ขณะที่อวี้เฟยเยียนกำลังช่วยชีวิตซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ในห้องอย่างตึงเครียด ด้านนอกก็มีเงาคนคนหนึ่งปรากฏ หมายจะพุ่งเข้าไปในห้อง
ทว่าเงานั้นยังไม่ทันถึงหน้าประตูก็ถูกมั่วซางขวางเอาไว้เสียก่อน ทันใดนั้นก็มีการประกระบี่กันอย่างดุเดือด ปะทะกันจนเกิดประกายไฟจนแสบตา
หลังจากเห็นผู้ที่มาเยือนนอกจากเหลียนจิ่นแล้ว คนอื่นต่างพากันตกใจ
หลิ่วเซิงมีท่าทางดุดันกระฟัดกระเฟียดเช่นนี้ เขามาทำไมกัน
“ถอยไป…” นัยน์ตาของหลิ่วเซิงเต็มไปด้วยความอาฆาต พัดหยกในมือกระทบกับกระบี่สีดำของมั่วซาง ทั้งสองประมือกันจนไม่สามารถแยกได้ว่าใครแพ้ชนะ
“เก่งกาจนัก!”
เซวียเฉียงตื่นเต้นจนกำมือแน่น นัยน์ตาเต็มไปด้วยประกายไฟ
หากเขารู้ว่ามั่วซางจะร้ายกาจขนาดนี้ ไม่คิดเลยว่าเขาจะลงมือเช่นนี้ ทำเอาดวงใจน้อยๆ ของเซวียเฉียงแทบจะหลุดออกมาโดยแท้
ปีนี้เป็นปีอะไรกัน
ทำไมรอบตัวเขาถึงมีคนเก่งกาจมากมายขนาดนี้
แต่ละคนเป็นจอมยุทธ์ระดับราชัน ระดับจักรพรรดิ ช่างเอาให้ดวงใจดวงน้อยของเซวียเฉียงตื่นเต้นอย่างแท้จริง หากไม่พูดถึงเหลียนจิ่นที่เป็นคนขี้โรค เขาคือบุรุษที่อ่อนแอที่สุดในคนกลุ่มนี้ใช่หรือไม่!
“ไม่…”
ท่าทางยืนกรานปฏิเสธของมั่วซาง แววตาดูหล่อเหลานัก
หลิ่วเซิงหรือ เจ้าเป็นใครกัน ข้าฟังแค่คำสั่งของคุณชายเท่านั้น
“ไม่รู้จักว่าอะไรดีอะไรเลว! สมควรตายนัก!”
รอยยิ้มของหลิ่วเซิงดูโหดเ**้ยมนัก
พัดหยกในมือเขาบินหมุนลอยไป อาวุธลับต่างๆ ออกมาประหนึ่งฝนปรอย พุ่งตรงเข้าไปหามั่วซาง
จากที่รู้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนใช้พลังเสวียนจำนวนมากเพื่ออวี้เฟยเยียน หลิ่วเซิงรีบมาที่นี่ในทันที ในหัวของเขาตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวคือ ต้องสังหารอวี้เฟยเยียนซะ!
ขอเพียงสังหารอวี้เฟยเยียน ก็เหมือนเป็นการกำจัดหายนะทางสติปัญญาของนายท่าน นายท่านจะได้กลับมาเป็นผู้ที่มีจริงใจสงบเยือกเย็นและเฉลียวฉลาดดังเดิม
หรือนายท่านจะโง่ไปแล้ว
เป็นถึงเช่นนี้แล้วยังจะฝืนใช้พลังเสวียนอยู่อีก นี่ก็เท่ากับว่าเขากำลังเร่งเวลาทำลายชีวิตตนเองชัดๆ !
ล้วนเป็นอวี้เฟยเยียนที่ทำจิตวิญญาณของนายท่านกลับตาลปัตรไปหมด ถึงได้ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้
สตรีผู้นี้จะให้มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้!
ทั้งใจของหลิ่วเซิงตอนนี้อยากจะกระโจนเข้าไปจัดการสังหารอวี้เฟยเยียนซะ ทว่าครั้งนี้เขากลับได้เจอกับคู่ต่อสู้
กระบี่ของมั่วซางแยกออกจนคล้ายดั่งดอกไม้ที่งดงาม ทำให้อาวุธลับต่างๆ ของหลิ่วเซิงร่วงหล่นลง
ความสามารถที่ปรากฏออกมาของเขา มิอาจใช้ระดับวิทยายุทธ์ธรรมดาๆ ของแผ่นดินใหญ่มาประเมินค่าได้
“ไม่คิดเลยว่า ในยุทธภพของแผ่นดินใหญ่ยังมีคนคมในฝักเช่นนี้อยู่”
หลิ่วเซิงมองไปยังเหลียนจิ่น เขาทราบดีว่าที่มั่วซางกระทำเช่นนี้ล้วนเป็นความประสงค์ของเหลียนจิ่น
“มั่ว สั่งสอนเขาเสียหน่อย!”
เหลียนจิ่นที่ดูเป็นสุภาพบุรุษสง่างาม ดูอ่อนโยนมาตั้งแต่ต้น ได้หลุดอาการเย็นชาเยือกเย็นเป็นครั้งแรก
“ทำลายพัดที่อยู่ในมือขวาเขาซะ!”
น่าขันนัก!
อวี้เฟยเยียนกำลังช่วยชีวิตนายท่านของพวกเจ้าอย่างสุดความสามารถ เจ้ากลับแสดงปฏิกิริยาเช่นนี้ ดาหน้าเข้ามาไม่ถามความถูกผิดเป็นมา ต้องการจะสังหารอวี้เฟยเยียนหรือ งั้นก็ถามข้าก่อนว่า ยินยอมหรือไม่!
ข้าเคยเห็นนางตายด้วยตาของตัวเองแล้วครั้งหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเห็นเป็นครั้งที่สอง!
มั่วซางทำตามที่เหลียนจิ่นสั่ง ทันใดนั้นเพลงกระบี่ของมั่วซางก็เปลี่ยนเป็นรุนแรงยิ่งขึ้น ทุกกระบี่มุ่งไปที่มือขวาของเขาดังที่เหลียนจิ่นสั่ง หน้าที่ของเขาคือตัดกำลังของหลิ่วเซิง ทำให้เขาไม่สามารถหยิบพัดขึ้นมาได้
โอ้โห!
เสี่ยวมั่วมั่ว เจ้าอย่าเก่งกาจขนาดนี้จะได้ไหม!
ฮันจื่อเบิกตามองการเข่นฆ่าโรมรันตรงหน้า ความสามารถของหลิ่วเซิงนั้นมันรู้ดี
ทว่าฮันจื่อนึกไม่ถึงว่า กำลังการสังหารของมั่วซางจะมีมากขนาดนี้
สามารถทำให้หลิ่วเซิงทำได้เพียงหลบหลีกไปมาอย่างยากลำบาก
เกิดเรื่องขึ้นกับซย่าโหวฉิงเทียน ฮันจื่อก็ร้อนใจเช่นกัน
ทว่าไม่รู้ว่าเพราะอะไรฮันจื่อถึงรู้สึกได้ตั้งแต่แรกว่า หากมีแม่นางน้อยผู้นี้อยู่ ซย่าโหวฉิงเทียนจะต้องหลุดจากภัยอันตรายทั้งปวง
อารมณ์ของหลิ่วเซิงจะต้องลับคมอีกสักหน่อย!
ฮันจื่อหมอบลงกับพื้นหาวออกมา มันตั้งใจแล้วว่าจะไม่ช่วยหลิ่วเซิง ท่าทีที่นายท่านมีต่อแม่นางน้อย แม้แต่ตาบอดก็ยังมองเห็น อย่างไรมันก็ขอกอดขาแม่นางน้อยไว้ก่อนแล้วกัน!
“นี่ก็เหมือนกับว่า แกร่งปะทะแกร่ง…”
อวี้เชียนเสวี่ยเห็นท่าทางไม่ผ่อนแรงของมั่วซาง จึงกล่าวออกมาเสียงขรึม
จากภาพที่แสดงออกมาของหลิ่วเซิง อย่างน้อยต้องมีพลังยุทธ์ระดับปรมาจารย์ ทว่าขณะที่รับมือกับหลิ่วเซิง มั่วซางกลับไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
ช่างเป็น…คนหนุ่มที่นำคนรุ่นก่อนโดยแท้!
อวี้เชียนเสวี่ยพอจะเดาสาเหตุเรื่องนี้ได้ น่าจะเป็นเพราะเด็กชายคนนี้เกิดเรื่อง ดังนั้นหลิ่วเซิงจึงนำความผิดทุกอย่างมาลงที่อวี้เฟยเยียน สายตาเช่นนั้นคล้ายดั่งจะกินหลานสาวของตนชัดๆ
ชั่วขณะนี้อวี้เชียนเสวี่ยรู้สึกรังเกียจที่ตนเป็นคนไร้กำลังภายใน
หากเขายังแข็งแรงดี ไฉนจะต้องให้มั่วซางออกหน้า อาสามจะออกไปสู้ด้วยตัวเองจัดการหลิ่วเซิงให้ราบคาบ!
แม้เขาไม่จำเป็นต้องเป็นคู่ประมือของหลิ่วเซิง ทว่าแม้ต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มีก็ไม่ยอมให้ใครมาดูถูกง่ายๆ
หากต้องการสังหารอวี้เฟยเยียน ก็ต้องข้ามศพเขาไปก่อน!
การกระทำเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยรู้สึกรังเกียจหลิ่วเซิง แม้แต่เด็กชาย รวมไปถึงนายท่านของหลิ่วเซิงอย่างหลินเจียงอ๋องก็ถูกรังเกียจไปด้วย
ช่างเป็นทำคุณบูชาโทษโดยแท้!
คนเช่นนี้ไม่ช่วยเสียก็ดี!
ทั้งสองติดพันกันหลายร้อยกระบวนท่า หลิ่วเซิงค่อยๆ เสียเปรียบ เมื่อเห็นกระบี่ของมั่วซางหมายจะพุ่งไปที่ข้อมือของหลิ่วเซิงอีกครั้ง เสวี่ยเยี่ยนจึงรีบเข้ามาขอร้องเหลียนจิ่น
“คุณชายเหลียน หลิ่วเซิงก็แค่เป็นห่วง…คุณชายน้อยเกินไป! ท่านได้โปรดกรุณาด้วย!”
เสวี่ยเยี่ยนมีท่าทางเป็นมิตรมาโดยตลอด ทว่าเหลียนจิ่นก็ไม่ยอมปล่อยมือตามคำขอร้องของนาง
“เสวี่ยเยียน ข้าขอถามเจ้า”
“นายท่านของพวกเจ้าชื่นชอบใคร รักใคร ยอมที่จะสละทุกอย่างเพื่อใครคนนั้น เป็นเรื่องของเขา หรือทุกเรื่องจะต้องได้รับการยอมรับจากพวกเจ้า”
เมื่อถูกเหลียนจิ่นถามเช่นนี้ เสวี่ยเยี่ยนจึงแสดงท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างชัดเจน กระนั้นก็ยังกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจยิ่ง
“นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของนายท่าน”
“งั้นก็ดี ข้าขอถามเจ้าต่อ เขาชื่นชอบใครสักคน อีกฝ่ายจะจำต้องชื่นชอบเขาด้วยหรือ ในเมื่อเขาสมัครใจเอาหน้าไปติดของอีกฝ่าย อีกฝ่ายจำต้องตอบแทนแสดงความรู้สึกเหมือนกับที่เขามอบให้หรือ”
คำพูดของเหลียนจิ่นค่อนข้างจะดุเดือด ทำเอาเสวี่ยเยี่ยนไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
“เหลียนจิ่น เจ้าจะไปรู้อะไร!”
หลิ่วเซิงเห็นเสวี่ยเยี่ยนที่ถูกเหลียนจิ่นถามจนใบ้กิน ก็รู้สึกหงุดหงิด
“นายท่านทำเพื่อนางมากมายเสียขนาดนั้น แม้จะเป็นหินก็ถูกโอบไว้จนร้อน! หากเป็นน้ำแข็งก็คงถูกโอบไว้จนละลาย!”
บ่อน้ำแร่เสริมกำลังไท่จี๋นั่นมีเพียงแค่เฉพาะในถ้ำจันทร์เหมันต์ของเมืองอู๋โยวเท่านั้น
ซย่าโหวฉิงเทียนใช้เวลาทั้งวันในการเดินทางเป็นพันลี้เพื่อไปที่เมืองอู๋โยว ทั้งยังจัดการแปดคนในตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเฮ่อ เป็นการรบที่ลำบากมากถึงจะสามารถแย่งชิงบ่อน้ำแรเสริมกำลังไท่จี๋มาได้ เพราะอวี้เฟยเยียน เขากลับต้องมาผิดใจกับคนตระกูลเฮ่อ มิเช่นนั้นอวี้เฟยเยียนจะล้างไขกระดูกเปลี่ยนโครงร่างเช่นนี้หรือ!
หลังจากกลับเมืองจิงเฉิง ซย่าโหวฉิงเทียนยังยื่นมือไปช่วยตระกูลอวี้และอวี้เฟยเยียนอยู่หลายครั้ง เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ยิ่งนับครั้งไม่ถ้วน
หากไม่ใช่เพราะในใจของหลิ่วเซิงยังคิดว่า ไม่อาจให้เรื่องของอวี้เฟยเยียนกับอสูรร้ายอวี้เล็ดลอดออกไปได้ เขาจะต้องก่นด่าใส่นาง อวี้เฟยเยียนมีวันนี้ได้ ล้วนเป็นน้ำพักน้ำแรงของซย่าโหวฉิงเทียนทั้งนั้น
“หึ ยังมีเวลาพูดมาก มั่วซาง เจ้าออมแรงไปหน่อยใช่หรือไม่”
รอยยิ้มของเหลียนจิ่นดูใสซื่อ เสวี่ยเยี่ยนรู้สึกไม่เข้าใจ คนตรงหน้าเป็นเทวดาหรือปีศาจกันแน่
เป็นไปอย่างที่คิดไว้ หลังจากที่เหลียนจิ่นพูดเช่นนี้ กระบี่ในมือของมั่วซางพลันหนักอึ้ง รังสีสังหารเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังลงมือรุนแรงและรวดเร็วยิ่งขึ้น
หลิ่วเซิงตั้งรับอย่างไม่หยุดหย่อน ทำได้เพียงรับมือมั่วซางอย่างสุดกำลัง
“ข้าชอบเจ้า เจ้าก็ต้องชอบข้า นี่เป็นเหตุผลของสำนักไหนกัน! ชาวนาที่หว่านเมล็ดในฤดูใบไม้ผลิ ต้องทำงานอย่างหนัก ทว่ายังไม่สามารถเก็บผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วงได้ นับประสาอะไรกับคนที่เป็นสิ่งมีชีวิตอันซับซ้อนกว่า!”
“หากเรื่องความรักมันง่ายเสมือนกับการทำการค้า เจ้าจ่ายเงินมา ข้าให้สิ่งของไป ในโลกนี้ก็คงจะมีหนุ่มสาวที่ลุ่มหลงในความรักมากมาย!”
“ในใจมีความลุ่มหลง มีความปรารถนาก็เสมือนกับการตกปลาของชาวประมงที่เอาเหยื่อใส่คันเบ็ดไม่หยุดหย่อน รอให้ปลาติดเบ็ด หากเป็นรักแท้ ไม่จำเป็นต้องมีการตอบแทน!”
“ไฉนจะรู้ว่า การหลงรักปักใจของตนเองเช่นนี้ กลับเป็นความชอบที่เป็นภาระอันหนักอึ้ง รังแต่จะทำให้คนที่ถูกชอบลำบากใจ!”
“หากนางรับรู้ได้ถึงความรู้สึก นางไม่จำเป็นต้องรักตอบหรือยอมรับมัน!”
“ทั้งหมดนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกบีบบังคับ!”
คำพูดของเหลียนจิ่นแทบจะทำให้หลิ่วเซิงโกรธจนแทบกระอักเลือด
ความหมายของเขาก็คือ ซย่าโหวฉิงเทียนสมควรโดนแล้วหรือ
ใครใช้ให้เจ้าไปชอบอีกฝ่ายเองหรือ
นางไม่ได้ขอให้เจ้ามาชอบเสียหน่อย!
ในเมื่อเจ้าทุ่มเทแรงใจในนางเสียเอง ทว่ากลับบันดาลโทสะว่าไม่ยุติธรรม ไม่พอใจที่อีกฝ่ายไม่ตอบรับ นี่ก็ไม่ใช่เจตนาที่ดีนัก
ผลกลับกลายเป็นว่านี่ทำให้ตนมีสภาพน่าอนาถใจเช่นนี้ จะโทษใครกัน!