผู้รับผิดชอบการไต่สวนใช่หรือไม่”
“เพคะ พระชายา”
แม่นมตอบกลับไปด้วยความหวั่นใจ นางนึกถึงกโยซึลที่แทบจะหมดสติหลังจากได้ฟังข่าวที่น่าตกใจในตอนแรก กโยซึลที่เคยกรีดร้องสติหลุดนั้น แววตาเปลี่ยนไป และเริ่มคิดบางสิ่งอย่างรอบคอบ แม่นมเพิ่งเคยเห็นสีหน้าสุขมและสงบเยือกเย็นเช่นนี้จาดกโยซึลเป็นครั้งแรก จนเริ่มหวั่นเกรง
กโยซึลที่แสนบอบบาง กำลังคิดคำนวณสิ่งใดอยู่ในศีรษะน้อยๆ ของนางกัน แม้ตนจะเป็นแม่นมที่อยู่ข้างๆ นางมาแล้วหลายสิบปี แต่ก็ไม่อาจวิเคราะห์ออกมาได้โดยง่ายเลย ดังนั้นแม่นมจึงยิ่งหวาดกลัวและวิตกยิ่งขึ้นไปอีก
“เราต้องไปที่ตำหนักดงชอน”
“พระชายาเพคะ!”
“หากฝ่าพระบาททรงเป็นผู้ไต่สวนล่ะก็” กโยซึลก้าวไปอย่างไม่รอรี ย่างก้าวของนางเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าตอนไหน ไม่มีสิ่งใดหยุดนางได้ และแม่นมที่ยังลังเล ก็ออกเดินตามนางไปในที่สุด กโยซึลเริ่มพูดอย่างกึ่งอ่อนโยนสลับกับพูดอย่างเด็ดเดี่ยวมาสักพักแล้ว ทว่าแม้แต่แม่นมเองก็ไม่อาจสังเกตุใด
ตำหนักดงชอนนั้นว่างเปล่า ข้าราชบริพารที่นั่นพากันงงงวยกับการปรากฏตัวของกโยซึล กระนั้น
กโยซึลก็ยังยืนยันหนักแน่นว่าจะรอให้ได้ เนื่องจากนางเป็นผู้ที่พวกเขาไม่อาจแตะต้องได้ ดังนั้นแม้บีพาอันจะสั่งเอาไว้อย่างเด็ดขาดเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปิดประตูห้องบรรทมให้นางเข้าไป
กโยซึลนั่งรอบีพาอันอย่างเหงาหงอย นางกัดริมฝีปากแน่นและขมวดคิ้ว แม้บรรยากาศอันหนักอึ้งของตำหนักดงชอน ก็ไม่อาจระงับจิตใจของกโยซึลลงไปได้เลย
“ยูอนบูอิน”
“เพคะ เพคะ พระชายาฮวางแทจา” แม่นมที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ กโยซึลตอบด้วยความงงงวย เพราะเป็นครั้งแรกที่กโยซึลเรียกตนด้วยชื่อตำแหน่งแบบเต็ม แม่นมจึงตกใจและเรียกกโยซึลว่าแบบเต็มยศว่า
‘พระชายาฮวางแทจา’ เช่นเดียวกัน
“ไปสอดแนมเรื่องที่ศาลหลวงในตอนนี้ให้เราที พอการไต่สวนจบแล้ว กลับมาให้ถึงก่อนฮวางแทจามาบอกเราว่าเขาไต่สวนสิ่งใดกันบ้าง เขาผู้นั้นได้พบปัญหาใดบ้าง แล้วก็ได้ติดกับดักใดไปบ้าง”
“…พระชายา”
“เร็วเข้า” กโยซึลพูดอย่างหนักแน่นอีกครั้ง แม้แต่แม่นมที่คอยดูแลนางมาตั้งแต่ในท้อง ก็เพิ่งจะเคยเห็นมันครั้งแรก
“ทราบด้วยเกล้าเพคะ”
แม่นมก้มหัวคำนับอย่างสุภาพอ่อนน้อม แม่นมที่ได้เห็นท่าทีสุขมของนายตนเป็นครั้ง รู้สึกราวกับว่าความรู้สึกกำลังจะท่วมท้นออกมา ทั้งรู้สึกประทับใจและหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน นางรู้ดีว่าความสุขุมนี้มีต้นเหตุมาจากสิ่งใดและผู้ใด
แม่นมมุ่งหน้าไปยังศาลหลวง ส่วนกโยซึลก็นั่งเฝ้าห้องชั้นบรรทมที่กว้างขวางเพียงลำพัง
“ฝ่าพระบาทฮวางแทจาเสด็จ!”
ข้ารับใช้เอ่ยขึ้นเมื่อฟ้ามืดแล้ว บีพาอันรีบเปิดประตูไปในห้องบรรทมทันที แม้เขาจะทำการไต่สวนท่ามกลางแดดร้อนระอุมาทั้งวันจนเหนื่อย แต่บีพาอันก็ยังคงดูสง่างามเช่นเคย
กโยซึลลุกขึ้นมากล่าวคำถวายพระพรพันปีสามรอบ บีพาอันนั่งลงบนที่นั่งที่สูงกว่า โดยไม่รอให้นางถวายพระพรจนจบ กโยซึลเองก็นั่งลงขณะเอ่ยเรียกเขาไปในเวลาเดียวกัน
“ฝ่าพระบาทเพคะ”
แม้จะตั้งมั่นเพียงใด ทว่าพอได้มาเผชิญหน้ากับบีพาอันแล้ว เสียงก็สั่นทันที เพราะนางรู้ดีว่าสิ่งที่นางจะพูดกับบีพาอันมันอันตรายเพียงใด ทว่าก็เป็นต้องทำ หากตั้งใจจะปกป้องคนของตน ตั้งใจจะปกป้องรูแฮแล้วล่ะก็
แม่นมที่กลับมาถึงก่อนบีพาอันจะมา เล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่ลานไต่สวนให้กโยซึลฟังโดยไม่ตกหล่น แม้นางจะรีบไปที่นั่นแล้วก็ตาม แต่กว่านางจะได้เริ่มเดินทางไปก็ถือว่าสายแล้ว ดังนั้นนางจึงไปทันดูตั้งแต่ตอนที่บรรดานางกำนัลของตำหนักบุกบีถูกเบิกตัวเข้ามา และกโยซึลเองก็กำลังเลือกคำว่าจะเริ่มพูดกับบีพาอันอย่างไรดี
ตั้งใจถึงเพียงนั้นแล้วแท้ๆ
นิ้วของกโยซึลที่วางบนหัวเข่าล้วนสั่นเทา เป็นเพราะนางต้องนั่งเฝ้าอยู่ที่ตำหนักดงชอนอันว่างเปล่ามาทั้งวันจึงเกิดความประหม่าขึ้น พอได้มาเผชิญหน้ากับบีพาอัน หัวใจมันก็เต้นแรงราวกลับจะพลิกกลับด้าน และลำคอก็พานเหือดแห้งไปด้วย
ดวงตาสีดำขลับ ซังทูกวันสีทองอร่าม ชุดที่เรียบกริบ ทำให้เกิดบรรยากาศที่เคร่งขรึมกว่าปกติ
กโยซึลจะต้องประจัญหน้าโต้แย้งกับเขาผู้นี้ เพื่อรูแฮ
“ฮวางเซจาทรงประทับอยู่กับหม่อมฉันในตอนนั้นเพคะ”
มีเพียงความเงียบ จนกโยซึลแอบสงสัยว่าเมื่อครู่ตนนั้นมิได้เพิ่งเอ่ยคำใดออกไปหรืออย่างไร ได้ยินประโยคเมื่อครู่แล้วใบหน้าบีพาอันก็ยังคงว่างเปล่า ไร้ซึ่งความรู้สึก ไม่มีแม้แต่ความเคลื่อนไหว
แปะ แปะ แปะ
เสียงปรบมือที่ช้า และเน้นน้ำหนักมือดึงขึ้น และในที่สุดบีพาอันก็เอ่ยปากขึ้น
“ช่างน่าซาบซึ้งใจ”