บทที่ 463 บิดเบือนข้อเท็จจริง
“มันเป็นไปไม่ได้มั้ง? เจ้าเทพสนับสนุนหวางซี? เธอเป็นแค่ผู้หญิงจากตระกูลเล็ก ๆ เท่านั้น เมื่อก่อนบริษัทหัวหยวนนั้นเป็นบริษัทเล็ก ๆ”
“ผมแค่เดาเท่านั้น และไม่รู้รายละเอียด แต่เมื่อก่อนเย่เซิ่งเทียนเคยเป็นทหาร บางทีอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์นี้ก็ได้”
“ทางที่ดีอย่าเผยแพร่คำพูดเหล่านี้ออกไป เพราะเมื่อเกิดปัญหา พวกเราจะไม่สามารถรับผิดชอบได้”
บางคนกระซิบกันเบา ๆ
หากกล่าวว่าเจ้าเทพสนับสนุนหวางซี พวกเขาไม่เชื่อแน่นอน
แต่ถ้าเย่เซิ่งเทียนใช้สัมพันธ์จากสหายร่วมรบ มันก็ไม่แน่
และขณะนี้ คนกลุ่มหนึ่งของตระกูลหลี่ล้อมหลี่กั๋วหรงท่านเฒ่าหลี่และคุณหญิงใหญ่หลี่ที่เดินออกมา
“คุณพ่อ หลี่หลานกลับมา ก็มาสร้างความวุ่นวายในงานเลี้ยงวันเกิดของคุณพ่อ แล้วยังทำร้ายหนูกับซิ่วหลินอีกด้วย”
หลี่เซียงหลันพยุงท่านเฒ่าหลี่แล้วพูดใส่สีตีไข่ สามารถมองเห็นรอยตบบนใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน
มู่ซิ่วหลินที่ยืนอยู่ด้านข้างเสแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาและกล่าวว่า “คุณพ่อ อย่าไปฟัง เซียงหลัน พี่ใหญ่เพิ่งกลับมา และเธอได้รับความอัดอั้นตันใจมาหลายปี การที่เธอมาระบายอารมณ์กับพวกเรามันก็เป็นเรื่องปกติ”
คุณหญิงใหญ่หลี่ส่งเสียงอย่างเย็นชา “คุณหนูใหญ่ดูถูกฉันที่เป็นเมียน้อยมาโดยตลอด เมื่อกลับมาถึงก็อารมณ์เสียทันทีเลย ดูเหมือนว่าพวกเราแม่ลูกจะอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”
หลี่เซียงหลันเช็ดน้ำตาแล้วกล่าวว่า “คุณแม่ อย่าโมโหเลย หนูเป็นคนที่ทำให้พี่ใหญ่โกรธ ต้องโทษที่หนูเป็นคนเป็นตรงไปตรงมา และกล่าวถึงเรื่องในอดีต การที่พี่ใหญ่สั่งสอนหนูมันก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว”
พวกเขาต่างคนต่างพูดขึ้นมา แล้วโยนความผิดทุกอย่างไปให้หลี่หลาน
สีหนาของท่านเฒ่าหลี่เคร่งขรึม เขามองหลี่เย็นหรานซึ่งตอนนี้ใบหน้าบวมเป็นหัวหมู
“เย็นหรานเป็นอะไรไป? เย็นหรานยังเป็นเด็ก และเป็นหลานสาวของพี่ใหญ่ หรือว่าพี่ใหญ่ไม่ปล่อยแม้กระทั่งเย็นหราน?”
หลี่เซียงหลันร้องไห้ออกมาทันทีและกล่าวว่า “คุณพ่อ ต่อไปพวกเราจะย้ายออกไปข้างนอก ในเมื่อพี่ใหญ่กลับมาแล้ว เธอไม่ปล่อยพวกเราไปอย่างแน่นอน”
มู่ซิ่วหลินกล่าวเบา ๆ ว่า “คุณพ่อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เซียงหลัน กับผม”
สีหน้าของหลี่กั๋วหรงยิ่งเคร่งขรึมขึ้น
คุณหญิงใหญ่หลี่มองหลี่หลานและคนอื่น ๆ ด้วยสีหน้าหน้าไม่เป็นมิตร จากนั้นโบกมือให้หลี่เย็นหราน “เย็นหราน เกิดอะไรขึ้น? ย่าจะให้ความเป็นธรรมแก่หลาน”
เมื่อเห็นท่านเฒ่าหลี่และคนอื่น ๆ เดินออกมา หลี่เย็นหรานร้องไห้ออกมาทันที ราวกับว่าตนเองได้รับความอัดอั้นตันใจมากมาย รีบเดินไปคุกเข่าอยู่ต่อหน้าท่านเฒ่าหลี่และคุณหญิงใหญ่หลี่ จากนั้นกอดต้นขาแล้วร้องไห้ “คุณปู่ ต้องให้ความเป็นธรรมกับหนูด้วย หนูแค่บอกว่าพวกเขามากินฟรีดื่มฟรี ก็ถูกพวกเขาทำร้าย แล้วยังบังคับให้หนูคุกเข่าขอโทษอีกด้วย หนูแค่ไม่ระวังตัวไปเหยียบเท้าคุณอา และหนูก็ขอโทษแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ยอมปล่อยหนู”
หลี่เซียงหลันถือโอกาสกล่าวว่า “เย็นหรานเอ๊ย หนูอย่ารู้สึกอัดอั้นตันใจเลย เมื่อก่อนคุณอาใหญ่ของหนูนั้นเป็นถึงคุณหนูใหญ่ของตระกูลหลี่ ซึ่งเธอน่าเกรงขามมากกว่าหนูอีก เมื่อสักครู่เธอก็ทำร้ายอาด้วย เธอยังบอกว่าอาเป็นแค่ลูกเมียน้อย ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะคุกเข่าขอโทษเธอ”
“เฟิงเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น?”
สีหน้าของท่านเฒ่าหลี่แดงก่ำ จากนั้นเขามองไปที่หลี่เฟิง
หลี่เฟิงขมวดคิ้วและเล่าเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง และแน่นอนว่าเขาโยนความผิดทั้งหมดไปให้ครอบครัวของหลี่หลาน
“คุณพ่อ ผมไม่กล้ายั่วเสี่ยวหลานหรอก ตอนนี้เธอน่าเกรงขามมาก เพราะเย่เซิ่งเทียนลูกเขยของเธอ เคยช่วยชีวิตพ่อและลูกสาวของประธานหยูเอาไว้ ดูเหมือนว่าเมื่อสักครู่พวกเขายังข่มขู่และให้น้องเขยซิ่วหลินคุกเข่า? ถ้าไม่คุกเข่า ประธานหยูยุติการร่วมมือทำธุรกิจกับพวกเรา และเมื่อสักครู่ผมให้ เย็นหรานคุกเข่า ถ้าไม่คุกเข่า ผู้กำกับซุนและคนอื่น ๆ จะไม่ร่วมมือทำงานกับตระกูลหลี่ ซึ่งผมไม่กล้าพูดอะไรสักคำ ลูกเขยของเธอนั้นสุดยอดมาก แค่คำพูดประโยคเดียว ก็สามารถทำให้ตระกูลหลี่ของพวกเราตายได้”
“คุณพ่อ มันไม่ใช่แบบนั้น”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น หลี่หลานกังวลเช่นกัน และเห็นได้ชัดว่าเมื่อสักครู่พวกเขาเป็นคนหาเรื่องก่อน
ท่านเฒ่าหลี่มองหลี่หลานด้วยดวงตาที่ซับซ้อนและกล่าวด้วยความโมโหว่า “ใครเป็นพ่อของคุณ ใครบอกให้คุณกลับมา? คุกเข่าลง!”