ตอนที่ 670 บุรุษผู้ถูกขนานนามว่าราชันกระหายเลือดผู้หนึ่ง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 670 บุรุษผู้ถูกขนานนามว่าราชันกระหายเลือดผู้หนึ่ง โดย ProjectZyphon

“หลินสวิน เจ้าจะต้องชดใช้สิ่งที่เจ้าทำวันนี้!”

“พวกเจ้าตระกูลหลินจะสิ้นชื่อเพราะสิ่งนี้!”

ฉินเสวียนตู้ถูกบีบให้จนมุม ทำให้เขาพังทลายอย่างหมดสิ้น ร้องคำรามข่มขู่อย่างไม่ปิดบังราวเสียสติ

ทั้งที่นั้นเงียบสงัด ใครก็ไม่อาจสงบใจได้

ไม่แน่บางทีสิ่งที่ฉินเสวียนตู้พูดอาจเป็นเรื่องที่ถูกต้อง วันนี้มีมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติตายไปมากมายขนาดนั้น แม้จะเป็นสองตระกูลจั่วและฉิน ก็ยังเป็นการโจมตีที่หนักหน่วงหาใดเทียบ

เช่นเดียวกัน นี่ก็เป็นการเหยียดหยามอย่างหนึ่ง!

ไม่ว่าจะเป็นเพราะล้างแค้น หรือเพราะต้องการลบคำสบประมาท ตระกูลจั่วและฉินย่อมไม่อาจรามือแต่โดยดี หาไม่แล้ว นี่จะทำให้พวกเขายืนหยัดในนครต้องห้ามในภายหลังได้อย่างไร

เป็นถึงตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ยักษ์ใหญ่อันเป็นที่ยำเกรงในใต้หล้า กลับพบเจอการโจมตีหนักหน่วงเช่นนี้ จะกล้ำกลืนฝืนทนได้อย่างไร

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ การข่มขู่เช่นนี้อาจทำให้ผู้คนในใต้หล้าใจสั่นระรัวและหวาดกลัว แต่กลับไม่ได้ผลกับหลินสวิน

เหนือเวิ้งฟ้า หลินสวินยืนอย่างสันโดษ อาภรณ์ปลิวไสว ทวนสีเทาเข้มในมือยังคงหลั่งเลือดแดงฉานบาดตา

“ความตายมาเยือนแล้วยังกล้าข่มขู่ข้า เมื่อกี้เกราะหัวใจช่วยชีวิตเจ้าไว้ครั้งหนึ่ง ตอนนี้ข้าล่ะอยากเห็นนักว่าเจ้าจะยังรอดไปไหม!”

ท่ามกลางเสียงเรียบเฉย อาสัญแหลกสลายพุ่งแทงออกไป บดขยี้ห้วงอากาศ!

ตูม!

ห้วงอากาศระเบิดกระจุยด้วยพลานุภาพของคมทวน พุ่งตรงแน่วแน่ไม่อาจต้านทาน!

เพียงแค่การโจมตีด้วยทวนเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ทุกคนรับรู้อย่างลึกซึ้งว่า แม้เผชิญหน้ากับการคุกคามดังกล่าว หลินสวินก็ไม่เคยสนใจสักนิด หาไม่แล้ว การโจมตีนี้จะแน่วแน่ ดุดัน และทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไร

“เจ้า…”

ดวงตาโกรธแค้นของฉินเสวียนตู้เบิกโพลง หมายจะสู้ถวายชีวิต แต่เมื่อถึงเวลาชี้เป็นชี้ตาย เขากลับถอยไปอย่างหมดรูปและคับแค้นใจ

เขารู้ดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินสวิน แต่ก็ไม่อยากตายด้วย จึงทำได้เพียงหลบหนีเช่นนี้

มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติที่ลือชื่อทั่วนครต้องห้ามผู้หนึ่ง กลับถูกบีบคั้นจนหมดสภาพเช่นนี้ นี่ทำให้ผู้ที่ติดตามศึกนี้หลายคนปวดใจ

ก่อนหน้านี้ฉินเสวียนตู้มีท่าทางโอหังสูงส่งเกินธรรมดา สง่างามราวเซียน มองหลินสวินเป็นเพียงเนื้อบนเขียง

แต่ตอนนี้ พรรคพวกข้างกายเขาถูกฆ่าตายไปก่อนแล้ว มีเพียงเขาผู้เดียวที่ถูกบีบจนต้องหลบหนีอย่างหมดรูป ความแตกต่างนี้มากเกินไปแล้ว ทั้งยังพาให้คนหวาดหวั่น

“ตาย!”

ฉึก! ทวนสีเทาเข้มวาดรัศมีโค้งดุดัน พุ่งใส่คอหอยของฉินเสวียนตู้ราวแสงส่อง

ฉินเสวียนตู้ใบหน้าซีดขาว ไม่อาจหลบหนีได้แล้ว การโจมตีนี้ปิดตายทางหลบหนีของเขาไว้รอบทิศไว้ก่อนแล้ว ทำให้เขาจะหนีก็หนีไม่ได้!

เพียงแต่กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจ ว่าต่อให้พลังต่อสู้ของหลินสวินสามารถสังหารมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติได้ แต่เขาไม่กังวลถึงการล้างแค้นโหดเหี้ยมจากตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงจริงหรือ

หรือบนโลกนี้จะไม่มีเรื่องที่เขาหวาดกลัวจริงๆ

“เจ้าเด็กนี่ช่างกล้า!”

และในช่วงชี้เป็นชี้ตายของวิกฤตินี้ เสียงที่เต็มไปด้วยความเยียบเย็นเฉยชาเสียงหนึ่งดังกึกก้อง เพียงแค่เสียงก็ทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน ห้วงอากาศปั่นป่วน

สายสืบมากมายที่กระจายอยู่ในมุมมืดยิ่งสั่นเทาไปทั้งตัว ดวงตาพร่ามัว เจ็บปวดจนแทบกระอักเลือด

สัทครรลองมหามรรค ก็คงเป็นเช่นนี้กระมัง

ทุกคนตกตะลึง

“ผู้อาวุโสนี่!”

มีเพียงฉินเสวียนตู้เท่านั้นที่รู้สึกว่าเสียงนี้ช่างไพเราะราวเสียงสวรรค์ ทำให้เขาดีใจแทบคลั่ง เห็นความหวังท่ามกลางสถานการณ์คับขัน

เพียงแต่…

ฉินเสวียนตู้พลันได้ยินเสียงอู้อี้แปลกประหลาดเสียงหนึ่ง พร้อมกับเสียงกรอบแกรบของกระดูกแตกสลาย ทันใดนั้นความปรีดาและความหวังที่บังเกิดขึ้นในนัยน์ตาของเขาก็แข็งทื่อในชั่วพริบตานั้น

พรูด!

โลหิตพุ่งสาดออกมา แดงฉานร้อนระอุดูงดงาม ย้อมโลกตรงหน้าให้เป็นสีแดง

ฉินเสวียนตู้ก้มหัว คราวนี้ถึงเห็นว่าทวนยาวสีเทาเข้มแทงเข้ามาที่คอของเขาแล้ว ส่วนโลหิตที่พุ่งกระจายออกมานั้นก็มาจากตนเอง…

“เจ้า… เจ้า… เหตุใดถึงกล้า…”

ฉินเสวียนตู้อ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คอหอยแหลกละเอียด ทำให้เขาพูดไม่ได้อีกแล้ว เพียงรู้สึกว่าภาพตรงหน้าดำมืด แล้วสิ้นสติไป

ฉึก!

หลินสวินถอนทวนยาวออกมา ศพของฉินเสวียนตู้ตกลงจากท้องฟ้า

กระทั่งตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติหกคนที่สองตระกูลจั่วและฉินส่งมาล้วนถูกหลินสวินคนเดียวปลิดชีพ ไม่รอดชีวิตสักคน!

นี่เป็นผลการต่อสู้ที่สามารถสะเทือนทั้งใต้หล้าได้ ปาฏิหาริย์ที่เหมือนแทบจะเป็นไปไม่ได้เกิดขึ้นเหนือเวิ้งฟ้านครต้องห้าม

ไม่ว่าใครได้เห็นการต่อสู้นี้ เกรงว่าจะจิตใจสั่นระรัวและตื่นตะลึง

เพียงแต่ตอนนี้ทุกคนในที่นี้ล้วนไม่ทันได้ประหลาดใจแล้ว สายตาของพวกเขาต่างฉายแววสะเทือนขวัญ มองไปทางเดียวกัน

บนห้วงอากาศนั้น ชายชราสวมชุดนักปราชญ์ มวยผมปักดาบโบราณขนาดเล็กกะทัดรัดผู้หนึ่งไม่รู้ว่าปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไร

ชายชราเงาร่างผอมบาง แต่ยืนตระหง่านตรงนั้นกลับทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน มีอานุภาพน่าหวาดหวั่นยากบรรยาย เหมือนราชันองค์หนึ่งกำลังก้มมองโลกหล้าจากบนเก้าชั้นฟ้า!

ฉินชางเจี่ย!

ขอเพียงเป็นผู้ฝึกปราณที่รู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องขุมอำนาจใหญ่ในนครต้องห้าม แทบจะจำได้ในทันทีว่า ชายชราผู้นี้ก็คือสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้หนึ่งของตระกูลฉิน ผู้อาวุโสที่ครอบครองพลังปราณราชันระดับสังสารวัฏ!

เขามีนามว่าฉินชางเจี่ย หลายร้อยปีก่อนก็มีชื่อในโลกหล้า อานุภาพคับฟ้า ชื่อเสียงสั่นสะเทือนสี่น่านน้ำ เพียงแต่หลายปีนี้ปิดด่านเก็บตัวโดยตลอด ออกมาให้เห็นหน้าน้อยนัก

เพียงแต่ใครก็ไม่คาดคิดว่า ในวันนี้เอง การเคลื่อนไหวที่พุ่งเป้าไปยังหลินสวิน จะถึงกับดึงให้ราชันระดับสังสารวัฏผู้หนึ่งออกมาได้!

นี่น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว!

เพราะทุกคนต่างรู้ว่าบุคคลอย่างราชันระดับสังสารวัฏ สำหรับผู้ฝึกปราณในโลกแล้วช่างประหนึ่งทวยเทพ เรื่องทั่วไปไม่อาจทำให้พวกเขาปรากฏตัวได้เลย

แต่ตอนนี้ ฉินชางเจี่ยกลับมาแล้ว!

ทั้งที่นั้นต่างเงียบเชียบ

เวลานี้แม้แต่คนใหญ่คนโตบางส่วนซึ่งจับตามองเหตุการณ์ที่นี่จากที่ต่างๆ ในนครต้องห้าม ก็ล้วนอดไม่ได้ลอบตื่นตระหนก ด้วยฐานะของฉินชางเจี่ย เขาถึงกับมาด้วยตัวเอง!?

ในนครต้องห้ามไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว

“เด็กนี่มีภัยแล้ว!”

นี่เป็นความคิดร่วมกันของทุกคน

เมื่อราชันระดับสังสารวัฏปรากฏกาย ผลการต่อสู้ก่อนหน้านี้ของหลินสวินจะเลอเลิศสะดุดตาเพียงใดก็ต้องถูกฆ่าทิ้ง ที่รอคอยเขาอยู่อาจมีเพียงความตาย

เวลานี้หลินสวินก็หรี่ตาลงเล็กน้อย การปรากฏตัวของฉินชางเจี่ยทำให้เขารู้สึกเกินคาดเป็นครั้งแรก ทั้งยังทำให้จิตสังหารในใจเขายิ่งรุนแรง

พวกหลินจงเกร็งไปทั้งตัว มือเท้าเย็นเฉียบ ทำอย่างไรดี ราชันระดับสังสารวัฏปรากฏตัวแล้ว หรือเคราะห์ในวันนี้จะไม่มีทางสลายได้แล้ว

ฉินจื่อหมิงที่คุกเข่ากับพื้นทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ ความรู้สึกเขาแปรปรวนขึ้นลงยิ่งนัก จิตใจกระทบกระเทือนจนสิ้นหวังไปนานแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อเห็นฉินชางเจี่ย เขาก็ร้องไห้ออกมา ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง

‘หลินสวิน! คราวนี้เจ้าต้องตายแน่!’ เขาคำรามอย่างแค้นเคืองอยู่ในใจ

หลังจากฉินชางเจี่ยปรากฏตัว ก็กวาดสายตามองไปยังร่างมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนอย่างฉินเสวียนตู้ จั่วเป่าอิ๋ง แล้วก็มองมายังหลินสวิน

เขาสีหน้าสงบนิ่ง สงบนิ่งจนถึงขึ้นเรียบเฉยเย็นชา สายตาที่มองมายังหลินสวินก็เหมือนกำลังมองคนตายคนหนึ่งอยู่ ไม่มีคลื่นอารมณ์อื่นใดเช่นกัน

แต่อานุภาพไร้รูปนั้นกลับกดทับจนทั้งที่นั้นหายใจไม่ออก

“กากเดนตระกูลหลินน้อยๆ คนหนึ่ง กลับกล้าก่อความวุ่นวายในนครต้องห้าม วันนี้จะไม่ไว้ชีวิตเจ้า!”

ฉินชางเจี่ยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่ถามที่มาที่ไป พูดเพียงเท่านี้ประหนึ่งตัดสินนักโทษ มีพลังที่ไม่อาจท้าทายได้ง่าย

นี่ก็คือพลานุภาพแห่งราชัน โอหังต่อทุกอย่างในโลก ยืนอยู่บนยอดหมู่ภูเขา ยามบุคคลระดับนี้คิดจะฆ่าใครสักคน ก็ไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ เลย

พวกหลินจงพลันหน้าเปลี่ยนสีในทันใด

ผู้แข็งแกร่งมากมายที่กระจายตัวอยู่ในมุมมืดก็ลอบถอนใจ หลินสวินจะเย้ยฟ้ากว่านี้แล้วอย่างไรเล่า ชั่วขณะที่ราชันระดับสังสารวัฏปรากฏตัวขึ้น ที่รอเขาอยู่ก็มีเพียงความตาย!

ตูม!

ฉินชางเจี่ยลงมือแล้ว ตรงไปตรงมายิ่งนัก นี่เป็นความแข็งกร้าวที่กระทำตามวิถีตน จะสนไปไยว่าเจ้าเป็นใคร ทั้งไม่สนว่าเจ้าจะคิดอย่างไรด้วย ฆ่าก่อนค่อยว่ากัน!

มือใหญ่มือหนึ่งที่ขาวสะอาดราวหยกบดบังฟ้าดิน โอบล้อมด้วยรัศมีมหามรรคที่ยากหยั่งถึง ปกคลุมลงมาจากฟากฟ้า

โครม!

ห้วงอากาศพังทลายโดยสิ้นเชิง ภายใต้การปกคลุมของมือใหญ่นี้ ทำให้ทั้งที่นั้นรู้สึกสิ้นหวังและกระวนกระวาย

ส่วนหลินสวินที่เป็นผู้รับเคราะห์กลับสงบนิ่งไม่ตระหนก ในฝ่ามือของเขามีแสงสีเงินราวภาพนิมิตเพิ่มขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ ในสายตาถึงกับมีแววเย้ยหยันเลือนราง

“เหอะ อานุภาพมากมายนัก!”

แต่หลินสวินยังไม่ทันเคลื่อนไหว เสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูกก็ดังขึ้นราวอสนีบาต

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ฟ้าดินราวพลิกกลับ ปั่นป่วนครึกโครม มีจิตสังหารรุนแรงราวพายุเพิ่มขึ้นมา

เมื่อเสียงนี้เงียบลง ก็เห็นว่ามือใหญ่บดบังฟ้าที่ขาวสะอาดราวหยกนั้น แหลกสลายสะเทือนเลือนลั่นเหมือนกระจกแผ่นหนึ่ง มลายหายไปจากที่นั้น

นี่….

ทั่วบริเวณตกตะลึง รู้สึกว่าเหมือนสมองใช้การไม่ได้แล้ว ประโยคเดียวก็ทำลายการโจมตีของราชันระดับสังสารวัฏได้หรือ

ใครเคยเห็นกัน

มีเพียงอวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ที่ดูสงบนิ่งนัก เขาเหมือนจะคาดการณ์ได้ว่าจะเป็นเช่นนี้อยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่ชั่วขณะที่ฉินชางเจี่ยปรากฏกาย ตัวเขากลับเห็นใจ ต่างจากผู้อื่นที่ตื่นตะลึง

เพราะเขารู้ว่า มีคนที่จะไม่ยอมให้ทุกอย่างนี้เกิดขึ้น!

“หืม?”

นัยน์ตาฉินชางเจี่ยหดรัด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผยอารมณ์นับตั้งแต่ที่ปรากฏตัว สายตามองไปทางจ้าวไท่ไหล

“เจ้าเป็นใครถึงกล้าขวางข้าไม่ให้ฆ่าคน” เขาเอ่ยเสียงเรียบเฉย

ทุกคนพากันอึ้งงัน ประโยคเมื่อกี้ประโยคเดียวก็สลายการโจมตีของราชันระดับสังสารวัฏได้ ทั้งยังเป็นจ้าวไท่ไหล เจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ผู้นี้!?

พวกหลินจงต่างตาเบิกกว้าง

เหล่าสายสืบที่อยู่ในมุมมืดยิ่งตกตะลึงอ้าปากค้าง

ขนาดหลินสวินยังอึ้งไปเล็กน้อย ในใจลอบเอ่ยว่า ‘ดูท่า ก่อนหน้านี้จะประเมินความสามารถของจิ้งจอกเฒ่านี่ต่ำไปสินะ…’

เพียงแต่ที่ทำให้หลินสวินสงสัยคือ คนระดับฉินชางเจี่ย เหตุใดถึงไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของจ้าวไทไหล

“ดูท่าหลายปีมานี้ข้าจะทำตัวเงียบเชียบเกินไป ในนครต้องห้ามนี้ไม่มีใครจำข้าได้แล้ว”

จ้าวไท่ไหลหัวเราะหยันตัวเอง จากนั้นเขาก็เงยหน้าโดยพลัน ในดวงตาราวสะท้อนทิวทัศน์น่าหวาดหวั่นของภูเขาศพทะเลเลือด จิตสังหารราวภูเขาไฟพุ่งทะลุเวิ้งฟ้า สั่นคลอนธารดารา!

ชั่วพริบตา ทุกคนราวกับเห็นเทพสังหารที่เดินออกมาจากนรกใต้โลกา ฟ้าดินปกคลุมไปด้วยจิตสังหารและการนองเลือดน่ากลัว

ผู้ที่พลังค่อนข้างอ่อนบางคนยิ่งตกใจจนเข่าอ่อน ทรุดลงไปกับพื้น สั่นระริกไปทั้งร่าง

แม้เป็นพวกหลินจงก็ยังหายใจติดขัด หน้าซีดขาว จิตสังหารนี้เข้มข้นเกินไปแล้ว สองมือต้องย้อมเลือดมามากแค่ไหน ถึงได้มีพลานุภาพน่าตื่นตะลึงเช่นนี้

เวลานี้จ้าวไท่ไหลเปลี่ยนไปแล้ว รูปร่างที่อ้วนพีแต่เดิมกลับแปรเปลี่ยนเป็นกำยำผ่าเผย ราวยอดเขาโดดเดี่ยวที่แทรกตัวเข้าไปในเมฆาอย่างองอาจ คิ้วราวกระบี่ ดวงตาเปล่งรังสีเทพ พลานุภาพรุ่งโรจน์จนทำให้ฟ้าดินร้องระงม!

“ราชันกระหายเลือด!”

ก็เห็นว่าสีหน้าของฉินชางเจี่ยพลันเปลี่ยนไป ถึงกับเผยความตื่นตระหนกที่ยากพบเห็น เอ่ยเสียงหลงว่า “เหตุใด… ถึงเป็นท่าน!”

ราชันกระหายเลือด!

เมื่อได้ยินฉายานี้ หลายคนก็อึ้งไป รู้สึกแปลกหูหาใดเทียบ

แต่คนใหญ่คนโตบางส่วนที่จับจ้องสถานที่นี้จากแต่ละที่ในนครต้องห้าม เมื่อได้ยินฉายานี้ก็ต่างสูดหายใจเย็นเยียบ ในใจบังเกิดความหนาวเยือกที่ไม่อาจควบคุมได้

เหตุใดถึงเป็นเขา!?

พวกเขานึกไม่ถึงว่าผ่านไปหลายปีจะได้ยินฉายานี้อีกครั้ง ทั้งยังได้เห็นเทพสังหารท่านนี้กับตาตัวเอง!

“ตอนนี้ เจ้าคิดว่าข้ามีสิทธิ์ขวางเจ้าหรือไม่”

ในที่นั้นจ้าวไท่ไหลเอ่ยปาก เขาต่างจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง เมื่อลืมตาจิตสังการพุ่งทะลวงเมฆา วาจาสงบนิ่ง แต่กลับเต็มไปด้วยพลังกดดัน

‘ราชันกระหายเลือด… เจ้าจิ้งจอกเฒ่านี่เหตุใดถึงมีฉายานี้ได้…’ หลินสวินออกจะงงงัน เขานึกถึงช่วงเวลาที่ฝึกปราณในค่ายกระหายเลือด ทั้งนึกถึงประโยคที่สลักไว้หน้าประตูใหญ่ของค่ายกระหายเลือด…

ดอกจื่อเย่าด้วยกระหายเลือดจึงมิพ่าย จักรวรรดิด้วยกรำศึกจึงอยู่ตราบนิรันดร์!

ราชันกระหายเลือด ค่ายกระหายเลือด…

สองอย่างนี้จะเกี่ยวข้องกันหรือไม่

กลับเห็นว่าเวลานี้ฉินชางเจี่ยสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ไม่เรียบเฉยและสุขุมเหมือนก่อนหน้านี้ เขาเป็นถึงราชันระดับสังสารวัฏเชียวนะ!

แต่ตอนนี้กลับเหมือนหวาดกลัวจ้าวไท่ไหลอย่างหาใดเทียบ นี่ทำให้ทุกคนต่างยิ่งตกตะลึงแล้ว ต่อให้ไม่รู้ว่าฐานะ ‘ราชันกระหายเลือด’ นี้หมายถึงอะไร แต่พวกเขาก็รับรู้ได้ว่า นี่เป็นคนที่สามารถทำให้ราชันสังสารวัฏหวาดหวั่นได้!

“คิดไม่ถึงว่าที่เด็กคนนี้เหิมเกริมไม่หวั่นกลัวเช่นนี้ได้ เพราะมีที่พึ่งพิงนี่เอง ช่างเถอะๆๆ เรื่องวันนี้ข้าจะไม่ถือสาอีก”

นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ฉินชางเจี่ยพลันถอนหายใจ หันกายจะจากไป

“เมื่อเทียบกับพี่ชายเจ้า เรื่องความกล้า เจ้าต่างกับเขามาก”

จ้าวไท่ไหลส่งเสียงหึหยัน

ฉินชางเจี่ยเงียบงันไม่พูดสักคำ แล้วลอยล่องจากไป

จะจากไปเช่นนี้หรือ

ทุกคนไม่อาจสงบใจได้ เดิมทีฉินชางเจี่ยมาด้วยท่าทีรุนแรง ไม่ถามที่มาที่ไปก็จะปลิดชีพหลินสวินเสียตรงนั้น ไม่ว่าใครก็คิดว่าหลินสวินต้องพบเคราะห์

แต่ใครจะคิดว่าชั่วพริบตา ราชันระดับสังสารวัฏอย่างฉินชางเจี่ยผู้นี้กลับข่มอารมณ์กลืนคำพูด ยอมแพ้แล้วจากไป กระทั่งไม่กล้าไปสงสัยหรือดิ้นรน

นี่ช่างดูเหลือเชื่อไปแล้ว

ราชันกระหายเลือดหรือ

ฐานะนี้มีพลังคุกคามน่ากลัวเช่นนี้จริงหรือ

……

พายุลูกหนึ่งที่เกิดขึ้น ณ หอสมบัติตะวันมงคล หลังจากฉินชางเจี่ยจากไปก็ปิดฉากลง

แต่การผลกระทบจากช่วงชิงความเป็นใหญ่ครั้งนี้กลับเพิ่งเริ่มขึ้น!

ตั้งแต่เมื่อคืน หลินสวินกลับมายังนครต้องห้ามอย่างปลอดภัย ตัวเขาคนเดียวก็บุกสังหารคนตระกูลหลินสายรอง ฟันหัวคนจนเลือดไหลรินเกลื่อนพื้น ใช้วิธีแข็งกร้าวประกาศการกลับมาของตน ทั้งใช้เวลาหนึ่งคืนรวมตระกูลหลินให้เป็นหนึ่ง

และวันนี้ ขุมอำนาจตระกูลหลินที่มีหลินสวินเป็นผู้นำออกโจมตีอย่างแข็งกร้าว ชิงกิจการสิบกว่าแห่งที่ถูกสองตระกูลฉินและจั่วยึดครองในตอนนั้น เปิดฉากสังหารนองเลือด

กระทั่งตอนนี้ ท่ามกลางสายตาของฝูงชน ที่เหนือเวิ้งฟ้าของนครต้องห้าม หลินสวินใช้พลังระดับหยั่งสัจจะ มือถืออาวุธสำคัญประจำตระกูลหลิน ‘อาสัญสลาย’ โจมตีสังหารมหายุทธ์ผู้มีอิทธิพลในระดับกระบวนแปรจุติหกคนกลางวงล้อม สะท้านขวัญไปทั้งที่นั้น

แม้ว่าราชันระดับสังสารวัฏฉินชางเจี่ยมาเยือนด้วยตัวเอง ก็ถูกบีบให้ยอมจำนนแล้วจากไป ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งที่ถูกมอบฉายาว่า ‘ราชันกระหายเลือด’

ไม่ว่าใครก็รับรู้ได้ว่า การปิดฉากของพายุครั้งนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ผลกระทบที่มันสร้างขึ้นต้องทำให้นครต้องห้ามอึกทึกครึกโครม ทำให้ใต้หล้าหันมามองเป็นแน่!

——