1666-3 vs 1667-1 vs 1667-2 โดย Ink Stone_Romance
ตอนที่ 1666-3
ภายในห้องพยาบาล คุณหมอเห็นสายโทรเข้าก็กดดับแล้วยัดเข้ากระเป๋า เมื่อเดินผ่านห้องหนึ่งไป มุมปากของเขาก็ยกยิ้ม มองดูสายตำรวจที่แฝงเข้ามาแล้วดันกรอบแว่นบนหน้า
ต่อให้รู้ว่าห้องนี้มีปัญหาแล้วจะยังไง คนบางกลุ่มก็เป็นแบบนี้แหละ ในฐานะที่เป็นผู้สร้าง เขาก็แค่ดึงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของพวกนั้นออกมา รีบวางแผนเรื่องทางนี้ให้เรียบร้อยดีกว่า จะได้กลับไปเจอกับคนทางโน้น ดูว่าเป็นใครกันแน่
ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ปล่อยให้เด็กคนนั้นไปทำ จะว่าไป เด็กนั่นก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการแต่งเรื่องหรือการชักจูงทางความคิด เด็กนั่นล้วนแต่ทำได้ไม่เลว พวกโง่ๆ ก็คิดแค่ว่าช่วงนี้โรงเรียนแห่งนี้กำลังเกิดปัญหาขึ้น ตลกเป็นบ้า!
เขาเลือกที่นี่เพราะมันเกิดปัญหามาตั้งนานแล้ว
สำหรับการค้นหาเด็กที่มีสัตว์ร้ายซ่อนในหัวใจ เขารู้ดีว่าพวกมันจะเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมแบบไหน และยิ่งเข้าใจดีว่ามันติดต่อระหว่างกันได้
การฟูมฟักทางความคิดเป็นระยะเวลานาน แถมด้วยปัจจัยภายนอกในปัจจุบัน จะทำให้มันระเบิดออกมา
คิงมั่นใจว่าสภาพแวดล้อมแบบนี้ เด็กผู้หญิงจะให้คนที่อ่อนแอกว่าคอยรับใช้ซื้อของให้ ดูเหมือนว่าทุกคนกำลังหัวเราะเฮฮากัน แท้จริงแล้วพวกหล่อนหัวเราะเยาะเด็กสาวที่เป็นคนอ่อนแอเท่านั้น
เด็กสาวเหล่านั้นผิดหรือ?
ผิดสิ แต่การกลายเป็นแบบนี้ ไม่ได้มาจากสาเหตุด้านเดียว
หากเทียบกับคนที่ชอบรังแกคนอื่น คิงชอบคนที่โดนรังแกแล้วไม่สู้กลับมากกว่า
ไม่สิ ต้องบอกว่า เขาชอบคนที่อยากสู้ แต่กลับถูกคนนอกเอะอะโวยวายจนทำเสียงเดิมเงียบหาย
พวกคนที่ชอบพูดเสียดสี แยกแยะถูกผิดไม่เป็นนี่แหละ เหมาะที่จะเป็นวัตถุดิบของเขา เพราะมันช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันให้เกิดขึ้น
“คุณหมออู๋ พรุ่งนี้ทางโรงเรียนจะฉายหนัง เห็นว่าขอเป็นหนังดีๆ สักเรื่อง หนังเรื่องที่แล้ว พวกนักเรียนชอบกันมา คุณมีหนังอะไรดีๆ บ้างไหม”
คิงหันมามอง ตอบอย่างสุภาพ มีสิครับ”
“งั้นก็เยี่ยมไปเลย!” อาจารย์ที่รับผิดชอบด้านการฉายหนังยิ้มขึ้น
ใช่สิ เยี่ยมมากเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นเวลา สถานที่ ทุกอย่างเป็นเลิศอย่างเหมาะเจาะ
คิงก้าวเท้าเดินออกไป อาจารย์เห็นแผ่นหลังเขาแล้ว อดย่นหัวคิ้วไม่ได้ คุณหมออู๋เป็นหวัดเหรอ ทำไมวันนี้เดินเป๋ๆ ชอบกล แต่ อาจารย์ท่านนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแต่มองเข้าไปในห้องเรียน และเห็นว่าเด็กใหม่ไม่ได้มาเรียน
ป๋อจิ่วไม่ได้ไปโรงเรียนจริง แต่ไปยังสถานที่หนึ่ง โดยสวมชุดนักเรียน เหวี่ยงกระเป๋าเข้าไหล่ข้างหนึ่ง กดออดประตูบ้านอย่างเป็นปกติ
“มาแล้ว มาแล้ว” คุณน้าคนหนึ่งเปิดประตูมาเห็นชุดบนร่างหนุ่มน้อย จึงตะลึงนิดๆ “หนูคือ?”
ป๋อจิ่วยิ้มโชว์เขี้ยวเสน่ห์ สดใสมาก แม้จะมีหยาดฝนเกาะเส้นผมก็ตาม “สวัสดีฮะ คุณน้า ผมเป็นเพื่อนร่วมห้องของหลีจิ่น อาจารย์เห็นว่าผมอยู่ใกล้ๆ ก็เลยให้ผมมาบอกเขาว่า พรุ่งนี้มีหนังให้ดู แล้วนี่หนังสือของเขาครับ”
คุณน้ากำลังสงสัยว่า ลูกตัวเองมีเพื่อนเพิ่มมาคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อไร แต่ลูกเธอไม่ชอบพูด กระทั่งช่วงนี้ยังไม่ค่อยไปโรงเรียนอีกต่างหาก เดิมทีเธอว่าจะถามทางโรงเรียนอยู่เลย เห็นทีคงไม่ต้องไปแล้วล่ะ
“เสียวจิ่นออกไปแล้วจ้ะ อีกสักพักถึงจะกลับมา…” คุณน้าเป็นคนอ่อนโยน เห็นว่าด้านนอกฝนยังตกอยู่ ก็เอ่ยขึ้น “อากาศเดี๋ยวนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวก็แดดออก เดี๋ยวก็ฝนตก บ้านหนูอยู่ไกลไหมจ๊ะ?
ป๋อจิ่วไม่ตอบ แต่จามแทน แล้วบี้จมูก
จะว่าไป เด็กคนนี้เปียกฝนเพราะเอาหนังสือมาให้ลูกเธอ คุณน้าจะปล่อยให้จากไปอย่างนี้ได้ยังไง “หนูเข้ามาหลบฝนก่อนลูก เดี๋ยวฝนซาแล้วค่อยไป”
“ขอบคุณฮะ คุณน้า” เวลาป๋อจิ่วเป็นเด็กดีขึ้นมา ใครๆ ก็ชอบ แต่ครั้งนี้เธอเป็นเด็กดีแบบไม่บริสุทธิ์นัก…
………………………………………..
ตอนที่ 1667-1
ในห้องมีเพียงหลีจิ่นคนเดียวที่ขาดเรียน ไม่ว่าป๋อจิ่วจะเดาถูกหรือไม่ ขอแค่ได้พูดคุยกันสักนิด ก็น่าจะค้นอะไรเจอแล้ว หากหลีจิ่นมีปัญหาจริงๆ แค่คลำรากไปหาผล ย่อมต้องตามหาคิงตัวจริงเจอแน่…
“มากินน้ำก่อนสิ” คำเชิญของน้าคนนั้น ฉุดป๋อจิ่วให้ออกจากภวังค์ “น้ามีเรื่องจะถามหนูพอดีเลย”
ป๋อจิ่วเอ่ยพลางยิ้ม “ว่ามาเลยฮะ”
“เสียวจิ่นโดนเพื่อนในห้องรังแกหรือเปล่า?” น้าคนนั้นถามเสร็จก็รู้สึกเหมาะสม “ดูสิ น้าพูดอะไรลงไปก็ไม่รู้ แต่เด็กคนนี้ไม่ยอมไปเรียนอยู่นั่นแหละ น้าร้อนใจเลยไปถามอาจารย์ อาจารย์ก็บอกไม่ถูก ในละครทีวีชอบเล่นกันนักไม่ใช่เหรอว่า เด็กไม่ชอบไปเรียนก็มักเป็นเพราะโดนบูลลี่ทางความรู้สึก น้ากับพ่อของเขายุ่งมาก ทำให้ดูแลเขาได้ไม่ดี เขาเติบโตช้ากว่าเด็กคนอื่น แถมสุขภาพยังไม่ดีอีกต่างหาก เวลาไปเรียนก็ต้องไปห้องพยาบาลอยู่บ่อยๆ วิ่งออกกำลังกายตอนเช้าก็วิ่งแล้ว น้าล่ะกลัวว่าเขามีเรื่องในใจ เดี๋ยวจะคิดไม่ตกเอา”
ป๋อจิ่วช้อนสายตามอง “ขอโทษนะครับ คุณน้า ผมเพิ่งย้ายเข้ามา ไม่ค่อยรู้เรื่องในห้องสักเท่าไร”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ น้าแค่ถามไปอย่างนั้นเอง” คุณน้าพูดยิ้มๆ “เดี๋ยวเจอเสียวจิ่นแล้ว อย่าบอกเขาล่ะว่าน้าเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เดี๋ยวเขาจะโมโหเอา”
ป๋อจิ่วรับคำ คุณน้าจึงลุกขึ้น มองดูนาฬิกาอัตโนมัติ ป๋อจิ่วรู้สึกว่านัยน์ตาของอีกฝ่ายเจือความกลัว นี่เป็นบ้านของคุณน้าแท้ๆ ทำไมต้องกลัว? และแล้วป๋อจิ่วก็รู้ถึงเหตุแห่งความกลัวในเวลาไม่นานต่อจากนี้
เพราะมีผู้ชายเมากลับมา
ป๋อจิ่วคิดว่าการที่คุณน้าให้เธอเข้ามา ไม่ได้เพียงแค่หลบฝน แต่การที่มีคนมาเพิ่มอีกคน ส่งผลให้คุณน้าไม่ต้องกลัวมากนัก
“ทำไมบ้านถึงหนาวอย่างนี้” ชายคนนั้นเข้ามาก็อาละวาดด้วยเสียงดังฟ้าผ่า “บอกมาสิว่า แกทำอะไรบ้าง แค่ดูแลบ้านให้ดียังทำไม่ได้เลย ทุเรศชิบหาย”
คุณน้ารับของมาจากผู้ชายคนนั้น “ก็เครื่องกำลังความร้อนอยู่นี่คะ เพื่อนของเสียวจิ่นมาน่ะ”
เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย ชายคนนั้นพลันกลืนคำสบถกลับ ทว่าสีหน้ายังดูไม่ค่อยดีสักเท่าไร ราวกับว่าจะต้องซ้อมใครสักคนก่อนถึงจะหายโมโห
“ข้าวล่ะ? ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่ทำกับข้าวอีก แกคิดจะทำให้คนหิวตายเหรอวะ?” ผู้ชายคนดังกล่าวกดเสียงพูดให้ต่ำลง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ป๋อจิ่วก็ยังได้ยินอยู่ดี
คุณน้าพูดเสียงเบา “ลูกยังไม่กลับมาเลย เดี๋ยวรอให้เขากลับมาก่อนแล้วค่อยกิน ดูสิ เรามีแขก…”
“นั่นมันลูกแก ไม่ใช่ลูกข้าเว้ย” ป๋อจิ่วได้ยินคำพูดสุดท้ายไม่ชัด คงเพราะทั้งสองต่างรู้ว่าไฟในอย่านำออก
ตอนที่ป๋อจิ่วมาที่นี่ก็เช็คประวัติของหลีจิ่นมาแล้ว จึงรู้ว่าแม่เขาแต่งงานใหม่ แต่ก่อนที่จะมาถึง เธอคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ยิ่งคิดไม่ถึงว่า สภาพครอบครัวของเขาจะวุ่นวายกว่าที่เธอคาดเดาไว้เสียอีก
ท่านเทพเคยพูดไว้ว่า ทุกคดีที่เกิดขึ้น ล้วนแต่สะท้อนความต้องการทางจิตใจของผู้ร้าย
ป๋อจิ่วลองใช้วิธีของท่านเทพวิเคราะห์คนคนหนึ่งอย่างคร่าวๆ
แน่ล่ะ เธอย่อมไม่สามารถวิเคราะห์สภาพจิตใจคนผ่านพฤติกรรมพวกเขา จนเลยไปถึงการประเมินถึงอายุ อาชีพและความชอบส่วนบุคคลได้เหมือนท่านเทพ
แต่การพยายามพิสูจน์ว่าตัวเองเจ๋งแค่ไหนผ่านโลกออนไลน์ ก็ยิ่งแสดงว่าคนคนนั้นอ่อนแอมาก ด้วยเหตุผลง่ายๆ ยิ่งคุณครอบครองของไว้มากมายก็จะไม่อวดใคร ถือว่าเป็นงานทำเล่นๆ ในยามปกติ และคนที่ไม่มีจะยิ่งชอบอวดกลุ่มเพื่อน เพื่อให้คนอื่นเห็น มันถือเป็นเรื่องที่เห็นได้โดยทั่วไป การใช้มุมมองนี้วิเคราะห์เรื่องดังกล่าว ถือว่าเหมาะสมที่สุด
หากดูจากพฤติกรรมคิงหุ่นเชิดคนนี้ เขาชอบควบคุม ทั้งยังรู้ว่าจะต้องใช้วิธีใดทำให้เจ็บปวดโดยไม่ต้องถูกทำร้ายร่างกาย แสดงว่าเขาเคยมีประสบการณ์มาก่อน หลี่จิ่นน่าจะเป็นคนแรกในห้องที่โดนรังเกียจ แต่กลับมีคนกลบเสียงต่อสู้ของเขา ไม่เพียงแต่ในโรงเรียน ยังรวมถึงครอบครัว บวกกับการจำใจต้องยอมรับในเคราะห์กรรมที่ประสบ จนค่อยๆ กลายเป็นความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและยโสในตัวเอง เขาสามารถออกคำสั่งบงการในโลกไซเบอร์ได้ แต่กลับไม่มีใครเห็นหัวเขาในชีวิตแห่งความเป็นจริง
…………………………………..
ตอนที่ 1667-2
หากจะบอกว่า ก่อนหน้านี้ป๋อจิ่วไม่ค่อยเชื่อในข้อสันนิษฐานของตัวเอง แต่เมื่อได้เห็นสภาพครอบครับของเขาในเวลานี้ เธอมั่นใจว่าต้องเป็นเขาแน่ ท่าทางพ่อเลี้ยงของเขาก็น่าจะชอบใช้ความรุนแรง
ป๋อจิ่ววิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าอย่างสงบและแยบยล น่าจะเป็นเพราะอยู่กับใครคนหนึ่งมานานจนได้รับอิทธิพลจากเขา หากเป็นป๋อจิ่วในอดีตน่ะเหรอ ไม่น่าจะวิเคราะห์ได้มากขนาดนี้หรอก
ป๋อจิ่วเดาไม่ผิดหรอก คุณน้าไม่ไม่อยากให้เธอเดินจากไปจริงๆ เพราะกว่าจะมีแขกเข้าบ้านได้ก็ไม่ง่ายแล้ว แถมสามีเธอยังสำรวมอาการได้อีกต่างหาก ด้วยเหตุนี้ เดี๋ยวเสียวจิ่นกลับมาก็จะไม่โดนด่าทออีก เพราะสามีเธอเป็นคนรักหน้า ดังนั้นป๋อจิ่วยังไม่ทันลุกขึ้นมากล่าวลา คุณน้าก็ชิงเอ่ยขึ้นเสียก่อน “เมื่อกี้คุณน้าผู้ชายบอกว่าข้างนอกฝนตกหนัก อีกห้านาทีเสียวจิ่นก็กลับมาแล้ว หนูไปนั่งรอเขาที่ห้องก่อนดีกว่า แล้วกินข้าวเย็นด้วยกัน จะได้ช่วยติวให้เสียวจิ่นด้วย”
“ไม่ต้องหรอกครับ คุณน้า” ป๋อจิ่วเพิ่งจะพูดออกมาเอง
สามีเธอก็เดินเข้ามาหาด้วยกลิ่นเหล้าคุ เอ่ยให้เธออยู่ต่อ เหมือนอย่างที่คุณน้าคิดนั่นแหละว่า เขารักหน้าตัวเอง แต่สายตาของเขาที่มองคุณน้ากลับดุร้ายมาก แม้ว่าจะยืนอยู่ตรงนี้ ป๋อจิ่วก็รู้สึกถึงความกลัวของผู้หญิงคนนี้ คุณน้าสั่นน้อยๆ แต่กลับยืนข้างสามีเหมือนเป็นเจ้าของบ้านฝ่ายหญิงที่รักความสงบ
ป๋อจิ่วจึงไม่ปฏิเสธ หากได้ไปอยู่ห้องเขาย่อมต้องหาอะไรเจอแน่ ทั้งนี้เธอเคยดูหนังที่เกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวเรื่องหนึ่ง เข้าใจดีกว่าการที่ต้องดำรงชีวิตครอบครัวอย่างนี้ต่อไป ส่วนใหญ่เป็นเพราะฝ่ายหญิงไม่อยากเลิก
ในประเทศจีน การแต่งงานสำคัญสำหรับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย พวกเธอล้วนแต่ใฝ่ฝันที่จะได้แต่งงานกับเจ้าชายขี่ม้าขาว แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ทว่าปัญหาบางอย่างค่อยๆ เผยออกมา พวกเธอค้นพบว่าผู้ชายที่ตนเองชอบ กลับไม่เหมือนอย่างที่คาดคิดไว้
เขาไปชอบคนอื่น บางครั้งก็เป็นเพราะสิ่งแวดล้อมภายนอกยั่วเย้า บางครั้งก็ต้องการหาอะไรตื่นเต้นเพราะรู้สึกเครียด บางครั้งก็เพราะสาวๆ ข้างนอกยังอ่อนเยาว์ พวกเขามักรู้สึกว่าผู้หญิงเหล่านั้นเป็นดอกไม้แสนสวย แต่พวกเธอเป็นแค่อีแก่หนังยาน ถึงขั้นทุบตีพวกเธอ เมาเหล้าก็ซ้อมพวกเธอ อารมณ์ไม่ดีก็หาเรื่องทำร้ายเธอระบายอารมณ์
ตอนแรกๆ พวกเธอจะรับไม่ได้ เพราะไม่ใช่ชีวิตที่พวกเธอปรารถนา จากนั้นก็จะมีหลายๆ คนออกมาเตือนว่า เธอต้องทนนะ ต้องอดทนให้มากๆ ต่อให้ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองก็ต้องทำเพื่อลูก จะหย่าไม่ได้ เพราะพอเธอหย่า คนอื่นๆ ก็จะว่าเธอได้ แล้วลูกเธอจะทำยังไง? พวกเธอจึงต้องอดกลั้นไว้ และผู้ชายที่ขอให้เธออภัยให้ก็จะยิ่งไม่ถนอมค่าของเธออีกต่อไป
เมื่อเวลาล่วงเลยนานขึ้น คุณอาจจะคุ้นเคยต่อวิถีชีวิตแบบนี้ พอมีคนแนะให้คุณไม่ยอม บางครั้งคุณยังตำหนิว่าเขามายุ่งเรื่องคนอื่น เพราะคุณแค่อยากให้สามีดีต่อตัวเองบ้าง ไม่ได้อยากเลิกกับเขาเสียหน่อย
นี่แหละก็คือส่วนหนึ่งของครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนที่โดนซ้อมจนบาดเจ็บมากแค่ไหนก็เป็นเมียตัวเองอยู่ดี แล้วจะทำไม? จะมายุ่งอะไรกับเมียชาวบ้านเหรอ? ก็เขายินดีให้ฉันซ้อมนี่!
ประโยคเหล่านี้ได้ยินกันบ่อยในศาล ผู้ชายแบบนี้ชั่วช้าสารเลวไหม แน่นอน แต่ที่น่าตลกก็คือ หากมีผู้หญิงคนไหนไม่ยินยอม ต่อสู้จนถึงชั้นศาล คนบางกลุ่มก็จะเสนอหน้ามาวิจารณ์อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรด้วย
…………………………………..