องครักษ์ประจำจวนขานรับคำสั่ง พระชายารองต่อสู้ขัดขืนอย่างไม่พอใจ หมายจะกรีดร้องตะโกนขึ้น แต่ก็ถูกหลิงหลงที่มือไวตาไวเดินเข้ามาใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนอุดปากของนางไว้ 

 

 

มีหรือที่พระชายารองจะยอมง่ายๆ พยายามร้องเสียงอู้อี้ออกมาอย่างสุดชีวิต เหล่าองครักษ์ประจำจวนจึงต้องกดนางเอาไว้อย่างแรง 

 

 

น้ำเสียงอันเย็นเยือกของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ท่านแม่เพิ่งจะหลับไป หากมีใครกล้ารบกวนนางก็ให้ลงโทษโบยยี่สิบไม้” 

 

 

พระชายารองถูกอุดปากเอาไว้แล้ว ก็ส่งเสียงออกมาไม่ได้อยู่แล้ว คำพูดนี้จึงเป็นการบอกกับเหล่าองครักษ์ประจำจวนนั่นเอง 

 

 

องครักษ์ประจำจวนหนาวสะท้าน ขานรับคำสั่งกันอย่างพร้อมเพรียง 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วมุ่น 

 

 

เหล่าองครักษ์ประจำจวนตระหนักได้ทันทีว่าตัวเองส่งเสียงดังเกินไป ต่างก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเพียงแต่กวาดตามองพวกเขาเท่านั้น ไม่ได้กล่าวโทษสิ่งใด 

 

 

เหล่าองครักษ์ประจำจวนต่างก็โล่งอก ยิ่งใช้แรงในการกดพระชายารองมากขึ้นไปอีก 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสั่งหลิงหลงว่า “ข้ากับแม่นางเมิ่งจะกลับเรือนข้าก่อน รอให้ท่านแม่ตื่นแล้วค่อยส่งคนไปรายงานข้า” 

 

 

หลิงหลงขานรับด้วยความนอบน้อมเสียงแผ่วเบา 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือของเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไปอย่างไม่เขินอาย เหลือไว้เพียงแต่สาวใช้กับคนรับใช้ที่มองหน้ากันอย่างเขินอาย 

 

 

หวงฝู่อี้กับกัวเฟยมองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วก็เดินตามหลังพวกเขาไปห่างๆ อย่างเข้าใจอะไรดี 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ปล่อยให้เขาจูงมือของนางได้ตามสบาย เดินกลับเข้าไปในห้องของเขา 

 

 

สั่งให้หวงฝู่อี้ไปเอาน้ำชาเข้ามา แล้วทั้งสองคนก็นั่งอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าเขามีอารมณ์ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป จึงถามขึ้นว่า “หลายวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ดูเหมือนว่าเจ้าจะอารมณ์ดีมาก” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ปิดบัง เล่าเรื่องตั้งแต่วันที่พระชายาฉีพาเขาเข้าวังไปยับยั้งพระราชเสาวนีย์อย่างรีบร้อน รวมถึงบอกทุกเรื่องที่นางคุยกันกับเขา 

 

 

พอเมิ่งเชี่ยนโยวฟังจบก็กล่าวอย่างยินดีว่า “พวกเจ้าสองคนแม่ลูกคลายปมในใจได้แล้ว ก็ถือว่าเจ้ามีความโชคดีในความโชคร้ายอยู่บ้าง” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียง “อืม” เบาๆ ในลำคอ “นี่มิใช่สิ่งที่ทำให้ข้าดีใจที่สุด สิ่งที่ข้าดีใจที่สุดก็คือท่านแม่ของข้ายอมรับเจ้าได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเข้าถึงสาเหตุที่ทำให้เขาอารมณ์ดี จ้องมองเขาอย่างขุ่นเคือง 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกลับส่งยิ้มสดใสให้นาง 

 

 

เรื่องที่พระชายารองถูกลงโทษให้คุกเข่าได้แพร่ข่าวไปถึงในจวนด้านใน สาวใช้ที่อยู่ในเรือนพระชายารองก็ได้ยินกันแล้วก็พากันวิ่งมาแอบดูที่เรือนพระชายาฉี เห็นพระชายารองเป็นอย่างที่พวกเขาพูดจริง ถูกองครักษ์ประจำจวนกดให้คุกเข่าลง ก็เกิดอาการหวาดผวา ต่างก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องของคนรับใช้กันอย่างลนลาน แล้วก็รายงานเรื่องนี้ต่อแม่นมที่ติดตามพระชายารอง 

 

 

พอแม่นมที่ติดตามได้ฟังที่สาวใช้รายงานก็ร้องขึ้นเสียงหลง กล่าวอย่างร้อนรนว่า “เร็ว รีบไปเชิญท่านอ๋องมาช่วยเหนียงเหนียง” 

 

 

สาวใช้พอได้รับคำสั่งก็รีบวิ่งไปยังเรือนของอ๋องหลิงทันที 

 

 

อ๋องหลิงที่เหน็ดเหนื่อยต่อเนื่องกันหลายวัน เพิ่งจะเอนกายลงพักผ่อนได้ไม่นาน มีหรือที่องครักษ์จะกล้าให้สาวใช้เข้าไป แล้วก็ขวางนางให้อยู่นอกเรือน กล่าวว่า “ท่านอ๋องเพิ่งจะพักผ่อน หากรับกวนท่านพวกเราคงต้องถูกลงโทษอย่างเลี่ยงไม่ได้ เจ้ารอให้ท่านอ๋องตื่นก่อนเถอะ” 

 

 

สาวใช้กระวนกระวายใจ ส่งเสียงแหลมสูงว่า “พระชายารองถูกพระชายาอลงโทษให้คุกเข่านานแล้ว ถ้าหากต้องรอให้ท่านอ๋องตื่น พระชายารองเหนี่ยงเหนียงคงทนไม่ไหว” 

 

 

องครักษ์พอได้ยินนางพูดเสียงแหลมก็เกรงว่าจะไปปลุกให้อ๋องฉีตื่นแล้วมาลงโทษตน จึงรีบลากนางออกไปอีกด้านทันที ทว่าอ๋องฉีถูกปลุกให้ตื่นแล้ว ส่งเสียงฉุนเฉียวดังออกมาจากในห้องว่า “ผู้ใดกันที่ส่งเสียงดังรบกวนอยู่ด้านนอก อยากตายหรืออย่างไร” 

 

 

องครักษ์ต่างก็ตกใจแทบแย่ กำลังจะกล่าวตอบออกไป แต่สาวใช้ของพระชายารองก็ชิงพูดขึ้นก่อนด้วยเสียงแหลมสูงว่า “พระชายารองเกิดเรื่องแล้วเพคะ เชิญท่านอ๋องไปช่วยเหนียงเหนียงด้วยเถิด” 

 

 

เกิดความเงียบขึ้นภายในห้องชั่วอึดใจหนึ่ง ผ่านไปสักพักอ๋องฉีก็ส่งเสียงออกมาว่า “เข้ามาคุยในนี้” 

 

 

สาวใช้ขานรับ บรรดาองครักษ์ก็ปล่อยนางไป สาวใช้รีบก้าวเท้าเข้าไปข้างในทันที 

 

 

อ๋องฉีลุกขึ้นมา นั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทีเคร่งขรึม 

 

 

พอสาวใช้เข้าประตูไปก็คุกเข่าลง กล่าวอย่างร้อนรนว่า “พระชายารองถูกพระชายาลงโทษให้คุกเข่าเพคะ เชิญท่านอ๋องไปดูสักหน่อยเถิด” 

 

 

อ๋องฉีอึ้ง ถามขึ้นอย่างตกใจว่า “เจ้าลองว่ามาอีกครั้งสิ” 

 

 

สาวใช้พูดซ้ำขึ้นอีกครั้ง 

 

 

อ๋องฉีจึงแน่ใจแล้วว่าตัวเองฟังไม่ผิด แสดงท่าทางราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อ ถามว่า “สาเหตุจากเรื่องอันใดหรือ” 

 

 

สาวใช้สั่นศีรษะ “บ่าวไม่ทราบเพคะ พระชายารองได้ยินว่าพระชายาฟื้นแล้วก็รู้สึกดีใจไม่น้อย ตั้งใจเข้าไปเยี่ยม ต่อมาก็ได้ยินข่าวว่าพระชายารองถูกพระชายาลงโทษในเรือน บ่าวไม่เชื่อจึงแอบเข้าไปดู เห็นองครักษ์ประจำจวนต่างก็กดเหนียงเหนียงไว้อย่างแรง บ่าวร้อนรนจึงรีบวิ่งมาขอร้องท่านอ๋องเพคะ” 

 

 

อ๋องฉีขมวดคิ้วมุ่น หรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ 

 

 

สาวใช้พอเห็นว่าเขาไม่ทำอะไรก็รู้สึกร้อนใจยิ่งนัก กล่าวขอร้องอ้อนวอนว่า “ท่าอ๋องเพคะ ท่านไปช่วยพระชายารองเถิด ได้ยินอีกว่าซื่อจื่อจะลงโทษให้นางต้องคุกเข่าอีกหนึ่งชั่วยาม ร่างกายของเหนียงเหนียงสูงศักดิ์ จะทนไหวได้อย่างไรเพคะ” 

 

 

อ๋องฉีขมวดคิ้วมองหน้านาง 

 

 

สาวใช้รู้สึกว่าร่างทั้งร่างเย็นยะเยือกขึ้นทันที ตกใจจนต้องรีบหุบปากลง ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก 

 

 

ผ่านไปสักพักอ๋องฉีก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “มาผลัดอาภรณ์ให้ข้า” 

 

 

สาวใช้ที่ดูแลอยู่ในห้องขานรับ แล้วก็เดินมาสวมใส่อาภรณ์ให้กับอ๋องฉี 

 

 

อ๋องฉีเดินก้าวยาวๆ ออกไปข้างนอก 

 

 

สาวใช้กัดริมฝีปากแล้วลุกขึ้นกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป 

 

 

พอเข้าไปในเรือนของพระชายาก็เห็นพระชายารองถูกกดไว้กับพื้น ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่ตัวเองรักทะนุถนอมมานานหลายปี ในใจก็รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นทันที ร้องขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดว่า “บ่าวไพร่ช่างบังอาจยิ่งนัก ยังไม่ปล่อยอีกหรือ” 

 

 

องครักษ์ประจำจวนต่างก็ตกใจจนปล่อยมือทันที แล้วก็คุกเข่าลงบนพื้นกันอย่างพร้อมเพรียง 

 

 

คนที่ดูแลภายในจวนต่างก็ตกใจจากความเกรี้ยวกราดของเขา ทุกคนต่างก็คุกเข่าลงกับพื้น แม้แต่จะหายใจเสียงดังยังไม่กล้า 

 

 

พอพระชายารองได้รับอิสระก็ดึงผ้าเช็ดหน้าที่อุดปากออก พริบตาเดียวก็โผมาอยู่ตรงหน้าอ๋องฉี ฟ้องด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ท่านอ๋องเพคะ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมต่อหม่อมฉันนะเพคะ หม่อมฉันมาเยี่ยมท่านพี่ด้วยความจริงใจแท้ๆ แต่ท่านพี่กลับไม่แยกแยะให้หม่อมฉันต้องคุกเข่าอยู่ในเรือน” 

 

 

หลายปีที่พระชายารองดูแลบ้านก็ปฏิบัติต่อพระชายาอย่างดีมาโดยตลอด ควรจะมีมารยาทก็มีไม่น้อย อ๋องหลิงเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตาหมดแล้ว แต่พระชายาก็มิใช่คนที่ชอบหาเรื่องวุ่นวาย หลายปีมานี้ก็ไม่แย่งชิงสิ่งใดเลย ใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่าย เป็นไปไม่ได้ที่จะลงโษเพียงเพราะว่าพระชายารองมาเยี่ยมนาง อ๋องฉีตัดสินใจอย่างยากลำบาก ทั้งยังรู้สึกรำคาญใจจากการร้องไห้กระซิกกระซิกจากพระชายารองอีก จึงตำหนินางว่า “ลุกขึ้นมาพูดกัน ร้องไห้สะอึกสะอื้นเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน” 

 

 

พระชายารองหยุดร้องไห้กระซิก คิดจะลุกขึ้นยืน แต่ทว่าคุกเข่านานมากเกินไปจนทำให้ขาเกิดเหน็บชาขึ้น พยายามจะลุกขึ้นอยู่หลายครั้งก็ลุกไม่ขึ้น สาวใช้จึงรีบเข้าไปช่วยพยุงนางขึ้น 

 

 

พระชายารองยังยกผ้าเช็กหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาตัวเองร้องไห้ไม่ยอมหยุด 

 

 

พระชายาฉีถูกทำให้ตื่นขึ้น ร้องเสียงดังถามคนที่อยู่ข้างนอกว่า “หลิงหลง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” 

 

 

โดยไม่รอให้หลิงหลงตอบ อ๋องฉีก็เดินก้าวอาดๆ เข้าไปในห้อง พระชายารองใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เดินตามเข้าไป  

 

 

ชายาอ๋องฉียังงัวเงียไม่หายจากอาการง่วง คิดว่าหลิงหลงเดินเข้ามา ก็หลับตาแล้วถามด้วยความง่วงงุนว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดถึงได้เสียงดังเอะอะเช่นนี้”  

 

 

อ๋องฉีหน้าทมึงถึงไม่ได้กล่าวอะไร 

 

 

พระชายาฉีรู้สึกไม่ค่อยดีจึงลืมตาขึ้นอย่างสงสัย เห็นอ๋องฉีเดินเข้ามาถึงข้างเตียงด้วยสีหน้าที่ดูไม่ดีนักก็เกิดความสงสัยขึ้น พอหันไปมองพระชายารองที่เช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ ก็เข้าใจขึ้นทันที 

 

 

อ๋องฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ถามขึ้นอย่างผู้ที่อยู่สูงกว่าว่า “พระชายาบอกข้าได้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” 

 

 

พระชายาฉีกะพริบตา แล้วส่งเสียงสั่งคนที่อยู่ด้านนอกว่า “หลิงหลง เข้ามาช่วยข้าสวมเสื้อผ้า” 

 

 

หลิงหลงขานรับ แล้วก็ลุกขึ้นเดินเข้ามา พอเห็นอ๋องหลิงยืนอยู่ข้างเตียงก็ไม่กล้าเข้าไป